สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ประเด็นนี้ถกกันร้อนแรงมากๆในหมู่คนไทยที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษและในหมู่คนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษ
บางคนก็บอก "grammar จำเป็น" บางคนก็บอกว่า "ไม่ต้องไปสนใจ grammar มัน"
สมัยเราเล่น pantip ใหม่ๆนะ เรา (คิดว่า) เราไม่เคยเรียน grammar เลย ไม่เคยอ่านตำรา grammar ไม่เคยลงเรียนหลักสูตร grammar ที่ไหนเลย แต่ตอนนั้นเราใช้ทักษะภาษาอังกฤษหาเงินมาแล้วหลายปี ตั้งแต่เป็นนักแปลซึ่งส่วนใหญ่เราแปลไทยเป็นอังกฤษ เราเป็น editor (ตรวจแก้) ภาษาอังกฤษของนักแปลคนอื่นๆที่จบเอกอังกฤษมาที่แม่น grammar แต่เราก็ยังอุตส่าห์แก้ภาษาอังกฤษเค้าได้ เราเป็นล่ามแล้วก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษด้วย
^
ตัวเราเองก็เคยหลงผิดคิดว่า “เราไม่ต้องเรียน grammar แต่เราก็เก่งอังกฤษได้”
^
ซึ่งมันไม่จริง ไม่จริง!
ข้อสรุปที่จะบ่งบอกว่าเราเข้าใจอะไรผิดๆเกี่ยวกับเรื่อง grammar (แต่ตอนนี้เราเข้าใจถูกแล้ว) นั่นก็คือว่า
***** ไอ้ที่เราคิดว่าเราใช้ภาษาอังกฤษหาเงินได้ในระดับมืออาชีพทั้งๆที่เราไม่เคยเรียน grammar น่ะ จริงๆแล้วเราเข้าใจผิด คือจริงๆแล้วเราเรียน grammar มา แต่เรียนโดยไม่รู้ตัวต่างหากล่ะ!*****
^
พูดงี้แล้ว จะงง แต่ถ้างงเราจะค่อยๆอธิบายให้ฟัง
เราพยายามนึกภาพครูไทยสอน grammar เรื่องที่ basic ที่สุด คือ parts of speech ครูไทยส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยอธิบายให้นักเรียนฟังเป็นวรรคเป็นเวรว่า nouns, adjectives, adverbs คืออะไร แล้วมันมีกี่ประเภท แล้วมันทำหน้าที่อะไรได้บ้าง บล๊าบๆๆๆๆ แล้วพอสอนเรื่อง tenses ก็อธิบายเป็นวรรคเป็นเวรว่า tense ไหนมีอะไรบวกอะไร บวกอะไรจนน่าเวียนหัว
^
ส่งผลให้นักเรียนฟังแต่ภาษาไทย แต่ไม่ได้ฝึก interactive communications ในที่สุด style การสอนภาษาอังกฤษแบบไทยๆ ก็เลยต้องสอน grammar เป็นวิชาเดี่ยวๆแยกออกไปจากการสอน conversation ซึ่งมันไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย
แต่เราค้นพบว่ามันมีวิธีสอน conversation กับสอน grammar (ที่จำเป็น) พร้อมๆกันในแต่ละ teaching session (รอบการสอน) ซึ่งจริงๆแล้วครูที่เก่งมากๆสามารถสอน listening, speaking, reading, writing and grammar ไปพร้อมๆกันได้ในแต่ละ teaching session โดยที่ครูแทบไม่ต้องอธิบายกฎ grammar เป็นภาษาไทยให้นักเรียนเวียนหัวเลยหละ
นั่นก็คือ
สอนให้นักเรียนรู้ว่า “การเรียนภาษาอังกฤษคือการฝึกผันคำศัพท์และผันรูปประโยค”
^
