[CR] พามิ้วน้อยเดินทางกลับจาก LA มา BKK ด้วยสายการบิน Korean Air แบบนั่งมาด้วยกัน



สวัสดีค่าาา

หายจากการเขียนบล็อกไปซักพักเลย เพราะมัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับการ
แพ๊คของ เตรียมของ ย้ายออกจากอพาทเมนท์เพื่อเตรียมย้ายกลับจากเมกามาไทย
ซึ่งตอนนี้ออนกลับมาที่เมืองไทยได้ประมาณ 2 อาทิตย์แล้วค่ะ อะไรหลายๆอย่าง
เริ่มลงตัวแล้ว ซึ่งในครั้งนี้ออนไม่ได้กลับมาพร้อมกับสัมภาระอย่างเดียว แต่ว่า
กลับมาพร้อมมิ้วน้อย 1 ตัว นั่นก็คือแมวน้อยของออนที่ชื่อว่า “แพรีส” นะคะ

ออนได้แพรีสเป็นของขวัญเมื่อเดือนธันวาปีก่อน ตอนที่ออนไปเมกาใหม่ๆ
และแน่นอนว่าพอจะกลับก็ต้องเอาน้องกลับมาด้วย ไม่ทิ้งน้องให้คนอื่นแน่นอน
หลังจากที่หลายๆคนรู้ว่าออนเอาน้องกลับมาจากเมกาถึงไทยสำเร็จ โดยนั่งมาบนเครื่อง
ด้วยกัน ไม่ได้โหลดลงไปตรงที่เก็บกระเป๋า (และแน่นอนว่าออนต้องการให้นั่งมาด้วยกัน
เพราะอย่างน้อยก็อุ่นใจกว่า แมวได้เห็นหน้าเรา อาจจะเครียด แต่ก็น้อยกว่าการที่
โดนโหลดไปในช่องกระเป๋า และไฟลท์ยาว 20 กว่าชั่วโมง ไหนจะตอน transit เครื่องอีก
ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะอ่านมาหลายข่าว ทั้งแมวหลุดจากกรง หมาตาย ก็ทำใจ
ไม่ค่อยได้ เลยตัดสินใจหาวิธีที่ดีที่สุด จนได้พาน้องนั่งมาด้วย) หลายๆคนที่
เป็น Pet Lover เลยอยากรู้ข้อมูลรายละเอียด และบล็อกนี้จึงจะเกิดขึ้นค่ะ

ออนจะเขียนเป็นข้อๆนะคะ เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย ไม่สับสน



(พาไปตรวจสุขภาพกับคุณหมอ)

1. ต้องวางแผนทุกอย่างล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 เดือนเผื่อไว้กันพลาด เพราะ
จะต้องมีเรื่องของการจองตั๋วเครื่องบิน การเตรียมน้ำหนักของสัตว์เลี้ยง
การเตรียมเอกสารต่างๆ

2. ออนบินจาก LAX (Los Angeles) มาที่ BKK (สุวรรณภูมิ) โดยออนโทรจอง
ตั๋วเครื่องบินกับสายการบิน Korean Air (เพราะออนมีตั๋วขากลับไว้อยู่แล้ว เป็นแบบ
Open ticket) ซึ่งออนก็แจ้งระยะเวลาคร่าวๆที่ออนต้องการบินกลับเช่น ต้องการจะ
บินกลับช่วงเดือนตุลา ระหว่างวันที่ 10-20 รบกวนช่วยหาตั๋ว และเที่ยวบินที่สามารถ
พาสัตว์เลี้ยงขึ้นมาบนเครื่องด้วยกันจาก LAX-ICN และ ICN-BKK

ซึ่งทั้ง 2 เครื่องจะต้องมีที่ว่างและสามารถพาสัตว์เลี้ยงมาด้วยได้ เพราะบางที
เครื่อง LAX-ICN ว่าง แต่พอเปลี่ยนเครื่องจาก ICN-BKK กลับไม่ว่างก็มี
ดังนั้นต้องเช็คทั้ง 2 ไฟลท์ว่าว่างมั้ย

