จงดูแลพ่อแม่ในยามที่มีโอกาส ก่อนที่จะสายไป

เมื่อก่อนเราก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปอ่ะค่ะ กิน เรียน แต่ไม่ค่อยได้เที่ยวเพราะไม่ค่อยมีเงินเพราะฐานที่บ้านเราไม่ค่อยดี เลยทำให้เราโดนแม่บ่นบ่อยมาก ยิ่งเราเป็นคนที่ทำอะไรไม่ค่อยเรียบร้อยยิ่งโดนบ่นโดนว่ามากมายค่ะ มันเลยทำให้เราไม่ค่อยอยากอยู่บ้านสักเท่ารัยแต่ไม่เคยแสดงออก แต่แม่เราเป็นคนที่น่ารักมาถึงจะปากร้ายแต่ก็ใจดี เราก็รู้นะคะว่าที่แม่บ่นแม่ว่าก็เพราะว่าเค้าอยากให้เราได้ดี แต่ช่วงนั้นยังเป็นวัยรุ่นค่ะ เลยไม่ค่อยสนใจเท่ารัย แม่เราร่างกายไม่ค่อยแข็งเเรงค่ะต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ จนเราเห็นเป็นเรื่องปกเลยไม่ค่อยได้สนใจอะไรเท่ารัยนัก แล้วเรื่องที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นมันก็เกิดค่ะ ตอนนั้นเรากำลังจะเรียนจบ ม.6 ก็โดยปกติ พ่อกับแม่ก็อยากให้เราได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ดีๆ ก็เลยให้เราสอบเข้าตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ผลปรากฎว่าเราได้โควต้าที่มหาวิทยาลัยเกษตร กับสอบติดที่มหาวิทยาลัยศิลปากร พอพ่อกับแม่เรารู้ก็ดีใจมากๆเลยค่ะ เราตัดสินใจเลือกเรียนที่ศิลปากรค่ะ แต่ปัญหามันอยู่ที่บ้านเราไม่ค่อยมีเงินค่ะ ตอนแรกคิดว่าจะกู้ กยศ เรียน แต่ยังไงมันก็ต้องสำรองจ่ายไว้ก่อน ซึ้งบ้านเราไม่มีเงินค่ะ เราเลยตัดสินใจไปเรียน ปวส. แทนค่ะ ซึ่งเราดีใจมากที่วันนั้นเราตัดสินใจไปแบบนั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นานอยู่ๆแม่เราก็มีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอด ตอนแรกหมอบอกว่าเป็นมดลูกอักเสบแล้วก็ให้ยามากิน ผ่านไปสักพักอาการมันก็ยังไม่ดีขึ้นแม่เราเลยไปหาหมอใหม่ แม่เราเล่าว่าพอเข้าห้องตรวจเพื่อทำการตรวจภายใน พอหมอเห็นอาการของแม่ หมอก็ร้องโอ้ แล้วก็เรียกพยาบาลเข้ามาดู หมอบอกแม่ว่ามดลูกของแม่ผิดปกติมากเพราะมีเส้นเลือดขึ้นเต็มไปหมดเลยแถมช่องคลอดแม่ก็เป็นแผลและมีเลือดซึมออกมา คงต้องตัดเนื้อเยื้อออกไปตรวจ เพราะว่าแม่เรามีสิทธิ์เป็นมะเร็ง... พอครอบครัวเรารู้แบบนั้นก็ใจคอไม่ค่อยดี ใจจดใจจ่อรอผลตรวจได้แต่ภาวนาขอให้ผลออกมาในทางที่ดี แต่สวรรค์คงไม่เข้าข้างเพราะผลที่ออกมาคือ แม่เราเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่สอง บ้านเราช็อกมากตอนที่รู้ข่าวเหมือนทุกอย่างมันมืดหมด และมีข้อสงสัยต่างๆนาๆขึ้นมา ว่าทำไมต้องเป็นแม่เรา ทั้งที่แม่เราเป็นคนรักความสะอาดมาก อีกทั้งแม่เรายังไปตรวจมะเร็งปากมดลูกทุกปีที่สถานีอนามัย เพราะว่าหมอบอกว่ามะเร็งระยะที่สอง ต้องเป็นมาอย่างน้อย 5-10 ปี แล้วที่ผ่านมาที่แม่เราไปตรวจทำไมมันไม่เจอ ทำไม ทำไม