ใช่แล้ว! นี่เป็นวิธีการที่เราเรียนภาษาอังกฤษจนใช้งานมันได้อย่างถูกต้อง แต่โดยไม่มีใครอธิบายกฎ grammar ให้เราฟัง และเราก็ไม่รู้ชื่อกฎ grammar ต่างๆด้วย (มารู้ชื่อกฎ grammar ต่างๆเอาก็เมื่ออายุมากๆแล้วตอนเราใช้ภาษาอังกฤษประกอบอาชีพมาแล้วตั้งหลายปี) คือตอนแรกๆน่ะเราเรียนด้วย "ความสังเกต คอยจับตามองดู patterns ของคำศัพท์ภาษาอังกฤษกับรูปประโยคภาษาอังกฤษ จนเราพัฒนาสัมผัสพิเศษขึ้นมา แล้วหยั่งรู้ได้ว่าพูดเขียนอังกฤษแบบไหนถูกต้องเป็นธรรมชาติ และอย่างไหนผิดธรรมชาติ"
ยกตัวอย่างเช่น เราเรียนวิธีใช้คำศัพท์กับ derivatives (ศัพท์ที่มาจากตระกูลเดียวกัน) สร้างประโยคพลิกแพลงในหลายๆรูปแบบ
อย่างเช่นเราเอาตัวอย่างประโยคการใช้
interest, interesting, interested, interestingly
ที่เราเคยฝึกตัวเองมาในอดีต มาป้อนให้นักเรียนฝึกฟังแล้วฝึกพูดพลิกกลับไปกลับมา แล้วออกมาเป็นแบบนี้
จะลองผันให้ดู
Children interest me.
Children are interesting.
I am interested in children.
I find children interesting.
I find children to be interesting.
I have interest in children.
Interestingly, she has so many children at her age.
คราวนี้ลองแบบนี้บ้างดิ
respect, respectable, respectably, respectful, respectfully
มันออกมาแบบนี้
She is a respectable person.
She earns my respect.
I respect her.
I talk to her in a respectful manner.
I talk to her respectfully.
She is respectably dressed.
^
จากนั้นเราให้นักเรียนเอาประโยคตัวอย่างพวกนี้ไปฝึกพูดพลิกแพลงกลับไปกลับมาโดยเปลี่ยน subject, verb, object และ modifiers ไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องอธิบายกฎ grammar เลย แต่ถ้านักเรียนพูดผิดเราก็ค่อยๆแก้ไขข้อผิดพลาดให้
คราวนี้เป็นการสอน conjugation of verbs (ผันกริยา) เพราะเราเคยเห็นคนโตๆที่รู้ศัพท์ยากๆเยอะๆ เขียนภาษาอังกฤษผิดเละตอนเรียน writing มันผิดเยอะที่ verb forms เพราะไม่เคยเรียนการผันกริยานั่นเอง
ลองมาดูรูปแบบง่ายๆกัน
ยกตัวอย่างให้นักเรียนแบบนี้
What do you like to eat?
I like to eat noodle.
I eat noodle nearly every day.
I ate noodle yesterday.
I’m going to eat noodle tomorrow.
I will eat noodle tomorrow
I have already eaten noodle ten times this week.
แล้วแบบนี้
What don't you like to eat?
I don't like to eat noodle.
I hardly eat noodle.
I ate noodle ten years ago.
I have eaten noodle too many times already.
I'm not going to eat noodle again in my life.
I will never eat noodle again in my life.
