สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ติดปากกันทุกคนล่ะครับ กับคำถาม-คำตอบเรื่อง "เวลา" ไม่ว่าจะเป็น
"กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย"
"ดูนาฬิกาให้หน่อย กี่โมงแล้ว"
"สิบเอ็ดโมงเจอกันนะ"
"คืนนี้กลับดึกหน่อยนะ อาจจะสักสี่ทุ่ม"
เคยสงสัยไหมครับว่า การบอกเวลาแบบไม่เป็นทางการของบ้านเราที่ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ทวด นั้นมีศัพท์แปลกๆ อย่าง "ทุ่ม" - "โมง" อยู่ คำสองคำนี้มีที่มาน่าสนุกไม่น้อยครับ ตามไอน์สไตน์น้อยไปดูกันดีกว่าครับ
สำหรับประเทศไทยแล้ว วิธีการขานเวลามีสองแบบ คือแบบเป็นทางการและแบบไม่เป็นทางการ แบบเป็นทางการทุกคนคงททราบดี ส่วนแบบไม่เป็นทางการเป็นแบบโบราณครับ เพราะเมื่อก่อนยังไม่มีนาฬิกา นาฬิกายังเป็นของแพง มีเฉพาะสถานที่สำคัญเช่นสถานที่สำคัญ ศาลากลางจังหวัด อะไรแบบนั้น ดังนั้นการจะขานเวลาหรือบอกเวลา จำเป็นต้องแจ้งด้วยสัญญาณที่ดังพอจะได้ยินกันในระยะไกลครับ
อย่างในตอนกลางวัน สังคมสยามสมัยก่อนจะบอกเวลาโดยอาศัยการตีฆ้อง ซึ่งจะให้เสียงดัง “โหม่ง” โดยชั่วโมงแรกของวันตามทัศนะคนไทยคือ 7 นาฬิกา ( เพราะนับจากเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6 นาฬิกา ไม่ได้ถือตามฝรั่งที่เอาเวลา 1 นาฬิกาเป็นชั่วโมงแรกของวัน ) ทางการก็จะตีฆ้อง 1 ครั้ง กลายเป็น 1 โหม่ง หรือ 1 โมงเช้า เวลา 8 นาฬิกาก็จะตี 2 ครั้ง เป็น 2 โมงเช้า เวลา 9 นาฬิกาก็จะ 3 ครั้งเป็น 3 โมงเช้า เรื่อยไปจนถึงเวลา 11 นาฬิกาหรือ 5 โมงเช้า บางครั้งก็จะเรียกว่า “เวลาเพล” ตามเวลาที่พระฉันเพล ส่วนเวลา 12นาฬิกาจะเรียกว่า “เที่ยงวัน”
คำว่า "โมง" จึงมาจากการเลียนเสียงฆ้องที่คนไทยสมัยก่อนฟังได้ว่า มันจะส่งเสียง "โหม่ง" เมื่อตีนั่นแหละครับ
ชั่วโมงแรกหลังจากเที่ยงวันก็จะกลับมาตีฆ้อง 1 ครั้งอีกที เวลา 13 นาฬิกาจึงเรียกว่า 1 โมงบ่าย หรือ บ่าย 1 โมง เวลา 14 นาฬิกาก็จะตี 2 ครั้ง เป็นบ่าย 2 โมง เรื่อยไปจนถึงเวลา 16 และ 17 นาฬิกา อาจเรียกว่าบ่าย 4 โมง บ่าย 5 โมง (ตามลำดับ) หรือจะเรียกว่า 4 โมงเย็น 5 โมงเย็น (ตามลำดับ) ก็ได้ แต่วิธีเรียกอย่างหลังจะเป็นที่นิยมมากกว่าในปัจจุบัน ส่วนเวลา 18 นาฬิกานั้นจะเรียก 6 โมงเย็น
สำหรับเวลากลางคืนจะใช้กลองเป็นเครื่องบอกเวลา เมื่อเลยเวลาย่ำค่ำมา 1 ชั่วโมง (คือเวลา 19 นาฬิกา ) ก็จะตีกลอง1 ครั้ง เสียงดัง “ตุ้ม” กลายเป็นเวลา 1 ทุ่ม เมื่อเลยเวลาย่ำค่ำมา 2 ชั่วโมง ( 20 นาฬิกา ) ก็จะตีกลอง 2 ครั้ง เสียงดัง “ตุ้ม ตุ้ม” กลายเป็นเวลา 2 ทุ่มนั่นเอง และจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนถึงเวลา 23 นาฬิกาหรือ 5 ทุ่ม หลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมงก็เป็นเวลา “เที่ยงคืน”
