*** กระทู้นี้เป็นรีวิว SR โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม ***
ถ้าพูดถึงเมนูเนื้อย่างสไตล์ Yakiniku หรือ เนื้อย่างแบบญี่ปุ่น หลายคนก็คงมีร้านในใจกันอยู่หลาย ๆ ร้าน เพราะเมนูสไตล์นี้ถือเป็นที่นิยมของคนไทยเป็นอย่างมาก และร้านเนื้อย่างเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเยอะแยะมากมายมีทั้งบุฟเฟต์ และไม่บุฟเฟต์(A-la-carte) แต่วันนี้จะแนะนำร้านเนื้อย่างอีกร้านย่านทองหล่อ ซึ่งร้านนี้ถือได้ว่าเป็นตัวแทนความอร่อยของเนื้อวากิวระดับพรีเมี่ยมในเมืองไทยที่ส่งตรงเนื้อวากิวมาจากเมืองโอกินาวาประเทศญี่ปุ่นก็ว่าได้ ร้านที่กล่าวถึงนี้ก็คือร้าน
Daisuki Yakiniku Bar & Grill
ร้าน Daisuki Yakiniku Bar & Grill เป็นร้านเนื้อย่างพรีเมี่ยมสไตล์โอกินาว่า ที่คัดสรรเฉพาะเนื้อวากิวสายพันธุ์ Ishigaki ในระดับ A3-A5 มาไว้บริการให้กับลูกค้าเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้าได้เคลิบเคลิ้มไปกับเนื้อวากิวที่มีมันแทรกเมื่อโดนความร้อนก็จะได้เนื้อนุ่ม ๆ หอม ๆ แล้วนอกจากเนื้อวากิวจากเมืองโอกินาวาแล้ว ทางร้านยังมีเนื้อจากแหล่งอื่น ๆ ให้เลือกด้วย ทั้งเนื้อจากออสเตรเลีย และเนื้อไทยเฟรนช์จากประเทศไทย ก็มีไว้ให้เลือกตามความชอบของแต่ละคน และสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อก็มีเมนูหมู ไก่ และซีฟู๊ด ไว้บริการด้วยเหมือนกัน
ร้าน Daisuki Yakiniku Bar & Grill ตั้งอยู่ในโครงการ Grass Thonglor ในซอยทองหล่อ 12 เข้าซอยไปสัก 20 เมตรก็เห็นร้านอยู่ทางขวามือ เป็นร้านที่อยู่หัวมุมก่อนเข้าที่จอดรถเลย ด้านในร้านจะมีโต๊ะที่ฝังเตาย่างเนื้ออยู่ประมาณ 12 โต๊ะ แล้วก็มีบาร์ให้นั่งอีกจำนวนหนึ่ง ด้านในนี้รองรับลูกค้าได้ประมาณ 60 ที่นั่ง และด้านนอกมีโต๊ะธรรมดาที่ไม่มีเตา ไว้สำหรับคนที่อยากชิลล์และไม่ได้กินเมนูเนื้อย่างไว้นั่งกันอีกประมาณ 40 ที่นั่ง บรรยากาศภายในร้านก็เป็นแนว Loft ที่มีการนำเอาสีเขียวของใบไม้และสีน้ำตาลของท่อนไม้และอิฐ มาตกแต่งผสมผสานรวมเข้ากันกับโต๊ะแกรนิตสีดำ อาจจะเพดานต่ำไปสักนิด แต่ทางร้านก็มีการเล่นแสงเปิดไฟให้รู้สึกโล่งขึ้น ทำให้บรรยากาศภายในดูอบอุ่นและลงตัวดี
เมนูของที่ Daisuki Yakiniku Bar & Grill ก็มีทั้ง A la carte และแบบ Set course ที่ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 400 กว่าบาท ไปจนถึง 4,000 กว่าบาท และแน่นอนว่าร้านเนื้อย่างพรีเมี่ยมแบบนี้ไม่มี Buffet แน่นอนครับ เรามาลองดูไปทีละเมนูเลยแล้วกันนะครับ
น้ำจิ้มที่นี่มีด้วยกัน 4 ชนิด ได้แก่ น้ำจิ้ม Yakiniku, น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว, น้ำจิ้มบ๊วย, น้ำจิ้มซีฟู๊ด