^
นี่สอนได้ไปตั้งหลาย tenses ที่จำเป็นแล้วหละ โดยไม่ต้องอธิบายเลยว่า อะไรบวกกับอะไร ให้นักเรียนเวียนหัว
จากนั้นเราก็ให้โจทย์แบบนี้
grandma กับ take a walk in the park
แล้วให้นักเรียนจับคู่ improvise กัน โดยการเลียนแบบตัวอย่างประโยคข้างบน
ซึ่งใน classroom situations จะมีทั้ง controlled practice (ครูคอยแก้ข้อผิดพลาดให้นักเรียน) และ uncontrolled practice (ครูเดินออกนอกห้องเรียนสักพักหนึ่ง แล้วปล่อยให้นักเรียนฝึก improvisation กันเอง)
พอนักเรียนเก่ง improvisation จนพูดได้ถูกต้องแล้วเราจะสอน role play คือให้นักเรียนเล่นละครกันโดยการสร้างเนื้อเรื่องสร้างฉากให้นักเรียนสวม บทบาทต่างๆ
ทั้ง improvisation กับ role play ถ้าผู้สอนคิด dialogues ตลกๆ มันจะจุดประกายให้นักเรียนคิด dialogues ตลกๆเพิ่มเติมเพื่อมาเล่นสนุกกันได้ การเรียนแทนที่จะคร่ำเครียดก็จะกลาย เป็น edutainment ไปซึ่งได้ทั้งความรู้และความบันเทิงไปพร้อมๆกัน
^
นี่เป็นการสอน grammar โดยไม่อธิบายกฎ grammar ให้นักเรียนท้อใจ
นี่แค่สาธิตประโยคง่ายๆ แค่ 3-4 tenses แต่เป้าหมายในการสอนนักเรียนให้พูดได้ถูก grammar (สอนพูดพร้อมๆสอน grammar แต่โดยไม่อธิบายกฎ grammar) ก็คือสอนให้ครบ 12 tenses ทั้ง active voice และ passive voice รวม 24 รูปแบบ
^
เราใช้ audios/videos เสียงฝรั่งพูด มาสอนนักเรียนฟังกับพูด ไปพร้อมๆกัน และคิดประโยคให้นักเรียน improvise ซึ่งจะต้องเป็นประโยคที่ meaningful ทำให้จดจำศัพท์ได้ง่าย และในกระบวนการ improvisation เนื้อหาจะค่อยๆเพิ่มรูปประโยคที่สอน topics อื่นๆด้วย เช่น comparative and superlative adjectives, countable and uncountable nouns การวางตำแหน่ง adjectives และ adverbs, วิธีใช้ non-finite verbs สร้างประโยค จนไปถึงเรื่อง clauses กับ sentence structure และอื่นอีกมากมาย (ค่อยๆเติมองค์ประกอบเข้าไป) แต่ที่แน่ๆก็คือ ในการพูดเขียนประโยคพลิก แพลงโดยเปลี่ยน subject ไปเรื่อยๆมันสอนให้นักเรียนแม่น subject and verb agreement
ซึ่งเราก็แปลกใจว่าสมัยนี้เขาสอนภาษาอังกฤษกันยังไงหว่า แปลกใจที่อยู่ดีๆ ครูดันให้การบ้านแปล (เห็นเด็กมาถามการบ้านแปลตั้งมากมายใน pantip) ไม่รู้ว่าจะให้การบ้านแปลไปทำไมกัน ไอ้แปลอังกฤษเป็นไทยเด็กอ่านอังกฤษไม่รู้เรื่องนี้แย่หน่อย แต่ไม่แย่เท่ากรณีที่ครูให้เด็กแปลไทยเป็นอังกฤษแล้วเด็กเขียนคำแปลภาษาอังกฤษผิดธรรมชาติเละหมดทุกประโยค