3. เมื่อเช็คไฟลท์แล้ว ต้องดูระยะเวลาในการเปลียนเครื่อง ไม่ให้นานเกินไป
เพราะสัตว์จะยิ่งเครียด ยิ่งนานก็ยิ่งอึดอัด สงสารสัตว์เลี้ยงอีก ระยะเวลาการ
เปลี่ยนเครื่องของออนคือประมาณ 2 ชั่วโมง ซึ่งกำลังดีเลย ไม่รีบเกินไป จน
เสียวตกเครื่อง แต่ก้ไม่นานเกินไป

4. เมื่อได้ไฟลท์ที่ลงตัวแล้ว ออนก็จองไฟลท์ พร้อมแจ้งความประสงค์ว่าจะนำ
แมวมาด้วย ทางสายการบินก็จะสอบถามข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงของ
เราเช่นสัตว์อะไร พันธุ์อะไร อายุเท่าไหร่ น้ำหนักเท่าไหร่ สีอะไร เพศอะไร เป็น
ข้อมูลคร่าวๆ ดังนั้นเราจะต้องเตรียมพร้อมในการให้ข้อมูลตรงนี้กับสายการบิน
ก่อนการจอง ซึ่งแนะนำว่าควรอ่านพวกกฏข้อบังคับต่างๆของสายการบินที่เรา
จะนำสัตว์ขึ้นมาให้เรียบร้อยก่อน

เพราะปัญหาส่วนมากที่เจอคือสัตว์เลี้ยงน้ำหนักเกิน.. ส่วนมากจะให้น้ำหนักรวม
กรงอยู่ที่ 5 กิโล หรือ 11 ปอนด์ และความสูงของกรงก็ไม่ควรสูงเกิน 10″
(ทั้งนี้ทั้งนั้นกฏข้อบังคับของแต่ละสายการบินอาจต่างกันค่ะ ต้องเช็คดูอีกที)
ถ้าสัตว์เลี้ยงของเราน้ำหนักเกินไม่มาก และเราอยากเอาขึ้นเครื่องจริงๆ แนะนำ
ให้ลดความอ้วนสัตว์เลี้ยง หรือพาไปปรึกษาคุณหมอเรื่องการลดอาหาร ลดอะไร
ให้ถุกสุขลักษณะ แต่ถ้าน้ำหนักเกินมากจริงๆ..คงทำอะไรไม่ได้ ต้องโหลดลง
ช่องกระเป๋าอย่างเดียว

5. หลังจากให้ข้อมูลกับทางสายการบินแล้ว ที่เหลือก็จะเป็นการเตรียมสุขภาพ
น้องแมว พวกวัคซีนต่างๆที่แมวควรจะได้ จะต้องมีครบเช่น Rabies Vaccine
และอื่นๆ โดยวัคซีนที่ฉีดจะต้องอายุไม่เกิน 1 ปี เพราะถ้าเกินจะต้องทำการฉีด
ใหม่อีกครั้ง ตรงนี้สำคัญมากนะคะ แต่ละประเทศก็มีข้อบังคับเรื่องวัคซีนแต่ละ
ประเภทที่ต่างกันออกไป ต้องเช็คดูด้วย และนำข้อมูลไปให้สัตว์แพทย์ เพื่อทำ
การฉีดวัคซีนให้ครบกำหนดต่างๆ เพราะถ้าวัคซีนไม่ครบ เราจะไปขอ
Health Certificate ต่อไม่ได้ค่ะ



(พาไปตัดขนช่วงกลางตัวแบบ Lion Cut เพื่อที่มิ้วน้อยจะได้ชินกับอากาศ
ร้อนๆที่ไทยตอนกลับมา จะได้ไม่ร้อนเกินไป ขนไม่ร่วง และไม่เป็นเชื้อรา)

6. พอสัตว์เลี้ยงมีวัคซีนครบแล้ว ก็ต้องส่งอีเมล์เพื่อขอใบอณุญาติจากกรมปศุสัตว์
ของไทยค่ะ ออนส่งไปที่ qsap_bkk@dld.go.th โดยสิ่งที่ต้องส่งให้เค้าจะมี
สำเนาพาสปอร์ตของเรา, รูปถ่ายสัตว์เลี้ยง, ระบุเพศ พันธุ์ สีอย่างชัดเจน, เอกสาร
วัคซีนที่เคยฉีดมาทั้งหมด, ที่อยู่ต้นทางที่ไทย, ที่อยู่ปลายทางที่ไทย และเที่ยวบินของเรา

