Interstellar (Christopher Nolan,2014) คะแนน A
By Form Corleone
#ไม่ม่สปอย #ไม่มีทฤษฎี
“ จักรวาล มิติ ทฤษฎี ความรัก” การจับหนังฟอร์มยักษ์ที่มีสเกลใหญ่ของผู้กำกับที่จัดว่าดีที่สุดในยุคดิจิตอล บวกกับ “ทฤษฎีทางฟิสิกส์” ถูกบรรจงใส่ลงไปในตัวหนังได้อย่างเข้มข้น แม้บางส่วนบางแง่มุมจะดูผิดพลาดในหลายๆด้านจนเกิดประเด็นมากมายให้เรามีเครื่องหมายคำถาม?? หลังหนังจบ แม้ตัว “ทฤษฎี” จะเป็นของจริงแต่การถ่ายทอดตัวทฤษฎีเองก็ไม่ได้ทำให้เราเชื่อมั่นว่ามันจะกลายเป็นแบบนั้นจริงๆโดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่อง ถึงกระนั้นแล้วเราก็ไม่ได้เข้าใจในทุกส่วนของตัวหนัง แต่นอกเหนือทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่เป็นประเด็นหลักให้เราต้องขบคิดกันต่อไป มันยังมีสารบางอย่างที่ถูกส่งจากโนแลนมาถึงคนดูซึ่งมันอยู่นอกเหนือทฤษฎีที่เรากำลังนั่งมึนงงกัน!! แน่นอนที่สุดว่าช่วงเวลาที่หนังพยายามเล่าระบบจักรวาล ทฤษฎีสัมพัทธภาพ รูหนอนหรือสะพานไอน์สไตน์-โรเซน ซิงกูลาริตี้ ฮอริซอน กลศาสตร์ควอนตัม ฯลฯ ภายในเวลาเกือบสามชั่วโมง ซึ่งมันน่าสนใจแต่ถามว่าเราจะเข้าใจมันได้แค่ไหน คงตอบว่า “เข้าใจยาก” ด้วยข้อจำกัดของเวลา โนแลนไม่ได้ประนีประนอมคนดูเท่าไหร่นักเพราะหนังขับเคลื่อนตัวเองไปข้างๆ ไปข้างหน้าและไปข้างหน้า ตลอดเวลา แถมยังทิ้งคำถามไว้อีกว่า ทำไม???
แน่นอนที่สุด “Interstellar” จัดเป็นหนังไซไฟอิงหลักวิทยาศาสตร์มากที่สุดเรื่องหนึ่งแต่เพราะหนังอิงหลักวิทยาศาสตร์มากเกินไปแถมมันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จนทำให้การเล่าเรื่องเป็นจุดที่แย่มากๆตั้งแต่ดูหนังของโนแลนมา แต่ก็ยังคงแนวคิดและทัศนคติที่เป็นโนแลนเหมือนเดิม ที่ดีที่สุดของ “Interstellar” คงเป็น “special effects” ที่จัดว่างามแท้สุดขอบจักรวาลกันเลยทีเดียว แค่ได้ดูภาพและองค์ประกอบของจักรวาลผมก็ว่ามันคุ้มเกินคุ้มไปแล้วนะ และเพราะจุดนี้เองที่ทำให้บทหนังดูอ่อนแอจนหน้าตกใจไปเลย “มีจุดอ่อนก็ต้องมีจุดแข็ง” น่าเสียดายที่จุดเด่นของโนแลนคือตัวบทภาพยนตร์ที่ดูลึกแฝงไปด้วยแนวคิดบางอย่าง ค่อยๆหายไปหรือมันอาจจะถูกกลืนไปเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ตัวเราก็ได้รับสารบางอย่างจากตัวภาพยนตร์ได้เหมือนกัน หนังพยายามเริ่มต้นด้วยยุคที่โลกขาดแคลนทรัพยากรทางอาหาร วิชาชีพที่สำคัญต่อโลกนี้คือ “ชาวไร่” จากพื้นฐานสู่นอกโลก จากชาวไร่มุ่งสู่ “ซิงกูลาริตี้” หนังให้ค่าความรักอยู่เหนือ เวลา มิติ แรงโน้มถ่วง ซึ่งเราว่ามันก็ดูดีนะสำหรับคนมีความรักมันสื่อถึงกันได้เสมอ การกู้โลกของหนังก็ถูกถ่ายทอดแบบเรียบง่ายเพียงเพราะ ความรักของพ่อที่มีต่อลูกไม่ได้ทำเพื่อ “เผ่าพันธุ์มนุษย์” เป็นเหตุผลที่ไม่สวยหรูและไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ แต่มันรู้สึกทรงพลัง การดิ้นร้นเพื่อคนที่เรารัก ความสัมพันธ์ที่เรียกว่า “ความรัก” ช่วยเชื่อมความผูกพันให้คนสองคนได้ดำรงอยู่แม้อีกฝ่ายจะไร้ตัวตนในมิติที่เราอาศัยอยู่ก็ตาม แน่นอนว่าแนวคิดเรื่องความรักความสัมพันธ์จะดูสวยงาม “ทำตามหัวใจ” แต่มันก็ดูล้นเกินไปนิดนึง!!!
“ทฤษฎีบนแผ่นกระดาษ กลายร่างเป็นภาพสี” ต้องชื่นชนในตัวโนแลนที่ถ่ายทอดสิ่งที่คนทั่วไปไม่เคยสนใจเพราะมันอยู่ในตำราเป็นเพียงตัวอักษร สมการบนแผ่นกระดาษบางๆ ให้กลายเป็นภาพที่สวยมากๆ และไม่รู้ว่าจะได้เห็นภาพสวยๆแบบนี้จากเรื่องไหนอีก ถึงตัวทฤษฎีจะก้าวกระโดดและยากที่จะเข้าใจ หรือเพราะเราไม่ค่อยเข้าใจหรือเปล่ามันเลยน่าสนุกมากๆในเวลาเดียวกัน “Interstellar” คงไม่ใช้หนังทั่วไปที่ดูรอบเดียวแล้วเข้าใจทุกแก่นสาร มันอาจต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ ตกผลึก วนแล้ววนอีก ตามสไตล์โนแลน ด้วยเหตุนี้มันเลยเป็นงานที่น่าชื่นชมไม่มากก็น้อยถึงแม้ว่าตัวมันเองจะเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมายก็ตาม บทสรุปของหนังถูกเสริฟมาแบบสำเร็จรูป จนตกใจ!! ไม่เพียงแค่ส่วนบทสรุปที่สำเร็จรูปเท่านั้น แต่ที่มาของบทสรุปอยู่เหนือความเข้าใจ มิติที่ 5 ใครเป็นคนสร้างสรรค์หรือมันคือพื้นที่ของ “พระเจ้า” หรือ “มนุษย์ชั้นสูงในแง่พื้นที่ทางวิทยาศาสตร์” ซึ่งชวนให้คิดและยิ่งคิดก็ยิ่งมีเครื่องหมายคำถาม?? เพราะมันไม่เคยมีใครเห็น มันเป็นแค่ “ทฤษฎีบนแผ่นกระดาษ”เราไม่กล้าตีความในสิ่งที่เราเองก็ไม่รู้มันจริง เอาว่าเรารู้สึกว่าดูเพลินๆให้สนุกในช่วงท้ายเรื่องก็สนุกแล้วนะ
หนังเต็มไปด้วยทฤษฎีจนกลืนตัวละครไปเกือบทั้งหมดและเกือบจะทุกตัว รวมไปถึงพื้นฐานของตัวละครแต่ละตัวถูกออกแบบมาเพื่อรอรับทฤษฎีที่ตั้งไว้เพียงเท่านั้น จนทำให้เป็นจุดด้อยของหนังไปเลย พื้นฐานของตัวละครดูอ่อนแรงและไม่น่าสนใจเท่าทีควร ผมชอบซาว์ดประกอบที่อลังการมากๆ หนังมีจินตนาการที่อยู่สูงแต่มีฐานเป็นทฤษฎีมารองรับ แต่ในหลุมดำใครกันจะเคยเข้าไป ฉะนั้นแล้วจึงไม่แปลกใจที่ “จิตนาการสำคัญกว่าความรู้” เพราะโนแลนได้แสดงให้เราเห็นเต็มตาแล้วใน “Interstellar”