เห็นแบบนี้แล้วมึนหัว...!!?? อีกทั้งครูดันให้นักเรียนท่องศัพท์ไปตั้งมากมายจนสมองจะบานตาย บางรายมาใหม่แบบถึงกับพยายามสอนเด็กให้ร้องเพลงท่องศัพท์เพื่อให้เด็กเพลิน แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากนักหรอก เพราะพอเด็กเขียน essays กลายเป็น conjugate verbs ไม่เป็น และเขียน subject กับ verb ไม่ agree กัน
^
*****จำไว้ว่า verb เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในบรรดา parts of speech ทั้งหมด ถ้าคุณไม่เรียนรู้วิธี conjugate verbs ออกมาเป็น 12 tenses ทั้ง active sentences กับ passive sentences ให้ครบ 24 รูปแบบ คุณก็ไม่มีทางที่จะพูดเขียนอังกฤษได้อย่างถูกต้องหรอก*****
^
สรุปแล้วนี่คือวิธีที่เราเรียนพูดพร้อมๆกับเรียน grammar มาในเวลาเดียวกัน (และเราจำวิธีนี้ไปสอนนักเรียน) เพียงแต่เราไม่เคยฟังครูอธิบายกฎ grammar (เพราะครูฝรั่งที่สอนภาษาอังกฤษเราไม่เคยอธิบายกฎ grammar ให้เราเวียนหัว)
เราก็เลยหลงคิดว่า “ตัวเองเก่งอังกฤษได้โดยไม่เคยเรียน grammar”
^
ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่
*****ความจริงมันก็คือ เราเรียน grammar โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองเรียน grammar มาเยอะมากๆ โดยที่เราไม่เคยรู้จักชื่อเรียกของมันว่ามันเป็น grammar หัวข้อไหน เพราะเราไม่เคยเรียนแบบที่คนไทยเค้าเรียนกัน และไม่เคยเรียนแบบที่ครูหรือติวเตอร์คนไทยเค้าสอนกัน แต่เราเรียนโดยการฝึกผันรูปแบบของคำศัพท์และผันรูปประโยคไปเรื่อยๆ จนเราพูดเขียนอังกฤษถูกต้องแบบพัฒนาสัมผัสพิเศษขึ้นมาจนหยั่งรู้ได้ว่าประโยคภาษาอังกฤษแบบไหนถูกต้องเป็นธรรมชาติและแบบไหนผิดธรรมชาติ*****
บางคนก็บอก "grammar จำเป็น" บางคนก็บอกว่า "ไม่ต้องไปสนใจ grammar มัน"
สมัยเราเล่น pantip ใหม่ๆนะ เรา (คิดว่า) เราไม่เคยเรียน grammar เลย ไม่เคยอ่านตำรา grammar ไม่เคยลงเรียนหลักสูตร grammar ที่ไหนเลย แต่ตอนนั้นเราใช้ทักษะภาษาอังกฤษหาเงินมาแล้วหลายปี ตั้งแต่เป็นนักแปลซึ่งส่วนใหญ่เราแปลไทยเป็นอังกฤษ เราเป็น editor (ตรวจแก้) ภาษาอังกฤษของนักแปลคนอื่นๆที่จบเอกอังกฤษมาที่แม่น grammar แต่เราก็ยังอุตส่าห์แก้ภาษาอังกฤษเค้าได้ เราเป็นล่ามแล้วก็เป็นครูสอนภาษาอังกฤษด้วย
^
ตัวเราเองก็เคยหลงผิดคิดว่า “เราไม่ต้องเรียน grammar แต่เราก็เก่งอังกฤษได้”
^
ซึ่งมันไม่จริง ไม่จริง!