7. หลังจากส่งไปแล้ว แนะนำให้โทรไปแจ้งที่เบอร์นี้ค่ะ 0-2134-0636 ว่าเราได้ทำ
การส่งอีเมล์เพื่อขอใบอณุญาติการนำสัตว์เลี้ยงเข้าไทยแล้ว รบกวนช่วยดำเนินเรื่อง
ให้ด้วย ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 5-7 วันทำการไม่เกินนี้ ถ้าหากเกิน แนะนำให้ลองโทรไป
เช็คอีกครั้ง เพื่อความชัวร์ค่ะ ไม่อย่างงั้นการเดินเรื่องอาจจะยิ่งช้า



(กระเป๋าของ JetPaws แบบมีช่องเก็บของใหญ่-เล็กหลายช่อง มีสายสะพายสั้น-ยาว)

8. หลังจากที่ทางปศุสัตว์ส่งใบอณุญาติตัวจริงมาให้ทางอีเมล์แล้ว ตอนนี้เราก็เริ่ม
เตรียมซื้ออุปกรณ์ของใช้ให้สัตว์เลี้ยงของเราได้เลยค่ะ ออนซื้อกรงจาก Amazon.com
โดยเลือกเป็นแบบ Airline Approved Carrier เพราะโอกาสที่จะใช้ไม่ได้จะน้อยกว่า
การซื้อกรงทั่วๆไปค่ะ ซึ่งออนซื้อแบบ Soft Crete ความรู้สึกส่วนตัวคือชอบมากกว่า
มันน่าจะไม่อึดอัด และทำให้แมวนอนสบายมากกว่า ออนซื้อของ JetPaws by JetBlue
เค้าจะออกแบบมาเพื่อการเดินทาง การขึ้นเครื่อง และการใส่กระเป๋าใต้เบาะที่นั่งโดยตรง



(ของจุ๊กจิ๊กเตรียมใส่กระเป๋าให้แพรีสก่อนพาขึ้นเครื่อง)

9. พอสั่งซื้อกระเป๋ามาแล้ว คราวนี้เวลาที่เหลือก็พยายามเอามิ้วน้อยเข้ากระเป๋าให้ชินค่ะ
วันละ 15-20 นาที ให้เค้าชินกับการอยู่ในกระเป๋า พอออกมาก็จะให้ขนม 1 เม้ดเป็นรางวัล
อะไรแบบนี้ และออนก็ซื้อของจุ๊กจิ๊กเตรียมสำหรับขึ้นเครื่องเช่น ชามอาหารแบบซีลีโคน
ที่ขยายขึ้นมาได้ 3 ระดับ ใส่น้ำ ใส่อาหารได้หมด หรือจะพับเก็บแบนเรียบ รวมถึงพวก
สเปรย์ฉีดกระเป๋า เพื่อให้แมวรู้สึกคลายเครียด และชินกับกลิ่น หรือน้ำที่ให้แมวกินได้
ทำจากสมุนไพรต่างๆ เพื่อให้แมวรู้สึกผ่อนคลาย และก็มีตุ๊กตาของเค้าตัวเล็กๆ ด้วย

นอกจากนี้ก็จะมีอาหารเม็ด ขนมขบเคี้ยวเผื่อหิ้ว เผื่อเครียด มี Pet Wipe แผ่นเปียก
สำหรับสัตว์เลี้ยง ในกรณีที่เค้าฉี่หรืออึ หรือกันไว้ก่อนก็ดีค่ะ

10. และเมื่อครบกำหนดก่อนวันเดินทาง 10 วัน เราต้องนำแมวไปตรวจสุขภาพอีกครั้ง
กับสัตว์แพทย์ เพื่อที่ทางสัตว์แพทย์จะได้ออกใบ Health Certificate มาให้ เราต้อง
แจ้งคำว่าใช้สำหรับ International ไม่อย่างนั้นอาจเป็นอีกใบค่ะ และห้ามตรวจสุขภาพ
ก่อนหน้านานๆ ต้องภายใน 10 วันก่อนเดินทางเท่านั้น พอตรวจเสร็จ เราก็จะได้
Health Certificate มาเลย ซึ่งออนขอยาให้แมวด้วยค่ะ เวลากินแล้วจะซึม แต่ไม่ได้หลับ
เพราะยานอนหลับอาจเป็นอันตรายกับแมวได้ แต่ยาที่หมอให้จะทำให้แมวง่วงๆ
ไม่เครียด ไม่ซึม โดยขนาดแพรีส หนัก 4 โลกว่าๆ หมอให้กินครึ่งเม็ด แต่ออน
ให้แค่เสี้ยวเดียว อารมณ์แบบกลัว ไม่อยากให้เยอะไป กลัวแมวเป็นอะไร