สุดท้าย “Interstellar” คือหนังวิทยาศาสตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวทางฟิสิกส์ได้น่าค้นหา แม้จะมีจุดด้อยมากมายหลายอย่างแต่ภาพรวมก็ต้องยอมรับว่า งานของโนแลนคืองานชั้นเยี่ยมอีกตามเคย เรื่องราวนอกจักรวาลเป็นสิ่งยากที่เราจะเข้าใจอย่างแท้จริง แนวคิด ทฤษฎีมากมาย มิติที่ยากที่จะเข้าไป สมการมากมายรอผลเฉลยที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลออกมาตอนไหน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นอนาคตที่เราไม่อาจรับรู้ด้วยมิติที่เราอาศัยอยู่ แต่ถ้ามันมีมิติที่ 5 จริงมันอาจไม่เหมือนในหนังก็ได้ สุดแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด “Interstellar” ก็กลายร่างเป็นหนังที่คงมีการถูกพูดถึงกันต่อๆไป ในแง่ดีหรือไม่ก็แง่ร้ายในโลกภาพยนตร์และในแง่วิทยาศาสตร์ไปเลยก็ได้ >< ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านความรู้สึกของผมครับ
อ่านเรื่องอื่น
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: Interstellar (Christopher Nolan,2014)
By Form Corleone
#ไม่ม่สปอย #ไม่มีทฤษฎี
“ จักรวาล มิติ ทฤษฎี ความรัก” การจับหนังฟอร์มยักษ์ที่มีสเกลใหญ่ของผู้กำกับที่จัดว่าดีที่สุดในยุคดิจิตอล บวกกับ “ทฤษฎีทางฟิสิกส์” ถูกบรรจงใส่ลงไปในตัวหนังได้อย่างเข้มข้น แม้บางส่วนบางแง่มุมจะดูผิดพลาดในหลายๆด้านจนเกิดประเด็นมากมายให้เรามีเครื่องหมายคำถาม?? หลังหนังจบ แม้ตัว “ทฤษฎี” จะเป็นของจริงแต่การถ่ายทอดตัวทฤษฎีเองก็ไม่ได้ทำให้เราเชื่อมั่นว่ามันจะกลายเป็นแบบนั้นจริงๆโดยเฉพาะช่วงท้ายเรื่อง ถึงกระนั้นแล้วเราก็ไม่ได้เข้าใจในทุกส่วนของตัวหนัง แต่นอกเหนือทฤษฎีทางฟิสิกส์ที่เป็นประเด็นหลักให้เราต้องขบคิดกันต่อไป มันยังมีสารบางอย่างที่ถูกส่งจากโนแลนมาถึงคนดูซึ่งมันอยู่นอกเหนือทฤษฎีที่เรากำลังนั่งมึนงงกัน!! แน่นอนที่สุดว่าช่วงเวลาที่หนังพยายามเล่าระบบจักรวาล ทฤษฎีสัมพัทธภาพ รูหนอนหรือสะพานไอน์สไตน์-โรเซน ซิงกูลาริตี้ ฮอริซอน กลศาสตร์ควอนตัม ฯลฯ ภายในเวลาเกือบสามชั่วโมง ซึ่งมันน่าสนใจแต่ถามว่าเราจะเข้าใจมันได้แค่ไหน คงตอบว่า “เข้าใจยาก” ด้วยข้อจำกัดของเวลา โนแลนไม่ได้ประนีประนอมคนดูเท่าไหร่นักเพราะหนังขับเคลื่อนตัวเองไปข้างๆ ไปข้างหน้าและไปข้างหน้า ตลอดเวลา แถมยังทิ้งคำถามไว้อีกว่า ทำไม???