ข้อสรุปที่จะบ่งบอกว่าเราเข้าใจอะไรผิดๆเกี่ยวกับเรื่อง grammar (แต่ตอนนี้เราเข้าใจถูกแล้ว) นั่นก็คือว่า
***** ไอ้ที่เราคิดว่าเราใช้ภาษาอังกฤษหาเงินได้ในระดับมืออาชีพทั้งๆที่เราไม่เคยเรียน grammar น่ะ จริงๆแล้วเราเข้าใจผิด คือจริงๆแล้วเราเรียน grammar มา แต่เรียนโดยไม่รู้ตัวต่างหากล่ะ!*****
^
พูดงี้แล้ว จะงง แต่ถ้างงเราจะค่อยๆอธิบายให้ฟัง
เราพยายามนึกภาพครูไทยสอน grammar เรื่องที่ basic ที่สุด คือ parts of speech ครูไทยส่วนใหญ่จะพูดภาษาไทยอธิบายให้นักเรียนฟังเป็นวรรคเป็นเวรว่า nouns, adjectives, adverbs คืออะไร แล้วมันมีกี่ประเภท แล้วมันทำหน้าที่อะไรได้บ้าง บล๊าบๆๆๆๆ แล้วพอสอนเรื่อง tenses ก็อธิบายเป็นวรรคเป็นเวรว่า tense ไหนมีอะไรบวกอะไร บวกอะไรจนน่าเวียนหัว
^
ส่งผลให้นักเรียนฟังแต่ภาษาไทย แต่ไม่ได้ฝึก interactive communications ในที่สุด style การสอนภาษาอังกฤษแบบไทยๆ ก็เลยต้องสอน grammar เป็นวิชาเดี่ยวๆแยกออกไปจากการสอน conversation ซึ่งมันไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย
แต่เราค้นพบว่ามันมีวิธีสอน conversation กับสอน grammar (ที่จำเป็น) พร้อมๆกันในแต่ละ teaching session (รอบการสอน) ซึ่งจริงๆแล้วครูที่เก่งมากๆสามารถสอน listening, speaking, reading, writing and grammar ไปพร้อมๆกันได้ในแต่ละ teaching session โดยที่ครูแทบไม่ต้องอธิบายกฎ grammar เป็นภาษาไทยให้นักเรียนเวียนหัวเลยหละ
นั่นก็คือ
สอนให้นักเรียนรู้ว่า “การเรียนภาษาอังกฤษคือการฝึกผันคำศัพท์และผันรูปประโยค”
^
ใช่แล้ว! นี่เป็นวิธีการที่เราเรียนภาษาอังกฤษจนใช้งานมันได้อย่างถูกต้อง แต่โดยไม่มีใครอธิบายกฎ grammar ให้เราฟัง และเราก็ไม่รู้ชื่อกฎ grammar ต่างๆด้วย (มารู้ชื่อกฎ grammar ต่างๆเอาก็เมื่ออายุมากๆแล้วตอนเราใช้ภาษาอังกฤษประกอบอาชีพมาแล้วตั้งหลายปี) คือตอนแรกๆน่ะเราเรียนด้วย "ความสังเกต คอยจับตามองดู patterns ของคำศัพท์ภาษาอังกฤษกับรูปประโยคภาษาอังกฤษ จนเราพัฒนาสัมผัสพิเศษขึ้นมา แล้วหยั่งรู้ได้ว่าพูดเขียนอังกฤษแบบไหนถูกต้องเป็นธรรมชาติ และอย่างไหนผิดธรรมชาติ"
ยกตัวอย่างเช่น เราเรียนวิธีใช้คำศัพท์กับ derivatives (ศัพท์ที่มาจากตระกูลเดียวกัน) สร้างประโยคพลิกแพลงในหลายๆรูปแบบ
อย่างเช่นเราเอาตัวอย่างประโยคการใช้
interest, interesting, interested, interestingly
ที่เราเคยฝึกตัวเองมาในอดีต มาป้อนให้นักเรียนฝึกฟังแล้วฝึกพูดพลิกกลับไปกลับมา แล้วออกมาเป็นแบบนี้
จะลองผันให้ดู
Children interest me.
Children are interesting.
I am interested in children.
I find children interesting.
I find children to be interesting.
I have interest in children.
Interestingly, she has so many children at her age.
คราวนี้ลองแบบนี้บ้างดิ
respect, respectable, respectably, respectful, respectfully
มันออกมาแบบนี้
She is a respectable person.
She earns my respect.
I respect her.
I talk to her in a respectful manner.
I talk to her respectfully.
She is respectably dressed.