   แม่เราได้รับการรักษาที่สถาบันมะเร็งโดยสิทธิ์บัตรทอง แม่ต้องฉายแสง ให้คีโม และฝังแร่ แม่เราสู้มากทำตามที่หมอสั่งทุกอย่างโดยที่มีความหวังว่ามันจะหาย เพราะหมอบอกว่ามะเร็งระยะที่สองมีสิทธิ์รักษาหาย หลังจากที่แม่รักษาตัวจนครบทุกกอย่างก็กลับมาอยู่บ้าน ในระหว่างนั้นพี่เราก็เตรียมการบวชให้แม่ อยากให้แม่ได้บุญ อยากให้แม่หายและอยู่กับพวกเราไปนานๆ แต่โชคก็ไม่เข้าข้างเพราะนิ่วในถุงน้ำดีที่แม่เคยเป็นดันกำเริบ ทำให้แม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดและที่โชคร้ายกว่านั้นก็คือถุงน้ำดีของแม่เน่าและลามไปที่ตับทำให้หมอตั้งตัดถุงน้ำดีของแม่ทิ้งและต้องคว้านเอาเนื้อที่เน่าออก ซึ่งการผ่าตัดครั้งนั้นทำให้ร่างกายของแม่แย่ลงไปอีก หลังจากที่แม่ผ่าตัดเสร็จ เราก็ได้ไปหางานพาร์ทไทม์ทำเพื่อหารายได้เข้าบ้านอีกทาง ซึ้งในระหว่างนั้นแม่ก็โทหาเราเรื่อยๆ เล่าเรื่องการใช้ชีวิตประจำวันให้ฟัง รวมถึงการเตรียมงานบวชของพี่ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 15-16 เดือนกรกฎาคม 2556 ช่วงนั้นแม่อาการทรุดลงทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก แต่ด้วยสิทธิ์บัตรทองบวกกับเป็นโรงพยาบาลประจำอำเภอหมอจึงวินิจฉัยว่าแม่ติดเชื่อในกระเเสเลือด และทุกครั้งที่เข้าโรงพยาบาลหมอก็จะวินิจฉัยเหมือนเดิม จนพ่อเราทนไม่ไหวจึงทำเรื่องขอให้แม่ได้ทำการตรวจอย่างละเอียด แต่ทางโรงพยาบาลไม่ยินยอม พ่อจึงตัดสินใจขอส่งตัวแม่ไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด แม่จึงได้เข้าเครื่องแสกนจึงทำให้เรารู้ว่าที่อาการของแม่แย่ลงไม่ใช่เพราะติดเชื้อในกระแสเลือดแต่เป็นเพราะเชื่อมะเร็งของแม่ได้กระจายจากมดลูกไปที่กระดูก ตับ และปอดแล้ว ตอนนั้นแม่ร้องไห้หนักมากแต่แม่ก็สู้เพื่อรอวันที่พี่เราบวช แม่เราอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นต้องให้ออกซิเจนตลอดเวลา พ่อเราจึงตัดสินใจยอมเป็นหนี้เพื่อซื้อรถยนต์เก่าๆมาหนึ่งคันเพื่อที่จะได้พาแม่ไปหาหมอได้สะดวก ส่วนเราเองก็เรียนจบ ปวส และพึ่งได้งานทำอยู่ที่กรุงเทพต้องทำงานลางานก็ไม่ได้เพราะว่ากำลังอยู่ในช่วงทดลองงาน