แน่นอนที่สุด “Interstellar” จัดเป็นหนังไซไฟอิงหลักวิทยาศาสตร์มากที่สุดเรื่องหนึ่งแต่เพราะหนังอิงหลักวิทยาศาสตร์มากเกินไปแถมมันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ จนทำให้การเล่าเรื่องเป็นจุดที่แย่มากๆตั้งแต่ดูหนังของโนแลนมา แต่ก็ยังคงแนวคิดและทัศนคติที่เป็นโนแลนเหมือนเดิม ที่ดีที่สุดของ “Interstellar” คงเป็น “special effects” ที่จัดว่างามแท้สุดขอบจักรวาลกันเลยทีเดียว แค่ได้ดูภาพและองค์ประกอบของจักรวาลผมก็ว่ามันคุ้มเกินคุ้มไปแล้วนะ และเพราะจุดนี้เองที่ทำให้บทหนังดูอ่อนแอจนหน้าตกใจไปเลย “มีจุดอ่อนก็ต้องมีจุดแข็ง” น่าเสียดายที่จุดเด่นของโนแลนคือตัวบทภาพยนตร์ที่ดูลึกแฝงไปด้วยแนวคิดบางอย่าง ค่อยๆหายไปหรือมันอาจจะถูกกลืนไปเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร ตัวเราก็ได้รับสารบางอย่างจากตัวภาพยนตร์ได้เหมือนกัน หนังพยายามเริ่มต้นด้วยยุคที่โลกขาดแคลนทรัพยากรทางอาหาร วิชาชีพที่สำคัญต่อโลกนี้คือ “ชาวไร่” จากพื้นฐานสู่นอกโลก จากชาวไร่มุ่งสู่ “ซิงกูลาริตี้” หนังให้ค่าความรักอยู่เหนือ เวลา มิติ แรงโน้มถ่วง ซึ่งเราว่ามันก็ดูดีนะสำหรับคนมีความรักมันสื่อถึงกันได้เสมอ การกู้โลกของหนังก็ถูกถ่ายทอดแบบเรียบง่ายเพียงเพราะ ความรักของพ่อที่มีต่อลูกไม่ได้ทำเพื่อ “เผ่าพันธุ์มนุษย์” เป็นเหตุผลที่ไม่สวยหรูและไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ แต่มันรู้สึกทรงพลัง การดิ้นร้นเพื่อคนที่เรารัก ความสัมพันธ์ที่เรียกว่า “ความรัก” ช่วยเชื่อมความผูกพันให้คนสองคนได้ดำรงอยู่แม้อีกฝ่ายจะไร้ตัวตนในมิติที่เราอาศัยอยู่ก็ตาม แน่นอนว่าแนวคิดเรื่องความรักความสัมพันธ์จะดูสวยงาม “ทำตามหัวใจ” แต่มันก็ดูล้นเกินไปนิดนึง!!!