- น้ำจิ้ม Yakiniku จะสีดำ ๆ ข้น ๆ รสหวานเค็ม มีความหอมของงาขาวเล็กน้อย
- น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว จะออกเค็มนำ น่าจะไว้กินกับผักและเนื้อ คล้ายวิธีกินแบบเกาหลี
- น้ำจิ้มบ๊วย เป็นน้ำจิ้มรสเปรี้ยวละมุน ๆ เค็มอ่อน ๆ ไว้จิ้มกับเนื้อเพื่อตัดเลี่ยน
- น้ำจิ้มซีฟู๊ด รสชาติจัดจ้าน เปรี้ยว เผ็ด นำ แน่นอนว่าต้องไว้กินอาหารทะเล
น้ำจิ้มมากมายที่ทางร้านเตรียมไว้ให้เลือกกินได้ตามใจชอบ หลาย ๆ คนน่าจะสนุกกัยการเลือกจิ้ม แต่สำหรับผมและคอเนื้อย่างทั้งหลาย ผมว่าแค่เกลือพริกไทยก็พอ(เนื้อราคาสูงแบบนี้อย่าทำให้รสน้ำจิ้มไปกลบรสเนื้อหมดเลยดีกว่าครับ) เลยเหลือบไปเห็นถ้วยเล็ก ๆ 2 ถ้วย นั่นก็คือเกลือทั้ง 2 ชนิด ได้แก่ เกลือกลิ่นชาเขียว และเกลือดำจากฮาวาย ซึ่งจะเป็นเกลือเกล็ดใหญ่ที่จะค่อย ๆ ละลายไปพร้อม ๆ กับเนื้อย่างที่เราเอาเข้าปากไปเลย
Daisuki Yakiniku course – 1,000 BHT
ถือเป็นชุดสุดคุ้มเลย เพราะคอร์สนี้มีทั้งหมด 7 เมนูด้วยกัน พร้อมทั้งเครื่องดื่มอีกด้วย ซึ่งคอร์สนี้ประกอบไปด้วย
1. สลัดแองโชวี่
2. ซุปกิมจิ
3. ชุดเนื้อ 5 อย่าง จาก 3 แหล่ง
- ญี่ปุ่น : Wagyu-Rump, Wagyu-Zabuton
- ออสเตรเลีย : Australia Striploin
- ไทย : Jo-Tan, Misuji
4. ชุดหมูไก่ (หมู 2 อย่าง / ไก่สะโพก 1 อย่าง)
5. ชุดอาหารทะเล (หอยเชลล์, กุ้งลายเสือ, แซลมอน, ปลาหมึก, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์)
6. ข้าวหน้าแกงกะหรี่
7. ผักแกล้ม
8. เครื่องดื่ม (ชาเขียว refill หรือ Mocktail 1 อย่าง)
หน้าตาอาหารในเซ็ต Daisuki Yakiniku course – 1,000 BHT ประกอบด้วย
สลัดแองโชวี่
ซุปกิมจิ รสเข้มข้นกินร้อน ๆ ช่วยทำให้คล่องคอดี
ชุดเนื้อ 5 อย่าง จาก 3 แหล่ง
นำ Australia Striploin มาย่างปนเตาถ่าน ทางร้านแนะนำว่าให้โรยเกลือดำลงไปก็พอ รอสุกก็จะได้รสชาติที่หอมมัน อร่อยแล้ว
ชุดหมูไก่ (หมู 2 อย่าง / ไก่สะโพก 1 อย่าง)
ชุดอาหารทะเล (หอยเชลล์, กุ้งลายเสือ, แซลมอน, ปลาหมึก, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์)
ข้าวหน้าแกงกะหรี่ รสชาติเข้มข้น ข้าวนุ่ม กินร้อน ๆ อร่อยดี
ผักแกล้ม แนะนำว่าให้กินผักตามไปทีหลัง หลังจากที่กินเนื้อดีกว่า เดี๋ยวจะทำให้เนื้อเสียรสชาติ หรือจะเอาผักห่อเนื้อกินแบบเกาหลีก็ได้
เครื่องดื่ม เลือกได้เป็นชาเขียว refill หรือ Mocktail 1 อย่าง
Tasting Beef set – 980 และ 1,300 BHT