จึงทำให้ไม่สามารถดูแลแม่ได้เท่าที่ควร และแล้วจุดจบที่เราไม่อยากให้มีก็เกิดขึ้นจนได้ แม่เราอาการหนักขึ้นจนต้องนอนโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม 2556 แม่ไม่มีแรงที่จะเดินเองได้เนื่องจากหายใจไม่สะดวกต้องใส่สายออกซิเจนตลอดเวลาโดยที่มีพ่อเราคอยดูแล ซึ่งพ่อจะอยู่เฝ้าแม่แค่ช่วงเย็นจนถึงช่วงเช้าเท่านั้น เพราะตอนกลางวันพ่อเราต้องทำงานและไปเตรียมงาบวชให้พี่เพราะว่าพี่เราต้องอยู่วัดโดยที่พ่อฝากแม่เราให้ญาติของเตียงข้างๆคอยดูแล จนวันที่ 13 กรกฎาคม 2556 เราได้ลางานเพื่อไปงานบวชของพี่เราจึงเป็นคนเฝ้าแม่แทน ตลอดเวลาที่เฝ้าแม่ แม่บอกเราว่าเราต้องทำใจไว้นะ เพราะแม่คงจะอยู่กับเราได้อีกไม่นานแม่รู้ตัว ถ้าแม่เป็นอะไรไปเราไม่ต้องให้ใครใส่เครื่องช่วยหายใจให้แม่นะ แม่ไม่อยากทรมานปล่อยแม่ไปเถอะอย่ารั้งแม่ไว้เลย แล้วเราต้องเข้มแข็งนะเพราะว่าแค่พ่อเราคงทำอะไรมากไม่ได้ อีกอย่างพี่เราเองก็คงยังเป็นพระ คงช่วยอะไรมากไม่ได้ เราต้องเป็นคนทำเรื่องทุกอย่างเองนะ เราก็รับปากแม่ และแม่ยังบอกอีกว่าถ้าแม่ตายไปแม่จะไปเป็นนกแล้วจะบินขึ้นไปสูงๆแล้วจะคอยดูพวกเราว่าเป็นยังไงบ้างและจะได้เห็นพวกเราชัดๆด้วย ช่วงเวลาเฝ้าแม่แม่เรากินข้าวได้เยอะมากซึ่งปกติแม่จะกินอะไรไม่ค่อยได้เราเลยตามใจแม่อยากกินอะไรเราก็หามาให้ แม่เรายิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะ ร่าเริงสุดๆถึงขั้นโทรไปแทงหวยเองได้เลย แถมยังบอกอีกนะว่าถ้าถูกแม่เราเอาหมด แต่ถ้าถูกกินเราต้องเป็นคนจ่าย เราก็หัวเราะและรับปากว่าจะจ่ายให้ตอนนั้นเราคิดว่าแม่คงจะอยู่กับเราไปได้อีกนานเพราะแม่ยังสดใสร่าเริงได้ขนาดนี้ จนถึงวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 วันรับนาคงานบวชพี่เราและเนื่องจากแม่เราต้องใส่สายออกซิเจนตลอดเวลาเลยไม่สามารถไปร่วมงานได้นาคจึงได้มาลาแม่ที่ดรงพยาบาลโดยที่พ่อเราได้ทำเรื่องขอกับหมอไว้ก่อนแล้ว ภาพวันนั้นเรายังจำได้ขึ้นใจ ภาพที่นาคก้มลงกราบขอขมาแม่ทั้งที่แม่อยู่ในชุดคนไข้ ทั้งญาติ พยาบาล รวมถึงคนไข้คนอื่นต่างร้องให้กันระงม มันทั้งดุอบอุ่นและหดหู่ไปในตัว จนวันรุ่งขันวันบวชพระแม่ก็ยังไม่สามารถไปร่วมงานได้เพราะว่าหมอไม่อนุญาติ เนื่องจากกลัวแม่เราอาการทรุดกลางอุโบสถ อีกทั้งก็ไม่สะดวกด้วย