^
จากนั้นเราให้นักเรียนเอาประโยคตัวอย่างพวกนี้ไปฝึกพูดพลิกแพลงกลับไปกลับมาโดยเปลี่ยน subject, verb, object และ modifiers ไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องอธิบายกฎ grammar เลย แต่ถ้านักเรียนพูดผิดเราก็ค่อยๆแก้ไขข้อผิดพลาดให้
คราวนี้เป็นการสอน conjugation of verbs (ผันกริยา) เพราะเราเคยเห็นคนโตๆที่รู้ศัพท์ยากๆเยอะๆ เขียนภาษาอังกฤษผิดเละตอนเรียน writing มันผิดเยอะที่ verb forms เพราะไม่เคยเรียนการผันกริยานั่นเอง
ลองมาดูรูปแบบง่ายๆกัน
ยกตัวอย่างให้นักเรียนแบบนี้
What do you like to eat?
I like to eat noodle.
I eat noodle nearly every day.
I ate noodle yesterday.
I’m going to eat noodle tomorrow.
I will eat noodle tomorrow
I have already eaten noodle ten times this week.
แล้วแบบนี้
What don't you like to eat?
I don't like to eat noodle.
I hardly eat noodle.
I ate noodle ten years ago.
I have eaten noodle too many times already.
I'm not going to eat noodle again in my life.
I will never eat noodle again in my life.
^
นี่สอนได้ไปตั้งหลาย tenses ที่จำเป็นแล้วหละ โดยไม่ต้องอธิบายเลยว่า อะไรบวกกับอะไร ให้นักเรียนเวียนหัว
จากนั้นเราก็ให้โจทย์แบบนี้
grandma กับ take a walk in the park
แล้วให้นักเรียนจับคู่ improvise กัน โดยการเลียนแบบตัวอย่างประโยคข้างบน
ซึ่งใน classroom situations จะมีทั้ง controlled practice (ครูคอยแก้ข้อผิดพลาดให้นักเรียน) และ uncontrolled practice (ครูเดินออกนอกห้องเรียนสักพักหนึ่ง แล้วปล่อยให้นักเรียนฝึก improvisation กันเอง)
พอนักเรียนเก่ง improvisation จนพูดได้ถูกต้องแล้วเราจะสอน role play คือให้นักเรียนเล่นละครกันโดยการสร้างเนื้อเรื่องสร้างฉากให้นักเรียนสวม บทบาทต่างๆ
ทั้ง improvisation กับ role play ถ้าผู้สอนคิด dialogues ตลกๆ มันจะจุดประกายให้นักเรียนคิด dialogues ตลกๆเพิ่มเติมเพื่อมาเล่นสนุกกันได้ การเรียนแทนที่จะคร่ำเครียดก็จะกลาย เป็น edutainment ไปซึ่งได้ทั้งความรู้และความบันเทิงไปพร้อมๆกัน
^
นี่เป็นการสอน grammar โดยไม่อธิบายกฎ grammar ให้นักเรียนท้อใจ
นี่แค่สาธิตประโยคง่ายๆ แค่ 3-4 tenses แต่เป้าหมายในการสอนนักเรียนให้พูดได้ถูก grammar (สอนพูดพร้อมๆสอน grammar แต่โดยไม่อธิบายกฎ grammar) ก็คือสอนให้ครบ 12 tenses ทั้ง active voice และ passive voice รวม 24 รูปแบบ
^
เราใช้ audios/videos เสียงฝรั่งพูด มาสอนนักเรียนฟังกับพูด ไปพร้อมๆกัน และคิดประโยคให้นักเรียน improvise ซึ่งจะต้องเป็นประโยคที่ meaningful ทำให้จดจำศัพท์ได้ง่าย และในกระบวนการ improvisation เนื้อหาจะค่อยๆเพิ่มรูปประโยคที่สอน topics อื่นๆด้วย เช่น comparative and superlative adjectives, countable and uncountable nouns การวางตำแหน่ง adjectives และ adverbs, วิธีใช้ non-finite verbs สร้างประโยค จนไปถึงเรื่อง clauses กับ sentence structure และอื่นอีกมากมาย (ค่อยๆเติมองค์ประกอบเข้าไป) แต่ที่แน่ๆก็คือ ในการพูดเขียนประโยคพลิก แพลงโดยเปลี่ยน subject ไปเรื่อยๆมันสอนให้นักเรียนแม่น subject and verb agreement
