- ทัพนักเตะทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทีมของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง โชว์ฟอร์มหรูชนะ 3 นัดรวดในเกมลับแข้งก่อนเดินทางไปสู้ศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ที่สิงคโปร์ บวกกับผลงานที่ผ่านมาใน ซีเกมส์ และ เอเชียนเกมส์ จึงถูกคาดหวังว่าจะสามารถทวงเจ้าลูกหนังแห่งภูมิภาคอาเซียนกลับคืนมาอีกครั้งหลังจากร้างบัลลังก์มากว่า 12 ปี นับจากเถลิงโทรฟีครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2002 แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นงานง่ายเพราะมีถึง 5 ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นขวากหนามชิ้นโตทำ “ช้างศึก” ฝันสลายอีกครา
เวลาเตรียมทีมน้อย : ทีมชาติไทยชุดนี้มีเวลารวมตัวฝึกซ้อมและลองเกมร่วมกันนับจากวันแรกที่เก็บตัวถึงวันแข่งเพียงแค่ 17 วันเท่านั้น แม้จะมีแข้ง 14 รายที่ “ซิโก้” วางรากฐานกินอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ชุดแชมป์เนปิดอว์เกมส์ ต่อยอดถึงอันดับ 4 อินชอนเกมส์ แต่อีก 8 คนที่ถูกเสริมเข้ามานั้นเพิ่งจะมีโอกาสได้ร่วมซ้อมกับรุ่นน้องในเวลาที่ไม่นาน จึงเห็นได้ชัดว่าแม้ผลอุ่นเครื่องที่ออกมาจะได้สกอร์ที่น่าพอใจแต่จุดเด่นที่เป็นไม้ตายเรื่องความเข้าขารู้ใจที่เคยแสดงให้เห็นใน 2 รายการก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีเหลือ จังหวะรับส่งบอลยังขาดๆเกินๆไม่ไหลลื่น ซึ่งกุนซือวัย 41 ปี ยอมรับว่าการที่มีเวลาเตรียมทีมน้อยทำให้โอกาสประสบความสำเร็จในครั้งนี้นั้นลำบากแน่นอน
ขาดประสบการณ์ : ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการขาด “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา หอกเบอร์ 1 และดาวซัลโว 5 ประตูครั้งที่แล้ว รวมถึงการตัดสินใจไม่ใช้บริการ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ทำให้รังความน่าเกรงขามอาจลดลงไปกว่าครึ่ง เพราะทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ระดับทวีปผ่านมาแล้วทุกสถานการณ์ ยิ่งกวาดตาดูในลิสต์ “ช้างศึก” ชุดนี้มีอายุเฉลี่ยเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น โดยมีแข้งที่อายุเกิน 30 ปี เพียงรายเดียวคือ ชยพัทธ์ กิจพงษ์ศรีธาดา(อนุชา กิจพงษ์ศรี) และมีเพียง 6 รายที่หลงเหลือมาจากเมื่อ 2 ปีก่อน คือ ชยพัทธ์, อดุล หละโสะ, สมปอง สอเหลบ, กีรติ เขียวสมบัติ, ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่จะได้เป็นแกนหลัก แม้จะมีข้อดีเรื่องความสดของพลังหนุ่ม แต่ก็มีข้อเสียสำคัญคือความเก๋าและประสบการณ์ที่จะไปต่อกรกับเหล่าบรรดาดาวเตะเพื่อนบ้านที่ล้วนเขี้ยวลากดินทั้งสิ้น
