ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ค่ะ ถ้าหมอบอกว่าไม่เป็นอะไรก็อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะมันอาจจะสายเกินไปก็ได้

เรื่องนี้เกิดขึ้นนานมากแล้วค่ะ แต่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเราน่าจะมาตั้งกระทู้แชร์ให้คนอื่นๆได้อ่านเป็นอุทาหรณ์
สำหรับคนที่ป่วยหรือมีคนทีทคุณรักป่วยอยู่อย่าปล่อยไว้และคิดว่าค่าไม่เป็นอะไรนะคะ คำพูดของหมอมีอิทธิพลกับคนไข้มากจริงๆ
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับป้าแท้ๆที่เป็นพี่สาวของแม่เราเองค่ะ แต่ตอนนี้เค้าเสียชีวิตไปน่าจะ3-4ปีได้แล้ว


เริ่มเลยนะคะ ...ป้าเราเป็นคนทำมาหากินค่ะ ทำไร่ทำนา อยู่จังหวัดสุพรรณบุรี มีรับจ๊อบเย็บผ้าโหลบ้าง เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ
แต่ไม่ได้ออกกำลังกายค่ะ เพราะแค่ทำงานเค้าก็เหนื่อยแล้ว แล้วเค้าก็ดำเนินชีวิตของเค้าไปเรื่อยๆ ทำมาหากิน เลี้ยงลูก อยู่กับสามี
แต่วันดีคืนดี จู่ๆเค้าก็มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ก็หามไปโรงพยาบาลใกล้ๆ ของอำเภอ หมอเอ็กซเรย์พบว่า มีจุดเล็กๆ(เท่าเม็ดถั่วเขียว) อยู่ที่บริเวณปอด
หมอบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ก็ได้ยามากินตามอาการ


แต่ด้วยความเป็นคนต่างจังหวัด เจ็บป่วยที คนที่รู้จักแถวๆนั้นก็รู้กันทั้งแถบ เค้าก็เตือนกันด้วยความหวังดี ว่า ให้ไปตรวจให้ละเอียดในโรงพยาบาลที่ชัวร์กว่านี้เถอะ
คือโรงพยาบาลนั้นหมอไม่ค่อยเก่งค่ะ บางทีก็หมอใหม่ โอกาสตรวจผิดพลาดค่อนข้างสูง ป้าเราก็ไม่ชะล่าใจ เค้าก็ตัดสินใจมาตรวจที่ "โรงพยาบาลทรวงอก" ซึ่งเป็นโรพยาบาลเฉพาะทาง
ที่อยู่ใกล้ๆบ้านเรา(ใน จ.นนทบุรี) แม่เราก็ดูแลและอำนวยความสะดวกเท่าที่จะทำได้ เพราะนั่นคือพี่สาวแท้ๆ ของเค้า


จนถึงวันไปตรวจที่โรงพยาบาลทรวงอก เชื่อมั้ย หมอพูดจาดุๆ
หมอดุป้าเรา ประมาณว่า "ไปตรวจมาแล้ว หมอเค้าบอกไม่ได้เป็นอะไร แล้วคุณจะมาตรวจทำไมอีก"
คือเราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรอก แต่แม่เราไปกะป้า เค้าได้ยินมา เค้าเสียความรู้สึก นั่นแสดงว่าน้ำเสียงของหมอ ไม่ได้เป็นมิตรเท่าที่ควร
เพราะป้าเราก็เริ่มรู้สึกไม่ดีกะหมอแระ พอตรวจเสร็จหมอก็นัดวันให้มาฟังผล แล้วป้าเราก็กลับสุพรรณเลย


ด้วยความที่ไม่พอใจหมอ แล้วหมอก็พูดกึ่งยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไร ป้าเราก็เลยไม่ได้เดินทางมาฟังผล

จนเวลาผ่านไปสองปี อาการแน่นหน้าอกก็กลับมาอีก พร้อมกับเหนื่อยง่าย ป้าเราก็เลยไปหาหมออีกครั้ง คราวนี้ตรวจที่โรงพยาบาลในตัวเมืองของ จ.สุพรรณฯ
ผลรุปคือป้าเราเป็น "มะเร็ง" (มะเร็งระดับ3) จุดที่เคยตรวจพบในปอดเมื่อสองปีก่อนที่ว่าเม็ดเท่าถั่วเขียว ตอนนี้ขนาดใหญ่ขึ้นเท่าไข่ไก่แล้ว
ก็ต้องทำการผ่าตัด รักษา ทำคีโม อะไรว่ากันไป ช่วงนั้นป้าเราก็ตะลอนๆ จากโรงพยาบาลโน้นมาโรงพยาบาลนี้ บางทีหมอก็ส่งมา
บางทีก็มาที่โรงพยาบาลทรวงอกด้วย แต่ไม่ได้รักษากับหมอปากเสียคนเดิมแล้วนะ ก็มีหลายครั้งที่ป้ามาที่โรงพยาบาลทรวงอก เพราะตรวจ รักษาอย่างต่อเนื่อง


แต่สุดท้ายแล้ว หลังจากผ่าตัดมา และทำคีโม ป้าเราก็เป็นคนที่หงุดหงิด ท้อแท้ บางครั้งดีบางครั้งร้าย จากที่เมื่อก่อนเคยเป็นคนทำมาหากิน และสู้งานก็ต้องมานอนป่วย
จนสุดท้ายยื้อกันไปยื้อมา เค้าต่อสู้กับโรงร้ายนี้ไม่ไหว เค้าก็เสียชีวิต ด้วยวัย50ต้นๆ ตอนนั้นทุกคนเสียใจมาก เราเสียใจมาก ทั้งเสียใจทั้งสงสารลูกของป้าซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเรา. จนถึงวันนี้เวลาเราไปสุพรรณทีไร เราก็คิดถึงป้าเราทุกที ทำบุญที่ไรก็นึกถึงเค้าตลอด เราว่าป้าเราเค้าอายุสั้นไปหน่อย น่าจะอยู่ความสำเร็วของลูกสาวเค้าก่อน



**ขอจบง่ายๆแบบนี้ละกันนะคะ ไม่รุจะจบยังไง แต่ความคิดส่วนตัวเรา เราคิดว่า ถ้าหมอพูดจากับคนไข้ดีๆตั้งแต่แรก เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น ป้าเราอาจจะยังมีชีวิตอยู่

ทั้งนั้นทั้งนั้นเราก็ไม่ได้โทษหมอซะทั้งหมดหรอก เพราะป้าเราก็ผิดด้วยที่ไม่ยอมไปฟังผลตามที่หมอนัด แต่สำหรับเราว่าหมอก็มีส่วนผิดอยู่บางส่วน เพราะถ้าหมอพูดดีๆ และแสดงกิริยาวาจาแบบนั้นออกมา ป้าเราก็คงจะไปตามนัด และไม่ปล่อยปะละเลยกับตัวเองขนาดนี้


จบแล้วค่ะ ขอบคุณคนที่อ่านจนจบนะคะ ฝากไว้สำหรับใครที่ป่วยหรือมีคนในครอบครัวป่วยอะไรไม่มาก ก็อย่าคิดว่าตัวเองไม่เป็นอะไรนะคะ ไปหมอดีที่สุดค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่