เริ่มต้นการกินเนื้อกันด้วยเมนูนี้ ซึ่งถือเป็นความใส่ใจของทางร้านเลยที่จะทำให้เรารู้ว่าเราชอบรับประทานเนื้อที่มีความนุ่ม ความมัน ประมาณไหน ก่อนที่เราจะสั่งกินกันจริง ๆ แต่ไม่ได้ฟรีนะครับ โดย Tasting Beef set นี้มีเนื้อมาทั้งหมด 9 ชนิด ชนิดละ 2 ชิ้นครับ มี 2 ราคาคือ 980 บาท/set และ 1,300 บาท/set ต่างกันที่ 980 บาท จะเป็นเนื้อจากหลาย ๆ ที่มารวมกันทั้งญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และไทย แต่แบบ 1,300 บาท จะเป็นเนื้อวากิวล้วน ๆ จากเมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมด
ซึ่งที่ผมได้ลองก็คือเซ็ท 1,300 บาท บอกได้เลยครับว่าทั้ง 9 ชนิดนั้น อร่อยทุกส่วนเลย เพราะทุกส่วนนั้นนุ่มมาก ตามลักษณะของมันที่แทรกอยู่ในเนื้อแต่ละส่วน แม้กระทั่งส่วนที่มีมันน้อย ก็ยังสัมผัสได้ถึงความนุ่ม ให้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากการกินปิ้งย่าง หรือเนื้อย่างทั่วไปจริง ๆ
เนื้อใน Tasting Beef set ทั้ง 9 ชนิด ประกอบด้วย
Zabuton : เนื้อสันคอ, Mae Bara : เนื้อเสือร้องไห้ ติดกับซี่โครง, Tomo Sankaku : เนื้อช่วงสะโพกใกล้ ๆ ขา, Shintama : เนื้อพับใน(สันสะโพก), Misuji : เนื้อใบพาย, Rump : เนื้อสันเอว หรือ สะโพกส่วนบน, Striploin : เนื้อสันนอก, Icohibo : เนื้อสันนอกติดสะโพก, Tomo Bara : เนื้อซี่โครงส่วนท้อง
แต่ที่ชอบที่สุด 3 อันดับแรกเห็นจะเป็น Zabuton, Misuji และ Striploin เพราะมีปริมาณไขมันที่ผมว่าเหมาะสำหรับการกินเนื้อย่างแบบพรีเมี่ยมแบบนี้ ไขมันที่ค่อย ๆ ละลายเมื่อชิ้นเนื้อโดนความร้อนและเปลวไฟ มันส่งกลิ่นหอมที่เย้ายวนออกมา ทำให้ระบบการตอบสนองทุกส่วนทำงานอยากจะคีบเนื้อเหล่านั้นมาจิ้มเกลือแล้วกินกับข้าวสวยร้อน ๆ ซะเหลือเกิน
Pizza Sushi – 270 BHT
พักคั่นเวลากันด้วยเมนูญี่ปุ่นแบบ Fusion กันสักเล็กน้อย เมนูนี้จัดอยู่ในหมวดของ Sushi ที่นำเสนอมาคล้ายพิซซ่า คือวางแผ่อยู่บนถาดไม้เล็ก ๆ รสชาติเหมือนซูชิมาก ๆ เพราะวัตถุดิบหลักยังคงเป็นข้าว กุ้ง ปูอัด ไข่แซลมอน และอโวคาโด้อยู่ แต่มีกลิ่นและความเข้มข้นของชีสและซอสมะเขือเทศเข้ามาผสมผสานกันเป็นอย่างดีจานนี้อร่อยกว่าที่เห็นจริง ๆ ครับ ต้องลอง ๆ ไม่มีที่ไหนขายแน่นอนครับ
มีอุปกรณ์การตัดเป็นชิ้น ๆ เหมือนพิซซ่า ยืดออกมา ชีสเยิ้ม ๆ คล้าย พิซซ่า แต่กินและรสชาติคือซูชิ เลย
Daisuki Rib Eye – 1,450 BHT
เป็นเนื้อ Rib Eye ขนาด 130 กรัม สไลด์มาแบบ ดูแล้วพรีเมี่ยมมาก ชิ้นใหญ่เท่าจานเลย มีไขมันแทรกอยู่ทั่วชิ้น และจะมีเยอะตรงส่วนบนของชิ้น เวลาย่างควรตัดเป็นชิ้นยาว ๆ แนวนอนให้พอที่จะลงเตาย่างได้ ก็จะได้เนื้อตามรูป ซึ่งน่ากินมาก เมื่อกินกับเกลือดำมันเข้ากัน และลงตัวมาก เพราะความหอมมันของเนื้อกับความเค็มอ่อน ๆ ของเกลือมันไปด้วยกันได้ดีจริง ๆ ความสุขนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมเลย อร่อยมากครับ จานนี้ใครมีทุนทรัพย์หน่อยแนะนำให้ลองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ตัดเป็นชิ้นแล้วค่อยนำไปย่าง จะได้สุกทั่วถึงกัน พอเนื้อออกชมพู ๆ ก็กลับอีกสักทีแล้วก็กินได้เลยอร่อยมาก รวม ๆ แล้วเค้าให้ย่างไม่เกิน 15 วินาทีนะครับ