เราจึงทำได้เพียงแค่ขับรถไปเอาชุดผ้าไหมสีชมพูชุดสวยที่แม่เตรียมไว้มาเปลี่ยนให้แม่ที่โรงพยาบาลและทำการมัดผมและแต่งหน้าให้เพื่อรอพระเข้าพิธีเสร็จและได้มาหาแม่ที่โรงพยาบาล บรรยากาศมันทั้งขลังและดูอบอุ่นแม่นั่งร้องไห้เพราะดีใจที่ได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูก จนงานบวชผ่านไปเราก็กลับไปทำงานในตอนเย็นวันที่ 17 กรกฏาคม 2556 ก่อนเรากลับแม่เราอาการดีขึ้นมาก ขนาดมีแรงหัวเราะเยาะเราที่ต้องจ่ายค่าหวยให้แก เพราะแกโดยหวยกิน แถมหมอบอกว่าพรุ้งนี้เช้าให้กลับบ้านได้ ตอนเราขึ้นรถกลับที่พักที่กรุงเทพแม่เรายังโทรมาถามอยู่เลยว่า
แม่ ใกล้ถึงรึยัง
เรา ใกล้ถึงแล้วกำลังนั่งรถสองแถวเข้าห้อง แม่ทำไรอยู่อ่ะ
แม่ ก็อยู่โรงพยาบาลแหละกำลังจะนอนแล้ว
เรา อืมงั้นนอนไปเหอะ ดูแลตัวเองดีๆหละจะได้หายไวๆ อยู่กับหนูไปนานๆ
แม่ เออ ก็ดูแลตัวเองดีๆหละ
เรา จร้า หนูรักแม่มากนะ
แม่ เออ แม่ก็รัก
แล้วแม่ก็วางสายไป ใครจะรู้หละว่านั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้คุยกับแม่เพราะว่ามันไม่มีสัณญาณอะไรเตือนให้รู้ก่อนเลย...
วันรุ่งขึ้นเราก็ไม่ทำงานปกติแล้วก็แปลกใจว่าทำไมวันนี้แม่ไปโทรหาเรา เราก็คิดว่าแม่คงเหนื่อยเพราะวันนี้แม่ได้ออกจากโรงพยาบาล เราก็เลยไม่ได้โทหาแม่เพราะอยากให้แม่พักผ่อน
และแล้ววันที่แสนเลวร้ายก็มาถึง...วันที่ 18 กรกฎษคม 2556
วันนี้ตอนเที่ยงเราได้โทรหาแม่แต่ก็ต้องรู้สึกตกใจเพราะคนที่รับโทรศัพท์ไม่ใช่แม่แต่เป็นพี่สะใภ้เรา เราก็เลยไปว่าแม่อยู่ไหนทำไมเค้าถึงรับโทรศัพท์ได้เพราะปกติแม่จะรับโทรศัพท์เองตลอดและคำตอบที่ได้มาทำให้เราช็อกมากคือ แม่เข้าโรงพยาบาลเมื่อคืน อาการหนักมาก เราทำอะไรไม่ถูกเลยตอนนั้น งง ไปหมด เพราะเวลาแค่วันเดียวทำไมแม่ถึงทรุดได้ขนาดนี้ พอตั้งสติได้เราก็รีบโทรหาพ่อ พ่อบอกว่าเมื่อคืนแม่อาการทรุดหายใจไม่ออก สายออกซิเจนก็เอาไม่อยู่ พ่อก็เลยโทรเรียกรถพยาบาล พอเจ้าหน้าที่มาถึงก็จะทำการสอดท่อเครื่องช่วยหายใจให้แม่ แต่แม่ไม่ยอมพ่อบอกว่าแม่แม้มปาก กัดฟันไม่ยอมให้หมอสอดท่อ จนพ่อต้องบอกว่า เหี่ยวถ้าไม่ยอมให้เค้าสอดท่อก็จะตายโดยที่ไม่ได้เห็นหน้าใครอีก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่ น้อง รวมถึงลูกด้วย แม่เราถึงยอมให้หมอสอดท่อแล้วนำตัวส่งโรงพยาบาล เราก็ถามพ่อว่าทำไมไม่โทรบอกเราตั้งแต่เมื่อคืน นี่ถ้าเราไม่โทรหาแม่เราก็คงยังไม่รู้เรื่อง พ่อเราก็ตอบว่า เพราะพ่อคิดว่าแม่เราคงไม่เป็นอะไรมากคงจะหายและดีขึ้นเหมือนกับทุกครั้ง