คำว่า "ทุ่ม" จึงมีที่มาจาก "ตุ้มๆ" ของกลองบอกเวลานั่นเองครับ
หลังเที่ยงคืนไปแล้วจะเปลี่ยนมาตีแผ่นโลหะเพื่อบอกเวลาแทนกลอง เข้าใจว่าเพื่อให้เสียงเบาลง จะได้ไม่รบกวนชาวบ้านที่กำลังหลับพักผ่อน อย่างไรก็ตาม เสียงตีแผ่นโลหะจะมีลักษณะแหลม สามารถบอกเวลาให้กับผู้ที่ยังไม่นอนได้ และก็ไม่เป็นการปลุกคนที่หลับไปแล้วด้วย อนึ่ง เสียงจากการตีแผ่นโลหะนั้นก็ฟังไม่ชัดพอที่จะถอดออกมาเป็นคำได้ การบอกเวลาในช่วงนี้จึงไม่ได้มีหน่วยเป็นเสียงเคาะแบบทุ่มหรือโมงอย่างเวลาช่วงก่อนหน้านี้ คงใช้คำว่า “ตี” นำหน้าจำนวนครั้งที่เคาะแผ่นโลหะ นั่นคือ เวลา 1 นาฬิกา จะตีแผ่นโลหะ 1 ครั้ง เรียกว่าเวลาตีหนึ่ง เวลา 2 นาฬิกาก็จะตี 2 ครั้ง เรียกว่า ตีสอง เรื่อยไปจนถึงเวลา 5 นาฬิกา ก็จะเรียกว่าตีห้า
เครดิต http://knowledge.truelife.com/content/detail/966542
"กี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย"
"ดูนาฬิกาให้หน่อย กี่โมงแล้ว"
"สิบเอ็ดโมงเจอกันนะ"
"คืนนี้กลับดึกหน่อยนะ อาจจะสักสี่ทุ่ม"
เคยสงสัยไหมครับว่า การบอกเวลาแบบไม่เป็นทางการของบ้านเราที่ใช้กันมาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ทวด นั้นมีศัพท์แปลกๆ อย่าง "ทุ่ม" - "โมง" อยู่ คำสองคำนี้มีที่มาน่าสนุกไม่น้อยครับ ตามไอน์สไตน์น้อยไปดูกันดีกว่าครับ
สำหรับประเทศไทยแล้ว วิธีการขานเวลามีสองแบบ คือแบบเป็นทางการและแบบไม่เป็นทางการ แบบเป็นทางการทุกคนคงททราบดี ส่วนแบบไม่เป็นทางการเป็นแบบโบราณครับ เพราะเมื่อก่อนยังไม่มีนาฬิกา นาฬิกายังเป็นของแพง มีเฉพาะสถานที่สำคัญเช่นสถานที่สำคัญ ศาลากลางจังหวัด อะไรแบบนั้น ดังนั้นการจะขานเวลาหรือบอกเวลา จำเป็นต้องแจ้งด้วยสัญญาณที่ดังพอจะได้ยินกันในระยะไกลครับ
อย่างในตอนกลางวัน สังคมสยามสมัยก่อนจะบอกเวลาโดยอาศัยการตีฆ้อง ซึ่งจะให้เสียงดัง “โหม่ง” โดยชั่วโมงแรกของวันตามทัศนะคนไทยคือ 7 นาฬิกา ( เพราะนับจากเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณ 6 นาฬิกา ไม่ได้ถือตามฝรั่งที่เอาเวลา 1 นาฬิกาเป็นชั่วโมงแรกของวัน ) ทางการก็จะตีฆ้อง 1 ครั้ง กลายเป็น 1 โหม่ง หรือ 1 โมงเช้า เวลา 8 นาฬิกาก็จะตี 2 ครั้ง เป็น 2 โมงเช้า เวลา 9 นาฬิกาก็จะ 3 ครั้งเป็น 3 โมงเช้า เรื่อยไปจนถึงเวลา 11 นาฬิกาหรือ 5 โมงเช้า บางครั้งก็จะเรียกว่า “เวลาเพล” ตามเวลาที่พระฉันเพล ส่วนเวลา 12นาฬิกาจะเรียกว่า “เที่ยงวัน”