คู่แข่งสุดหิน : ทุกทีมในทัวร์นาเมนท์นี้มีแกนหลักเป็นแข้งชุดเดิมที่รวมตัวกันมาไม่ต่ำกว่า 2 ปี และมีการเตรียมทีมอย่างดีสำหรับทัวร์นาเมนท์นี้โดยเฉพาะ ซึ่ง สิงคโปร์ ภายใต้การคุมทีมของ แบรนด์ สเตนจ์ โค้ชใหม่ชาวเยอรมัน ยังมี ชาริล อิชัค, ไบฮัคกี ไคย์ซาน และ ไครูล อัมรี เป็นคีย์แมนหลัก และที่ผ่านมาได้ยกพลไปเก็บตัวที่ออสเตรียพร้อมอุ่นเครื่องกับทีมในยุโรปเป็นเวลา 16 วัน รวมถึงมีเกมลับแข้งทั้งเหย้าและเยือนกว่า 10 นัดตลอดปี
ขณะที่ เมียนมาร์ ที่ได้ ราดอจโก อัฟราโมวิช กุนซือชาวเซิร์บ ผู้เคยพาทัพลอดช่องคว้าแชมป์รายการนี้ 3 สมัย (ปี 2004, 2007 และ 2012) คุมบังเหียน โชว์ฟอร์มแกร่งคว้าอันดับ 1 รอบคัดเลือกชนิดไม่แพ้ใครตลอด 4 นัด ยังมีตัวหลักอย่าง จี หลิน และ คยอ โค โค ส่วน มาเลเซีย ที่เพิ่งตั้ง ดอลลาห์ ซัลเลห์ อดีตศูนย์หน้าของทีมคุมทัพ แม้ผลงานอุ่นเครื่องจะไม่น่าประทับใจแต่ก็ได้ลองแข้งต่อเนื่องโดยมี ซาฟิค รอฮิม มิดฟิลด์ตัวเก่ง เป็นกำลังร่วมกับ ซาฟิอี ซาลิ และ นูรชะห์รุล อิดลัน แข้งตั๋วเก๋าจาก 2 ปีก่อน
หญ้าเทียมทำพิษ : ทัพ “ช้างศึก” เก็บตัว ณ กิเลน วัลเลย์ จ.นครราชสีมา ที่มีอุปกรณ์ฝึกซ้อมเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่กลับไม่ได้ลองเกมให้คุ้นชินกับสภาพสนามหญ้าเทียมที่จะต้องเจอในการแข่งขันจริง โดยนัดแรกจะพบเจ้าภาพที่ อินเตอร์เนชันแนล สเตเดียม ซึ่งเป็นสังเวียนที่ใช้หญ้าจริง 60 เปอร์เซ็นต์ ผสมหญ้าเทียม 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกสองเกมเล่นที่ จาลัน เบซาร์ สเตเดียม ซึ่งเป็นสนามหญ้าเทียม 100 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งการเล่นสนามหญ้าเทียมโดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อนถือเป็นจุดสำคัญที่อาจทำให้พลาดพลั้ง เนื่องจากเคยมีบทเรียนมาในนัดชิงฯรายการนี้เมื่อ 2 ปีก่อน แมตช์แรกที่ต้องบุกรัง จาลัน เบซาร์ หลังจากที่ วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตกุนซือชาวเยอรมัน ชะล่าใจไปตายเอาดาบหน้าทำให้มีเวลาซ้อมแค่วันเดียวก่อนจะโดน “เมอร์ไลออนส์” สอนเชิง 1-3 และเป็นสกอร์ที่ทำให้กลับมาเล่นในบ้านนัดถัดมาลำบากจนชวดแชมป์ในที่สุด
การแก้เกมของ “ซิโก้” : เกียรติศักดิ์ เคยคุมทีมแบบขัดตาทัพในเกมสุดท้าย รอบคัดเลือก ศึกเอเชียน คัพ 2015 ที่โดน เลบานอน บุกมาเผาเครื่องคาบ้าน 2-5 ก่อนจะประดับรัศมีด้วยเหรียญทองซีเกมส์ ซึ่งที่ผ่านมาแฟนบอลยังไม่ได้เห็นการแก้เกมเปลี่ยนแทคติคชนิดพลิกผลการแข่งขันจากมันสมองของกุนซือรายนี้ เกือบทุกครั้งจะใช้รูปแบบการเล่นเดิม ส่งผู้เล่นสำรองลงมาเพื่อทดแทนตำแหน่งเดิมเท่านั้น ที่สำคัญทัวร์นาเมนท์นี้มีเพียง “ซิโก้” กับ ซัลเลห์ ของเสือเหลือง ที่เป็นโค้ชในประเทศ ส่วนนอกนั้นใช้บริการกุนซือต่างชาติทั้งหมด จึงเป็นคำถามว่าดีกรีของเจ้าตัวในตอนนี้มากพอที่จะเอาชนะกึ๋นของเทรนเนอร์ที่ผ่านประสบการณ์โชกโชน พา “ช้างศึก” ทวงความเป็นเจ้าอาเซียนของจริงคืนมาได้หรือไม่