หลังจากคุยกับพ่อเสร็จเราก็รีบโทรหาฝ่ายบุคคลเพื่อลางานและให้รถตู้ของบริษัทไปส่งที่ท่ารถ พอเราไปถึงโรงพยาบาลภาพที่เราเห็นคือ แม่นอนอยู่บนเตียงใส่เครื่องช่วยหายใจต้องให้อาหารทางสาย พูดไม่ได้ เราน้ำตาไหลพรากเลยทั้งกลัวทั้งสงสารแม่ พอเราเดินไปที่เตียงเราก็ถามแม่ว่าเป็นไงบ้าง แม่ได้แต่ส่ายหน้าเราก็ถามว่าไม่ไหวหรอ แม่ก็พยักหน้า เราก็เลยบอกแม่ว่าอดทนอีกหน่อยนะแม่รอป้ากับน้ามาก่อน พวกเค้ากำลังนั่งรถมาคงถึงตอนเย็นๆแม่รอไหวไหม แม่เราก็พยักหน้า สักพักหลวงพี่ก็มาถึงแล้วก็กอดแม่ ร้องไห้ แม่หันไปหาพ่อแล้วยกมือชี้ไปทางหลวงพี่ แล้วชี้มาทางเค้าพร้อมกับทำท่ากอดแล้วเอานิ้วชี้ทั้งสองข้างไขว้กันเพื่อถามพ่อว่า ที่หลวงพี่กอดแม่ศีลจะขาดมั้ย พ่อก็บอกว่าไม่ขาดหรอกเพราะพระเป็นลูกถือว่าไม่ผิดศีล แม่ก็เลยพยักหน้า ระหว่างที่รอป้ากับน้าเรากับพ่อก็ปรึกษากันว่าถ้าหัวใจแม่หยุดเต้นไม่ต้องให้หมอปั้มหัวใจเพราะแม่ทรมานมามากแล้วปล่อยให้แม่ไปสบายเถอะ จนตอนเย็นป้ากับน้ามาถึงแม่ก็ร้องให้ ป้ากับน้าก็ร้องให้ ป้าถามแม่ว่าเป็นไงบ้างแม่ก็ได้แต่ส่ายหน้า ป้าก็เลยพูดกับแม่ว่า ถ้าไม่ไหวก็พักซะนอนหลับให้สบายไม่ต้องห่วงทางนี้ลูกก็โตกันหมดแล้วไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว แม่เราก็พยักหน้า แล้วเช้าวันที่ 19 กรกฎาคม 2556 เวลา 05.45 น. หลังงานบวชพี่เราได้ 2 วันแม่เราก็จากไปโดยสงบโดยที่มีแต่คนบอกว่าแม่เราไปสบายแล้วแถมได้บุญใหญ่ไปอีกต่างหากเพราะพี่เราพึ่งจะบวชเป็นพระใหม่และยังไม่ได้ทำผิดศีลอะไรแม่ยิ่งได้บุญมาก...
เราอยากให้เรื่องของเราเป็นอุทาหรณ์ให้กับใครหลายๆคนที่ไม่ค่อยสนใจและใส่ใจดูแลพ่อแม่ เพราะว่าเราไม่รู้หรอกว่าท่านจะอยู่กับเราได้อีกนานแค่ไหน หาข้าวให้ท่านทานบ้างในยามที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ไปเคาะโรงเรียกท่านกินข้าวในยามที่ท่านเสียไปแล้ว แบ่งเวลาให้ท่านบ้าง เพราะพวกคุณอาจจะไม่โชคดีเหมือนพี่เราที่ยังบวชทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้ทันเวลา ไม่ใช่แค่บวชได้แค่หน้าไฟในวันที่เผาท่านเท่านั้น แล้วจะมาเสียใจในวันหลังและจะทำได้แค่คิดว่า ถ้ารู้แบบนี้วันนั้นคง...
ถ้าผิดพลาดอะไรต้องขออภัยด้วยนะคะ...นี่คือคลิปตอนที่นาคมาลาแม่ที่โรงพยาบาลค่ะ https://www.youtube.com/watch?v=-bVIZUegw_I&feature=youtube_gdata_player
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่