เรื่องเครื่องดื่มถ้าจะดื่มคู่กับเนื้อย่าง คงไม่มีใครปฎิเสธว่าจะต้องเป็นเบียร์สดเย็น ๆ อย่างแน่นอน ที่ Daisuki Yakiniku Bar & Grill ก็มีเบียร์สดให้บริการด้วยกัน 2 ยี่ห้อ คือ Sapporo และ Singha ราคาก็ไม่แพง 200 บาท และ 69 บาท ตามลำดับ หรือถ้าใครที่ไม่ถนัดเรื่องเบียร์ เครื่องดื่มอื่น ๆ ทางร้านเค้าก็มีให้เลือกมากมาย ทั้งน้ำชา น้ำผลไม้ mocktail cocktail สาเก ไวน์ เป็นต้น
สรุป ร้านนี้ ผมว่าเป็นร้านเนื้อย่างพรีเมี่ยมน้องใหม่ ที่มีการคัดสรรวัตถุดิบมาเป็นอย่างดี แล้วมีเมนูที่เป็น Tasting ด้วย เพื่อทำให้เรารู้ว่าเราชอบรับประทานเนื้อที่มีความนุ่ม ความมัน ประมาณไหน ก่อนที่เราจะสั่งกินกันจริง ๆ ด้วย มีเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้เราได้เลือกกินกันมากมาย เรื่องราคานั้นแน่นอนว่าตามคุณภาพของวัตถุดิบ แต่ก็คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับและประสบการณ์ใหม่ที่ได้มา ใครที่รักและคลั่งไคล้การกินเนื้อไม่ควรพลาดอย่างเด็ด
[SR] DAISUKI YAKINIKU BAR & GRILL เนื้อย่างสไตล์ Yakiniku สุดพรีเมี่ยม ที่นำเข้าเนื้อวากิวจาก เมืองโอกินาว่า
ถ้าพูดถึงเมนูเนื้อย่างสไตล์ Yakiniku หรือ เนื้อย่างแบบญี่ปุ่น หลายคนก็คงมีร้านในใจกันอยู่หลาย ๆ ร้าน เพราะเมนูสไตล์นี้ถือเป็นที่นิยมของคนไทยเป็นอย่างมาก และร้านเนื้อย่างเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเยอะแยะมากมายมีทั้งบุฟเฟต์ และไม่บุฟเฟต์(A-la-carte) แต่วันนี้จะแนะนำร้านเนื้อย่างอีกร้านย่านทองหล่อ ซึ่งร้านนี้ถือได้ว่าเป็นตัวแทนความอร่อยของเนื้อวากิวระดับพรีเมี่ยมในเมืองไทยที่ส่งตรงเนื้อวากิวมาจากเมืองโอกินาวาประเทศญี่ปุ่นก็ว่าได้ ร้านที่กล่าวถึงนี้ก็คือร้าน Daisuki Yakiniku Bar & Grill
ร้าน Daisuki Yakiniku Bar & Grill เป็นร้านเนื้อย่างพรีเมี่ยมสไตล์โอกินาว่า ที่คัดสรรเฉพาะเนื้อวากิวสายพันธุ์ Ishigaki ในระดับ A3-A5 มาไว้บริการให้กับลูกค้าเท่านั้น เพื่อให้ลูกค้าได้เคลิบเคลิ้มไปกับเนื้อวากิวที่มีมันแทรกเมื่อโดนความร้อนก็จะได้เนื้อนุ่ม ๆ หอม ๆ แล้วนอกจากเนื้อวากิวจากเมืองโอกินาวาแล้ว ทางร้านยังมีเนื้อจากแหล่งอื่น ๆ ให้เลือกด้วย ทั้งเนื้อจากออสเตรเลีย และเนื้อไทยเฟรนช์จากประเทศไทย ก็มีไว้ให้เลือกตามความชอบของแต่ละคน และสำหรับคนที่ไม่กินเนื้อก็มีเมนูหมู ไก่ และซีฟู๊ด ไว้บริการด้วยเหมือนกัน
