WHIPLASH ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ เป็นหนังดนตรี JAZZ ซึ่งเน้นหนักไปที่กลอง ซึ่งผมเองเคยเล่นกลองในวงสมัครเล่นแนวป๊อบ ๆ ร๊อค ๆ ทั่ว ๆ เล่นกันแบบงู ๆ ปลา ๆ กับเพื่อน ๆ สมัยเรียน บอกได้เลยว่า หลังจากดูหนังเรื่องนี้เเล้วรู้เลยว่า JAZZ ยากกว่าเยอะ ลูกเเพรวพราวมากมายหลากหลายอารมณ์ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่ากลอง เครื่องดนตรีให้จังหวะ จะสามารถให้อารมณ์ได้มากมายขนาดนี้ เกริ่นแบบนี้เริ่มอยากรู้กันล่ะสิ ว่า WHIPLASH จะมาในแนวไหน น่าสนใจแค่ไหน ตามมาดูเลยครับ.
เห็นจากตัวอย่างก็บอกกับตัวเองแล้วว่า "ต้องดู" เพราะมันเป็นอะไรที่แตกต่างจากหนังทั่วไป ผมไม่ค่อยเห็นหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีเรื่องไหนที่เน้นกลองให้เป็นตัวหลักของเรื่อง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมือกีตาร์กับร้องนำซะมากกว่า และมักจะเป็นแนวร็อค ส่วนหนังบางเรื่องก็เป็นแนว JAZZ หรือ Folk ก็มี แต่นั่นก็จะเป็นชีวประวัติของนักดนตรีดัง ๆ ซะมากกว่าที่จะเน้นไปที่รายละเอียดของกระบวนการฝึกฝน ซึ่ง WHIPLASH นั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะหนังเน้นจับไปที่กระบวนการฝึกฝน ความทุ่มเท การให้ความสำคัญกับความพยายาม มุ่งมั่น เพื่อที่จะทำได้ดีที่สุด.
หนังเกี่ยวกับ เฟลทเชอร์ ครูที่ฝึกสอนวงดนตรี JAZZ เพื่อนำพาวงดนตรีไปสู่ชัยชนะ และเฟ้นหามือกลอง ซึ่งพระเอกก็คือหนึ่งในนั้น ที่ต้องถูกฝึกฝนในวง อย่างโหด อย่างเต็มเหนี่ยว ดุดัน กดดัน ไม่มีการออมชอม จัดเต็มแบบที่ทำให้ผมนึกถึงการฝึกพวกหน่วยซีล หน่วยโหด ๆ ทั้งหลาย ประมาณนั้นเลย จนผมคิดว่า อาจารย์ เเฟลทเชอร์ แกไปกินอะไรมาถึงได้เคี่ยวขนาดนี้นะ ทำท่าจะดีก็มีอันวิญญาณโหดเข้าสิงทุกที ส่วนตัวพระเอกก็พยายามสูงมาก เพราะอยากที่จะทำให้สำเร็จ.
หนังเดินเรื่องแบบตรง ๆ พุ่งเข้าประเด็นไม่มีน้ำจิ้มใด ๆ มาให้คนดูเสียรสชาดเดิม ๆ ดิบ ๆ ของหนัง ประเด็นของหนังก็คือความมุ่งมั่นกับการพาวงดนตรีเข้าสู่ชัยชนะของอาจารย์เฟลทเชอร์ ความตั้งใจที่จะเอาชนะตัวเองให้ได้ของพระเอกในฐานะมือกลองของวงดนตรีแจ๊ส ของโรงเรียนดนตรีที่ดีที่สุดในประเทศ ผมว่ามันเข้าใจง่ายดี และเดินเรื่องได้ดูง่ายดี ไม่มีความซับซ้อนของเนื้อหา.