11. พอได้ Health Certificate แล้ว ก็เดินทางไป USDA office (บางคนอาจจะอยู่ไกล
ก็จะต้องส่งเอกสารแบบ FedEx/DHL ด่วนไป เพื่อให้เอกสารตีกลับมาทัน ทั้งนี้ทั้งนั้น
ถ้าเตรียมเอกสารไปไม่พร้อม ก็อาจจะต้องส่งไปใหม่ เสียเวลาใหม่) ซึ่งออนไป USDA
office ใกล้ๆ LA ขับรถไปชั่วโมงกว่าๆ ไม่ไกลมาก และต้องไปยื่นเอกสารทั้งหมดก่อน
11 โมงเช้านะคะ หลังจากนั้นจะไม่รับ

สิ่งที่ต้องเตรียมไปก็จะมี Health Certificate ที่สัตว์แพทย์ออกให้ และใบอณุญาติ
จากประเทศไทยไป ออนจะเผื่อพวกพาสปอร์ตของออนอะไรแบบนี้ไปด้วย แต่ไม่ต้อง
เอาสัตว์เลี้ยงไปนะคะ เค้าไม่ได้ตรวจสัตว์เลี้ยงเรา เค้าแค่ตรวจเอกสาร เสร็จแล้วเค้า
ก็จะปั้มตราประทับมาให้บน Health Certificate เป็นอันว่าเรียบร้อย ใช้เวลาไม่เกิน
15 นาที ราคาอยู่ที่ $38 ได้ ถ้าจำไม่ผิดค่ะ



12. พอถึงวันเดินทางก็เตรียมเอกสารทุกอย่างไปที่สนามบิน ลืมบอกไปว่าถ้าบินจาก
เมกากลับไทย โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่เกาหลี สัตว์เลี้ยงไม่จำเป็นต้องฝัง microship ค่ะ
พอถึงที่ counter ก็ให้เอกสารพนักงานทั้งหมด ของออนโชคดีที่ว่าพนักงานไม่ได้ชั่ง
น้ำหนักแมวหรือดุอะไรเลย ดูแค่เอกสาร เสร็จแล้วก็ให้ผ่านเลย (รู้งี้ใช้กรงใหญ่กว่า
นี้ดีกว่า แมวจะได้นอนสบายๆกว่านี้ อุตส่าห์กลัวไม่ผ่าน เลนซื้อขนามความสูงตาม
กฏเป๊ะๆ) หลังจากนั้นก็สบายแล้วค่ะ เข้า Gate ได้เลย

13. เวลาผ่านเครื่อง X-Ray ต่างๆ สัตว์เลี้ยงห้าม X-Ray นะคะ เพราะไม่งั้นอาจจะ
กระทบกับสัตว์เลี้ยงค่ะ เราจะต้องอุ้มเค้าออกมา แล้วเดินผ่านไปช่องธรรมดาให้เจ้าหน้าที่
ตรวจตัวเรา ส่วนกระเป๋าแมวก็ X-Ray ไป ระหว่างที่เราโดนตรวจ ก็ต้องอุ้มแมวดีๆค่ะ
เพราะเค้าอาจจะตื่นคน กระโดด หลุดไป เดี๋ยวจะยุ่งวุ่นวาย