คำว่า "โมง" จึงมาจากการเลียนเสียงฆ้องที่คนไทยสมัยก่อนฟังได้ว่า มันจะส่งเสียง "โหม่ง" เมื่อตีนั่นแหละครับ
ชั่วโมงแรกหลังจากเที่ยงวันก็จะกลับมาตีฆ้อง 1 ครั้งอีกที เวลา 13 นาฬิกาจึงเรียกว่า 1 โมงบ่าย หรือ บ่าย 1 โมง เวลา 14 นาฬิกาก็จะตี 2 ครั้ง เป็นบ่าย 2 โมง เรื่อยไปจนถึงเวลา 16 และ 17 นาฬิกา อาจเรียกว่าบ่าย 4 โมง บ่าย 5 โมง (ตามลำดับ) หรือจะเรียกว่า 4 โมงเย็น 5 โมงเย็น (ตามลำดับ) ก็ได้ แต่วิธีเรียกอย่างหลังจะเป็นที่นิยมมากกว่าในปัจจุบัน ส่วนเวลา 18 นาฬิกานั้นจะเรียก 6 โมงเย็น
สำหรับเวลากลางคืนจะใช้กลองเป็นเครื่องบอกเวลา เมื่อเลยเวลาย่ำค่ำมา 1 ชั่วโมง (คือเวลา 19 นาฬิกา ) ก็จะตีกลอง1 ครั้ง เสียงดัง “ตุ้ม” กลายเป็นเวลา 1 ทุ่ม เมื่อเลยเวลาย่ำค่ำมา 2 ชั่วโมง ( 20 นาฬิกา ) ก็จะตีกลอง 2 ครั้ง เสียงดัง “ตุ้ม ตุ้ม” กลายเป็นเวลา 2 ทุ่มนั่นเอง และจะเป็นอย่างนี้เรื่อยไปจนถึงเวลา 23 นาฬิกาหรือ 5 ทุ่ม หลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมงก็เป็นเวลา “เที่ยงคืน”
คำว่า "ทุ่ม" จึงมีที่มาจาก "ตุ้มๆ" ของกลองบอกเวลานั่นเองครับ
หลังเที่ยงคืนไปแล้วจะเปลี่ยนมาตีแผ่นโลหะเพื่อบอกเวลาแทนกลอง เข้าใจว่าเพื่อให้เสียงเบาลง จะได้ไม่รบกวนชาวบ้านที่กำลังหลับพักผ่อน อย่างไรก็ตาม เสียงตีแผ่นโลหะจะมีลักษณะแหลม สามารถบอกเวลาให้กับผู้ที่ยังไม่นอนได้ และก็ไม่เป็นการปลุกคนที่หลับไปแล้วด้วย อนึ่ง เสียงจากการตีแผ่นโลหะนั้นก็ฟังไม่ชัดพอที่จะถอดออกมาเป็นคำได้ การบอกเวลาในช่วงนี้จึงไม่ได้มีหน่วยเป็นเสียงเคาะแบบทุ่มหรือโมงอย่างเวลาช่วงก่อนหน้านี้ คงใช้คำว่า “ตี” นำหน้าจำนวนครั้งที่เคาะแผ่นโลหะ นั่นคือ เวลา 1 นาฬิกา จะตีแผ่นโลหะ 1 ครั้ง เรียกว่าเวลาตีหนึ่ง เวลา 2 นาฬิกาก็จะตี 2 ครั้ง เรียกว่า ตีสอง เรื่อยไปจนถึงเวลา 5 นาฬิกา ก็จะเรียกว่าตีห้า
เครดิต http://knowledge.truelife.com/content/detail/966542
แสดงความคิดเห็น
สงสัยเกี่ยวกับการเรียกเวลา 2 โมง 3 โมง 4 โมง เราถนัดเรียก 9 โมง 10 โมง 11 โมง เพื่อนๆเรียกกันแบบไหน?
แต่เริ่มไม่ปกติเมื่อเวลาสนทนากับเพื่อนๆ ซึ่งเรียกเวลาช่วงเช้า กันเป็น 2โมง 3 โมง !!! แถมยังบอกว่าดิฉันว่า ที่กรุงเทพฯ เขาเรียกกันเป็นแบบนี้
ดิฉันถนัดกับ คำว่า 2 โมง 3 โมง หมายถึงตอนบ่ายๆ แต่ว่าเพื่อนดิฉันเรียก ได้ทั้งเช้าทั้งบ่ายแถมยังบอกดิฉันว่า ต่างจังหวัดมาก !!
เลยอยากถามเพื่อนๆว่า ปกติเรียกเวลา เช้า ช่วง 08.00 น-12.00 น. กันแบบไหนคะ?