อารมณ์ของหนังจะ ดิบ ๆ พลุ่งพล่าน เหมือนอะดรีนาลีนฉีดไปทั่วร่าง กดดัน ลุ้น หนังมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ได้อ้างอิงหรือพยายามจะเหมือนหนังเรื่องไหน ๆ ฉากพลิก ๆ หรือหักมุมหน่อย ๆ มีบ้าง และทำให้อึ้งนิด ๆ แต่สิ่งที่ผมขอชมแบบออกหน้าออกตาคือเรื่องของการตัดต่อครับ หนังตัดต่อได้ดีมากครับ คือฉากที่แสดงดนตรีหรือฝึกซ้อมทั้งหลาย ซึ่งก็คือฉากส่วนใหญ่ของหนังนั่นล่ะ มันฉับไว มีภาพซูมใกล้ ๆ และจังหวะที่ตัดภาพให้เห็นเครื่องดนตรีแต่ละส่วน แต่ละภาพ มันได้อารมณ์ของจังหวะดนตรีนั้น ๆ มาก ทำให้หนังยิ่งดูมีพลังมากขึ้นอีกเยอะเลย ผมว่าการตัดต่อที่โดดเด่นที่สุดนี้แหล่ะที่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่นำพาหนังเรื่องนี้ให้กลายเป็นหนึ่งในหนังคุณภาพที่ผมและคิดว่าผู้ชมอีกหลายคนจะจดจำไปอีกนาน.
ด้านการแสดงของดารานำทั้งคู่คือ J.K. Simmons [แสดงเป็นอาจารย์จอมโหด Terrence Flectcher] และ Miles Teller [แสดงเป็นลูกศิษย์จอมสู้ Andrew Neiman] นั้นประชันกันได้แบบถึงพริกถึงขิง ไม่มีการลดลาวาศอก ไม่มีการยอมกัน แสดงเก่งทั้งคู่ โดดเด่นทั้งคู่จนยากจะแยก ว่าใครเป็นดารานำกันแน่ ใช่ครับด้วยตัวหนังและการเดินเรื่องแล้ว นีแมน เป็นตัวเอกเดินเรื่อง แต่ในด้านของความโดดเด่น ผมว่า อาจารย์จอมโหดเฟลทเชอร์นั้นก็โดดเด่นแบบนำหน้าไปนิดนึง.
ด้านของดนตรีประกอบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าจะดีแค่ไหน คือผมเองก็ไม่ได้สังเกตุดนตรีประกอบด้วยซ้ำ เพราะหนังมันจะมีเสียงดนตรีตลอดทั้งเรื่องอยู่เเล้ว และมันก็ฟังดูไหลลื่นดีมาก หลาย ๆ ฉากที่มีการปะทะอารมณ์ ไม่ต้องมีดนตรีประกอบเลย เพราะส่วนใหญ่เป็นฉากการซ้อมดนตรี ซึ่งมัน "สมบูรณ์แบบ" อยู่แล้วครับ.
สำหรับคนที่เล่นดนตรี คุณ "ต้องดู" หนังเรื่องนี้ครับ เพราะมันจะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างของคำว่า "ทุ่มเท"
สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นดนตรี แต่ชอบฟังดนตรี ผมว่าคุณควรลองดูเพราะคุณอาจเพิ่งรู้ตัวว่าคุณชอบดนตรีซะเเล้ว คุณอาจจะอยากหยิบเครื่องดนตรีซักชิ้นมาลองเล่นดู ... แต่คุณอาจรีบโยนมันทิ้งถ้าคุณดันไปนึกถึงหน้าของ ตาเฟลทเชอร์ จอมโหด.
สำหรับคนที่ไม่สนใจดนตรี เฉย ๆ กับดนตรี ผมจะบอกว่า ถึงจะไม่ได้ชอบดนตรี แต่หนังเรื่องนี้ก็จะยังดูสนุกแม้จะไม่เข้าใจเรื่องดนตรี และมันอาจทำให้คุณได้เห็นถึงตัวอย่างของคำว่า "ทุ่มเท" และ "พยายาม" ซึ่งคุณสามารถเอาไปปรับใช้ในชีวิตได้ ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม.
สิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้คือความพยายาม ความมุ่งมั่น ทุมเท ให้กับสิ่งที่เราทำ และมีคำนึงที่ เฟลทเชอร์พูดกับพระเอกประมาณว่า "คำที่อันตรายที่สุดคือคำว่า GOOD JOB หรือ ทำได้ดีแล้ว" นั่นเพราะมันจะทำให้คนที่ได้ฟังหยุดความพยายามลง.
ดูจบอยากจะปรบมือให้เลย เรื่องนี้ผมให้เต็มครับ 10/10 ใครยังไม่ได้ดูก็รีบไปดูกันซะนะครับ
เพราะเดี๋ยวจะลาโรงซะก่อน ยิ่งมีรอบฉายน้อย ๆ อยู่ .