“ทฤษฎีบนแผ่นกระดาษ กลายร่างเป็นภาพสี” ต้องชื่นชนในตัวโนแลนที่ถ่ายทอดสิ่งที่คนทั่วไปไม่เคยสนใจเพราะมันอยู่ในตำราเป็นเพียงตัวอักษร สมการบนแผ่นกระดาษบางๆ ให้กลายเป็นภาพที่สวยมากๆ และไม่รู้ว่าจะได้เห็นภาพสวยๆแบบนี้จากเรื่องไหนอีก ถึงตัวทฤษฎีจะก้าวกระโดดและยากที่จะเข้าใจ หรือเพราะเราไม่ค่อยเข้าใจหรือเปล่ามันเลยน่าสนุกมากๆในเวลาเดียวกัน “Interstellar” คงไม่ใช้หนังทั่วไปที่ดูรอบเดียวแล้วเข้าใจทุกแก่นสาร มันอาจต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ ตกผลึก วนแล้ววนอีก ตามสไตล์โนแลน ด้วยเหตุนี้มันเลยเป็นงานที่น่าชื่นชมไม่มากก็น้อยถึงแม้ว่าตัวมันเองจะเต็มไปด้วยข้อบกพร่องมากมายก็ตาม บทสรุปของหนังถูกเสริฟมาแบบสำเร็จรูป จนตกใจ!! ไม่เพียงแค่ส่วนบทสรุปที่สำเร็จรูปเท่านั้น แต่ที่มาของบทสรุปอยู่เหนือความเข้าใจ มิติที่ 5 ใครเป็นคนสร้างสรรค์หรือมันคือพื้นที่ของ “พระเจ้า” หรือ “มนุษย์ชั้นสูงในแง่พื้นที่ทางวิทยาศาสตร์” ซึ่งชวนให้คิดและยิ่งคิดก็ยิ่งมีเครื่องหมายคำถาม?? เพราะมันไม่เคยมีใครเห็น มันเป็นแค่ “ทฤษฎีบนแผ่นกระดาษ”เราไม่กล้าตีความในสิ่งที่เราเองก็ไม่รู้มันจริง เอาว่าเรารู้สึกว่าดูเพลินๆให้สนุกในช่วงท้ายเรื่องก็สนุกแล้วนะ
หนังเต็มไปด้วยทฤษฎีจนกลืนตัวละครไปเกือบทั้งหมดและเกือบจะทุกตัว รวมไปถึงพื้นฐานของตัวละครแต่ละตัวถูกออกแบบมาเพื่อรอรับทฤษฎีที่ตั้งไว้เพียงเท่านั้น จนทำให้เป็นจุดด้อยของหนังไปเลย พื้นฐานของตัวละครดูอ่อนแรงและไม่น่าสนใจเท่าทีควร ผมชอบซาว์ดประกอบที่อลังการมากๆ หนังมีจินตนาการที่อยู่สูงแต่มีฐานเป็นทฤษฎีมารองรับ แต่ในหลุมดำใครกันจะเคยเข้าไป ฉะนั้นแล้วจึงไม่แปลกใจที่ “จิตนาการสำคัญกว่าความรู้” เพราะโนแลนได้แสดงให้เราเห็นเต็มตาแล้วใน “Interstellar”
สุดท้าย “Interstellar” คือหนังวิทยาศาสตร์ที่ถ่ายทอดเรื่องราวทางฟิสิกส์ได้น่าค้นหา แม้จะมีจุดด้อยมากมายหลายอย่างแต่ภาพรวมก็ต้องยอมรับว่า งานของโนแลนคืองานชั้นเยี่ยมอีกตามเคย เรื่องราวนอกจักรวาลเป็นสิ่งยากที่เราจะเข้าใจอย่างแท้จริง แนวคิด ทฤษฎีมากมาย มิติที่ยากที่จะเข้าไป สมการมากมายรอผลเฉลยที่ไม่รู้ว่าจะได้ผลออกมาตอนไหน ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นอนาคตที่เราไม่อาจรับรู้ด้วยมิติที่เราอาศัยอยู่ แต่ถ้ามันมีมิติที่ 5 จริงมันอาจไม่เหมือนในหนังก็ได้ สุดแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด “Interstellar” ก็กลายร่างเป็นหนังที่คงมีการถูกพูดถึงกันต่อๆไป ในแง่ดีหรือไม่ก็แง่ร้ายในโลกภาพยนตร์และในแง่วิทยาศาสตร์ไปเลยก็ได้ >< ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ขอขอบคุณที่สละเวลาอ่านความรู้สึกของผมครับ
อ่านเรื่องอื่น http://moviesdelightclub.blogspot.com/