14. ก่อนขึ้นเครื่องประมาณ 1 ชั่วโมง ออนก็จะผสมยาเสี้ยวนึงกับขนมให้เค้ากิน เพื่อ
ที่ยาจะได้เริ่มออกฤทธิ์ตอนขึ้นเครื่องพอดี นอกจากนี้ออนก็เตรียมห้องน้ำพกพาให้เค้า
ด้วย โดยออนเอาลังกระดาษขนาดเล็ก (เป็นคล้ายๆถาดเวลาซื้ออาหารแมวกระป๋อง
แบบเหมาโหลมา เค้าจะใส่ถาดนั้นมา) เสร็จแล้วก็เอาถุงพลาสติกคลุมถาดซัก 2-3 ชั้น
และพกทรายแมวถุงเล็กๆใส่กระเป๋ามาด้วย เวลาจะให้เค้าฉี่หรืออึ ก็จะพาเค้าไปเข้าห้องน้ำ
คน และเททรายใส่ถาด จับก้นเค้ากดๆๆ แต่แมวส่วนมากถ้าไม่ชินกลิ่น ไม่ชินที่ หรือเครียด
อยู่ จะไม่ค่อยอึค่ะ สรุปว่าตลอดเวลา 20 กว่าชั่วโมงจนถึงไทย ออนอุ้มเค้าไปห้องน้ำ
ประมาณ 4-5 รอบ แพรีสไม่ฉี่ไม่อึเลย แต่เวลาให้ขนมจะกิน



15. ระหว่างขึ้นเครื่อง แพรีสเป็นแมวท่ไม่ร้องอยู่แล้ว เรียกว่าไม่เคยร้องเลยก็ได้ เงียบมาก
บวกกับกินยาเข้าไป เค้าก็จะหลับนอน ง่วง ไปตลอดทาง เรียกว่าเงียบมากจนสจ๊วตเดิน
มาถามว่า “Is she still alive?” เอิบบบบบ…

พอตอนปิดไฟ คนหลับกันหมดแล้ว ออนก็แอบอุ้มเอาออกมาแป้บนึง ให้เค้ายืดเส้นยืดสาย
หน่อย แมวออนไม่ดื้อ ค่อนข้างนิ่งเลยไม่วุ่นวาย แต่ถ้าสัตว์เลี้ยงของใครวุ่นวาย ไม่
แนะนำเลยค่ะ เพราะอาจทำให้เกิดความรำคาณกับผู้โดยสารท่านอื่น เดี๋ยวมีปัญหากับ
สายการบินด้วย เพราะตามหลักแล้วเค้าไม่ให้เอาออกมา

16. ระหว่างที่สัตว์เลี้ยงอยู่ในกระเป๋า ออนจะพยายามดูเรื่อยๆทุก 1 ชั่วโมง ว่าโอเคมั้ย
หลับดีรึเปล่า เพราะกลัวเค้าจะเครียดจนช็อก แต่ทุกอย่างก็ราบรื่นดีค่ะ



17. พอเครื่องลงแล้วก็ต้องไปตรงห้องกักกันสัตว์ที่สุวรรณภูมิ เพื่อยื่นเอกสาร
รวมถึงเสียภาษีนำเข้า รู้สึกว่าอยู่ที่ 1,000 บาท เสร็จแล้วก็พามิ้วน้อยออกได้เลย
ไม่โดนกักตัวหรืออะไรใดๆทั้งสิ้นค่ะ

อันนี้ก็เป็นขั้นตอนต่างๆที่ออนเขียนมาแชร์เป็นประสบการณ์นะคะ
ซึ่งทั้งหมดนี้จะไม่สำเร็จเลยถ้าไม่มี “พี่เบียร์” พี่สาวใจดีจากในเพจของออนเอง ที่เคยนำ
มิ้วน้อยจาก DC กลับมาไทย 2 ตัว พี่เบียร์เป็นคนให้ข้อมูล คำแนะนำทุกอย่าง เรียกว่า
อธิบายทุกขั้นทุกตอน เพราะตอนที่ออนหาข้อมูลเอง ออนมึนมาก แต่ละแหล่งข้อมูล
ก็เขียนต่างกันไปหมด ถ้าไม่ได้พี่เบียร์ แพรีสมีสิทธิ์อดกลับไทย ต้องขอบคุณพี่เบียร์มากๆนะคะ

หวังว่าบล็อกนี้จะเป็นประโยชน์กับสาวๆที่รักสัตว์และอยากพาขึ้นเครื่องมากด้วยกัน
ที่สำคัญอย่าลืมเผื่อเวลา เตรียมเอกสารดีๆ เช็คตรวจสอบเอกสารทั้งหมดนะคะ
ไม่งั้นถ้ามีปัญหาในวันก่อนขึ้นเครื่อง เดี๋ยวจะแย่ค่ะ

เจอกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ
สวัสดีค่า
ชื่อสินค้า:   Korean Air
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่