แล้วคุณล่ะ ได้พยายาม ทุ่มเท กับสิ่งที่ทำอยู่กันหรือยัง ?
ที่มา
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
เยี่ยมชม
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html
รีวิวหนัง WHIPLASH ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ [2014]
เห็นจากตัวอย่างก็บอกกับตัวเองแล้วว่า "ต้องดู" เพราะมันเป็นอะไรที่แตกต่างจากหนังทั่วไป ผมไม่ค่อยเห็นหนังที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดนตรีเรื่องไหนที่เน้นกลองให้เป็นตัวหลักของเรื่อง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมือกีตาร์กับร้องนำซะมากกว่า และมักจะเป็นแนวร็อค ส่วนหนังบางเรื่องก็เป็นแนว JAZZ หรือ Folk ก็มี แต่นั่นก็จะเป็นชีวประวัติของนักดนตรีดัง ๆ ซะมากกว่าที่จะเน้นไปที่รายละเอียดของกระบวนการฝึกฝน ซึ่ง WHIPLASH นั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะหนังเน้นจับไปที่กระบวนการฝึกฝน ความทุ่มเท การให้ความสำคัญกับความพยายาม มุ่งมั่น เพื่อที่จะทำได้ดีที่สุด.
หนังเกี่ยวกับ เฟลทเชอร์ ครูที่ฝึกสอนวงดนตรี JAZZ เพื่อนำพาวงดนตรีไปสู่ชัยชนะ และเฟ้นหามือกลอง ซึ่งพระเอกก็คือหนึ่งในนั้น ที่ต้องถูกฝึกฝนในวง อย่างโหด อย่างเต็มเหนี่ยว ดุดัน กดดัน ไม่มีการออมชอม จัดเต็มแบบที่ทำให้ผมนึกถึงการฝึกพวกหน่วยซีล หน่วยโหด ๆ ทั้งหลาย ประมาณนั้นเลย จนผมคิดว่า อาจารย์ เเฟลทเชอร์ แกไปกินอะไรมาถึงได้เคี่ยวขนาดนี้นะ ทำท่าจะดีก็มีอันวิญญาณโหดเข้าสิงทุกที ส่วนตัวพระเอกก็พยายามสูงมาก เพราะอยากที่จะทำให้สำเร็จ.
หนังเดินเรื่องแบบตรง ๆ พุ่งเข้าประเด็นไม่มีน้ำจิ้มใด ๆ มาให้คนดูเสียรสชาดเดิม ๆ ดิบ ๆ ของหนัง ประเด็นของหนังก็คือความมุ่งมั่นกับการพาวงดนตรีเข้าสู่ชัยชนะของอาจารย์เฟลทเชอร์ ความตั้งใจที่จะเอาชนะตัวเองให้ได้ของพระเอกในฐานะมือกลองของวงดนตรีแจ๊ส ของโรงเรียนดนตรีที่ดีที่สุดในประเทศ ผมว่ามันเข้าใจง่ายดี และเดินเรื่องได้ดูง่ายดี ไม่มีความซับซ้อนของเนื้อหา.
อารมณ์ของหนังจะ ดิบ ๆ พลุ่งพล่าน เหมือนอะดรีนาลีนฉีดไปทั่วร่าง กดดัน ลุ้น หนังมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ได้อ้างอิงหรือพยายามจะเหมือนหนังเรื่องไหน ๆ ฉากพลิก ๆ หรือหักมุมหน่อย ๆ มีบ้าง และทำให้อึ้งนิด ๆ แต่สิ่งที่ผมขอชมแบบออกหน้าออกตาคือเรื่องของการตัดต่อครับ หนังตัดต่อได้ดีมากครับ คือฉากที่แสดงดนตรีหรือฝึกซ้อมทั้งหลาย ซึ่งก็คือฉากส่วนใหญ่ของหนังนั่นล่ะ มันฉับไว มีภาพซูมใกล้ ๆ และจังหวะที่ตัดภาพให้เห็นเครื่องดนตรีแต่ละส่วน แต่ละภาพ มันได้อารมณ์ของจังหวะดนตรีนั้น ๆ มาก ทำให้หนังยิ่งดูมีพลังมากขึ้นอีกเยอะเลย ผมว่าการตัดต่อที่โดดเด่นที่สุดนี้แหล่ะที่เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่นำพาหนังเรื่องนี้ให้กลายเป็นหนึ่งในหนังคุณภาพที่ผมและคิดว่าผู้ชมอีกหลายคนจะจดจำไปอีกนาน.