สำหรับ ทีมชาติไทย จะประเดิมสนามรอบแรกกลุ่ม บี พบ สิงคโปร์(เจ้าภาพและแชมป์เก่า) วันที่ 23 พฤศจิกายน ต่อด้วยพบ มาเลเซีย วันที่ 26 พฤศจิกายน และปิดท้ายรอบแรกกับ เมียนมาร์ วันที่ 29 พฤศจิกายนนี้
CR
http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9570000134086
5 ปัจจัย “ช้างศึก” อาจชวดบัลลังก์เจ้าอาเซียน
เวลาเตรียมทีมน้อย : ทีมชาติไทยชุดนี้มีเวลารวมตัวฝึกซ้อมและลองเกมร่วมกันนับจากวันแรกที่เก็บตัวถึงวันแข่งเพียงแค่ 17 วันเท่านั้น แม้จะมีแข้ง 14 รายที่ “ซิโก้” วางรากฐานกินอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่ชุดแชมป์เนปิดอว์เกมส์ ต่อยอดถึงอันดับ 4 อินชอนเกมส์ แต่อีก 8 คนที่ถูกเสริมเข้ามานั้นเพิ่งจะมีโอกาสได้ร่วมซ้อมกับรุ่นน้องในเวลาที่ไม่นาน จึงเห็นได้ชัดว่าแม้ผลอุ่นเครื่องที่ออกมาจะได้สกอร์ที่น่าพอใจแต่จุดเด่นที่เป็นไม้ตายเรื่องความเข้าขารู้ใจที่เคยแสดงให้เห็นใน 2 รายการก่อนหน้านี้แทบจะไม่มีเหลือ จังหวะรับส่งบอลยังขาดๆเกินๆไม่ไหลลื่น ซึ่งกุนซือวัย 41 ปี ยอมรับว่าการที่มีเวลาเตรียมทีมน้อยทำให้โอกาสประสบความสำเร็จในครั้งนี้นั้นลำบากแน่นอน
ขาดประสบการณ์ : ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการขาด “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา หอกเบอร์ 1 และดาวซัลโว 5 ประตูครั้งที่แล้ว รวมถึงการตัดสินใจไม่ใช้บริการ “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ทำให้รังความน่าเกรงขามอาจลดลงไปกว่าครึ่ง เพราะทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ระดับทวีปผ่านมาแล้วทุกสถานการณ์ ยิ่งกวาดตาดูในลิสต์ “ช้างศึก” ชุดนี้มีอายุเฉลี่ยเพียงแค่ 24 ปีเท่านั้น โดยมีแข้งที่อายุเกิน 30 ปี เพียงรายเดียวคือ ชยพัทธ์ กิจพงษ์ศรีธาดา(อนุชา กิจพงษ์ศรี) และมีเพียง 6 รายที่หลงเหลือมาจากเมื่อ 2 ปีก่อน คือ ชยพัทธ์, อดุล หละโสะ, สมปอง สอเหลบ, กีรติ เขียวสมบัติ, ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์ ซึ่งมีเพียงไม่กี่คนที่จะได้เป็นแกนหลัก แม้จะมีข้อดีเรื่องความสดของพลังหนุ่ม แต่ก็มีข้อเสียสำคัญคือความเก๋าและประสบการณ์ที่จะไปต่อกรกับเหล่าบรรดาดาวเตะเพื่อนบ้านที่ล้วนเขี้ยวลากดินทั้งสิ้น
คู่แข่งสุดหิน : ทุกทีมในทัวร์นาเมนท์นี้มีแกนหลักเป็นแข้งชุดเดิมที่รวมตัวกันมาไม่ต่ำกว่า 2 ปี และมีการเตรียมทีมอย่างดีสำหรับทัวร์นาเมนท์นี้โดยเฉพาะ ซึ่ง สิงคโปร์ ภายใต้การคุมทีมของ แบรนด์ สเตนจ์ โค้ชใหม่ชาวเยอรมัน ยังมี ชาริล อิชัค, ไบฮัคกี ไคย์ซาน และ ไครูล อัมรี เป็นคีย์แมนหลัก และที่ผ่านมาได้ยกพลไปเก็บตัวที่ออสเตรียพร้อมอุ่นเครื่องกับทีมในยุโรปเป็นเวลา 16 วัน รวมถึงมีเกมลับแข้งทั้งเหย้าและเยือนกว่า 10 นัดตลอดปี