ซึ่งเราก็แปลกใจว่าสมัยนี้เขาสอนภาษาอังกฤษกันยังไงหว่า แปลกใจที่อยู่ดีๆ ครูดันให้การบ้านแปล (เห็นเด็กมาถามการบ้านแปลตั้งมากมายใน pantip) ไม่รู้ว่าจะให้การบ้านแปลไปทำไมกัน ไอ้แปลอังกฤษเป็นไทยเด็กอ่านอังกฤษไม่รู้เรื่องนี้แย่หน่อย แต่ไม่แย่เท่ากรณีที่ครูให้เด็กแปลไทยเป็นอังกฤษแล้วเด็กเขียนคำแปลภาษาอังกฤษผิดธรรมชาติเละหมดทุกประโยค เห็นแบบนี้แล้วมึนหัว...!!?? อีกทั้งครูดันให้นักเรียนท่องศัพท์ไปตั้งมากมายจนสมองจะบานตาย บางรายมาใหม่แบบถึงกับพยายามสอนเด็กให้ร้องเพลงท่องศัพท์เพื่อให้เด็กเพลิน แต่จริงๆแล้วก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากนักหรอก เพราะพอเด็กเขียน essays กลายเป็น conjugate verbs ไม่เป็น และเขียน subject กับ verb ไม่ agree กัน
^
*****จำไว้ว่า verb เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในบรรดา parts of speech ทั้งหมด ถ้าคุณไม่เรียนรู้วิธี conjugate verbs ออกมาเป็น 12 tenses ทั้ง active sentences กับ passive sentences ให้ครบ 24 รูปแบบ คุณก็ไม่มีทางที่จะพูดเขียนอังกฤษได้อย่างถูกต้องหรอก*****
^
สรุปแล้วนี่คือวิธีที่เราเรียนพูดพร้อมๆกับเรียน grammar มาในเวลาเดียวกัน (และเราจำวิธีนี้ไปสอนนักเรียน) เพียงแต่เราไม่เคยฟังครูอธิบายกฎ grammar (เพราะครูฝรั่งที่สอนภาษาอังกฤษเราไม่เคยอธิบายกฎ grammar ให้เราเวียนหัว)
เราก็เลยหลงคิดว่า “ตัวเองเก่งอังกฤษได้โดยไม่เคยเรียน grammar”
^
ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่
*****ความจริงมันก็คือ เราเรียน grammar โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองเรียน grammar มาเยอะมากๆ โดยที่เราไม่เคยรู้จักชื่อเรียกของมันว่ามันเป็น grammar หัวข้อไหน เพราะเราไม่เคยเรียนแบบที่คนไทยเค้าเรียนกัน และไม่เคยเรียนแบบที่ครูหรือติวเตอร์คนไทยเค้าสอนกัน แต่เราเรียนโดยการฝึกผันรูปแบบของคำศัพท์และผันรูปประโยคไปเรื่อยๆ จนเราพูดเขียนอังกฤษถูกต้องแบบพัฒนาสัมผัสพิเศษขึ้นมาจนหยั่งรู้ได้ว่าประโยคภาษาอังกฤษแบบไหนถูกต้องเป็นธรรมชาติและแบบไหนผิดธรรมชาติ*****
แสดงความคิดเห็น
ไม่มีgrammarในหัวเลย อยากสนทนาภาษาอังกฤษเป็น ต้องฝึก grammar ก่อนหรือป่าว
บางคนบอก ก็ต้องรู้ grammar ก่อน ไม่งั้น เราจะคิดประโยคที่จะพูดไม่ออก
บางคนก็บอก หัดพูดไปก่อน ไม่ต้องสนใจ grammar แต่เราจะจำประโยคสำเร็จรูปที่ฝึกพูดได้หมดหรอ
แต่อยากสนทนาภาษาอังกฤษเป็น ไม่รู้จะเริ่มที่ตรงไหนดีค่ะ