ด้านการแสดงของดารานำทั้งคู่คือ J.K. Simmons [แสดงเป็นอาจารย์จอมโหด Terrence Flectcher] และ Miles Teller [แสดงเป็นลูกศิษย์จอมสู้ Andrew Neiman] นั้นประชันกันได้แบบถึงพริกถึงขิง ไม่มีการลดลาวาศอก ไม่มีการยอมกัน แสดงเก่งทั้งคู่ โดดเด่นทั้งคู่จนยากจะแยก ว่าใครเป็นดารานำกันแน่ ใช่ครับด้วยตัวหนังและการเดินเรื่องแล้ว นีแมน เป็นตัวเอกเดินเรื่อง แต่ในด้านของความโดดเด่น ผมว่า อาจารย์จอมโหดเฟลทเชอร์นั้นก็โดดเด่นแบบนำหน้าไปนิดนึง.
ด้านของดนตรีประกอบนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าจะดีแค่ไหน คือผมเองก็ไม่ได้สังเกตุดนตรีประกอบด้วยซ้ำ เพราะหนังมันจะมีเสียงดนตรีตลอดทั้งเรื่องอยู่เเล้ว และมันก็ฟังดูไหลลื่นดีมาก หลาย ๆ ฉากที่มีการปะทะอารมณ์ ไม่ต้องมีดนตรีประกอบเลย เพราะส่วนใหญ่เป็นฉากการซ้อมดนตรี ซึ่งมัน "สมบูรณ์แบบ" อยู่แล้วครับ.
สำหรับคนที่เล่นดนตรี คุณ "ต้องดู" หนังเรื่องนี้ครับ เพราะมันจะสร้างแรงบันดาลใจและเป็นตัวอย่างของคำว่า "ทุ่มเท"
สำหรับคนที่ไม่เคยเล่นดนตรี แต่ชอบฟังดนตรี ผมว่าคุณควรลองดูเพราะคุณอาจเพิ่งรู้ตัวว่าคุณชอบดนตรีซะเเล้ว คุณอาจจะอยากหยิบเครื่องดนตรีซักชิ้นมาลองเล่นดู ... แต่คุณอาจรีบโยนมันทิ้งถ้าคุณดันไปนึกถึงหน้าของ ตาเฟลทเชอร์ จอมโหด.
สำหรับคนที่ไม่สนใจดนตรี เฉย ๆ กับดนตรี ผมจะบอกว่า ถึงจะไม่ได้ชอบดนตรี แต่หนังเรื่องนี้ก็จะยังดูสนุกแม้จะไม่เข้าใจเรื่องดนตรี และมันอาจทำให้คุณได้เห็นถึงตัวอย่างของคำว่า "ทุ่มเท" และ "พยายาม" ซึ่งคุณสามารถเอาไปปรับใช้ในชีวิตได้ ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม.
สิ่งที่ได้จากหนังเรื่องนี้คือความพยายาม ความมุ่งมั่น ทุมเท ให้กับสิ่งที่เราทำ และมีคำนึงที่ เฟลทเชอร์พูดกับพระเอกประมาณว่า "คำที่อันตรายที่สุดคือคำว่า GOOD JOB หรือ ทำได้ดีแล้ว" นั่นเพราะมันจะทำให้คนที่ได้ฟังหยุดความพยายามลง.
ดูจบอยากจะปรบมือให้เลย เรื่องนี้ผมให้เต็มครับ 10/10 ใครยังไม่ได้ดูก็รีบไปดูกันซะนะครับ
เพราะเดี๋ยวจะลาโรงซะก่อน ยิ่งมีรอบฉายน้อย ๆ อยู่ .
แล้วคุณล่ะ ได้พยายาม ทุ่มเท กับสิ่งที่ทำอยู่กันหรือยัง ?
ที่มา
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/2014/11/2014-whiplash.html
เยี่ยมชม
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html
http://thailandthinkingofmovies.blogspot.com/p/blog-page_20.html