ขณะที่ เมียนมาร์ ที่ได้ ราดอจโก อัฟราโมวิช กุนซือชาวเซิร์บ ผู้เคยพาทัพลอดช่องคว้าแชมป์รายการนี้ 3 สมัย (ปี 2004, 2007 และ 2012) คุมบังเหียน โชว์ฟอร์มแกร่งคว้าอันดับ 1 รอบคัดเลือกชนิดไม่แพ้ใครตลอด 4 นัด ยังมีตัวหลักอย่าง จี หลิน และ คยอ โค โค ส่วน มาเลเซีย ที่เพิ่งตั้ง ดอลลาห์ ซัลเลห์ อดีตศูนย์หน้าของทีมคุมทัพ แม้ผลงานอุ่นเครื่องจะไม่น่าประทับใจแต่ก็ได้ลองแข้งต่อเนื่องโดยมี ซาฟิค รอฮิม มิดฟิลด์ตัวเก่ง เป็นกำลังร่วมกับ ซาฟิอี ซาลิ และ นูรชะห์รุล อิดลัน แข้งตั๋วเก๋าจาก 2 ปีก่อน
หญ้าเทียมทำพิษ : ทัพ “ช้างศึก” เก็บตัว ณ กิเลน วัลเลย์ จ.นครราชสีมา ที่มีอุปกรณ์ฝึกซ้อมเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่กลับไม่ได้ลองเกมให้คุ้นชินกับสภาพสนามหญ้าเทียมที่จะต้องเจอในการแข่งขันจริง โดยนัดแรกจะพบเจ้าภาพที่ อินเตอร์เนชันแนล สเตเดียม ซึ่งเป็นสังเวียนที่ใช้หญ้าจริง 60 เปอร์เซ็นต์ ผสมหญ้าเทียม 40 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกสองเกมเล่นที่ จาลัน เบซาร์ สเตเดียม ซึ่งเป็นสนามหญ้าเทียม 100 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งการเล่นสนามหญ้าเทียมโดยไม่มีการเตรียมตัวมาก่อนถือเป็นจุดสำคัญที่อาจทำให้พลาดพลั้ง เนื่องจากเคยมีบทเรียนมาในนัดชิงฯรายการนี้เมื่อ 2 ปีก่อน แมตช์แรกที่ต้องบุกรัง จาลัน เบซาร์ หลังจากที่ วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตกุนซือชาวเยอรมัน ชะล่าใจไปตายเอาดาบหน้าทำให้มีเวลาซ้อมแค่วันเดียวก่อนจะโดน “เมอร์ไลออนส์” สอนเชิง 1-3 และเป็นสกอร์ที่ทำให้กลับมาเล่นในบ้านนัดถัดมาลำบากจนชวดแชมป์ในที่สุด
การแก้เกมของ “ซิโก้” : เกียรติศักดิ์ เคยคุมทีมแบบขัดตาทัพในเกมสุดท้าย รอบคัดเลือก ศึกเอเชียน คัพ 2015 ที่โดน เลบานอน บุกมาเผาเครื่องคาบ้าน 2-5 ก่อนจะประดับรัศมีด้วยเหรียญทองซีเกมส์ ซึ่งที่ผ่านมาแฟนบอลยังไม่ได้เห็นการแก้เกมเปลี่ยนแทคติคชนิดพลิกผลการแข่งขันจากมันสมองของกุนซือรายนี้ เกือบทุกครั้งจะใช้รูปแบบการเล่นเดิม ส่งผู้เล่นสำรองลงมาเพื่อทดแทนตำแหน่งเดิมเท่านั้น ที่สำคัญทัวร์นาเมนท์นี้มีเพียง “ซิโก้” กับ ซัลเลห์ ของเสือเหลือง ที่เป็นโค้ชในประเทศ ส่วนนอกนั้นใช้บริการกุนซือต่างชาติทั้งหมด จึงเป็นคำถามว่าดีกรีของเจ้าตัวในตอนนี้มากพอที่จะเอาชนะกึ๋นของเทรนเนอร์ที่ผ่านประสบการณ์โชกโชน พา “ช้างศึก” ทวงความเป็นเจ้าอาเซียนของจริงคืนมาได้หรือไม่
สำหรับ ทีมชาติไทย จะประเดิมสนามรอบแรกกลุ่ม บี พบ สิงคโปร์(เจ้าภาพและแชมป์เก่า) วันที่ 23 พฤศจิกายน ต่อด้วยพบ มาเลเซีย วันที่ 26 พฤศจิกายน และปิดท้ายรอบแรกกับ เมียนมาร์ วันที่ 29 พฤศจิกายนนี้
CR http://www.manager.co.th/Sport/ViewNews.aspx?NewsID=9570000134086