ร้าน Daisuki Yakiniku Bar & Grill ตั้งอยู่ในโครงการ Grass Thonglor ในซอยทองหล่อ 12 เข้าซอยไปสัก 20 เมตรก็เห็นร้านอยู่ทางขวามือ เป็นร้านที่อยู่หัวมุมก่อนเข้าที่จอดรถเลย ด้านในร้านจะมีโต๊ะที่ฝังเตาย่างเนื้ออยู่ประมาณ 12 โต๊ะ แล้วก็มีบาร์ให้นั่งอีกจำนวนหนึ่ง ด้านในนี้รองรับลูกค้าได้ประมาณ 60 ที่นั่ง และด้านนอกมีโต๊ะธรรมดาที่ไม่มีเตา ไว้สำหรับคนที่อยากชิลล์และไม่ได้กินเมนูเนื้อย่างไว้นั่งกันอีกประมาณ 40 ที่นั่ง บรรยากาศภายในร้านก็เป็นแนว Loft ที่มีการนำเอาสีเขียวของใบไม้และสีน้ำตาลของท่อนไม้และอิฐ มาตกแต่งผสมผสานรวมเข้ากันกับโต๊ะแกรนิตสีดำ อาจจะเพดานต่ำไปสักนิด แต่ทางร้านก็มีการเล่นแสงเปิดไฟให้รู้สึกโล่งขึ้น ทำให้บรรยากาศภายในดูอบอุ่นและลงตัวดี
เมนูของที่ Daisuki Yakiniku Bar & Grill ก็มีทั้ง A la carte และแบบ Set course ที่ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 400 กว่าบาท ไปจนถึง 4,000 กว่าบาท และแน่นอนว่าร้านเนื้อย่างพรีเมี่ยมแบบนี้ไม่มี Buffet แน่นอนครับ เรามาลองดูไปทีละเมนูเลยแล้วกันนะครับ
น้ำจิ้มที่นี่มีด้วยกัน 4 ชนิด ได้แก่ น้ำจิ้ม Yakiniku, น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว, น้ำจิ้มบ๊วย, น้ำจิ้มซีฟู๊ด
- น้ำจิ้ม Yakiniku จะสีดำ ๆ ข้น ๆ รสหวานเค็ม มีความหอมของงาขาวเล็กน้อย
- น้ำจิ้มเต้าเจี้ยว จะออกเค็มนำ น่าจะไว้กินกับผักและเนื้อ คล้ายวิธีกินแบบเกาหลี
- น้ำจิ้มบ๊วย เป็นน้ำจิ้มรสเปรี้ยวละมุน ๆ เค็มอ่อน ๆ ไว้จิ้มกับเนื้อเพื่อตัดเลี่ยน
- น้ำจิ้มซีฟู๊ด รสชาติจัดจ้าน เปรี้ยว เผ็ด นำ แน่นอนว่าต้องไว้กินอาหารทะเล
น้ำจิ้มมากมายที่ทางร้านเตรียมไว้ให้เลือกกินได้ตามใจชอบ หลาย ๆ คนน่าจะสนุกกัยการเลือกจิ้ม แต่สำหรับผมและคอเนื้อย่างทั้งหลาย ผมว่าแค่เกลือพริกไทยก็พอ(เนื้อราคาสูงแบบนี้อย่าทำให้รสน้ำจิ้มไปกลบรสเนื้อหมดเลยดีกว่าครับ) เลยเหลือบไปเห็นถ้วยเล็ก ๆ 2 ถ้วย นั่นก็คือเกลือทั้ง 2 ชนิด ได้แก่ เกลือกลิ่นชาเขียว และเกลือดำจากฮาวาย ซึ่งจะเป็นเกลือเกล็ดใหญ่ที่จะค่อย ๆ ละลายไปพร้อม ๆ กับเนื้อย่างที่เราเอาเข้าปากไปเลย
ถือเป็นชุดสุดคุ้มเลย เพราะคอร์สนี้มีทั้งหมด 7 เมนูด้วยกัน พร้อมทั้งเครื่องดื่มอีกด้วย ซึ่งคอร์สนี้ประกอบไปด้วย
1. สลัดแองโชวี่
2. ซุปกิมจิ
3. ชุดเนื้อ 5 อย่าง จาก 3 แหล่ง
- ญี่ปุ่น : Wagyu-Rump, Wagyu-Zabuton
- ออสเตรเลีย : Australia Striploin
- ไทย : Jo-Tan, Misuji
4. ชุดหมูไก่ (หมู 2 อย่าง / ไก่สะโพก 1 อย่าง)
5. ชุดอาหารทะเล (หอยเชลล์, กุ้งลายเสือ, แซลมอน, ปลาหมึก, หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์)
6. ข้าวหน้าแกงกะหรี่
7. ผักแกล้ม
8. เครื่องดื่ม (ชาเขียว refill หรือ Mocktail 1 อย่าง)
Tasting Beef set – 980 และ 1,300 BHT
เริ่มต้นการกินเนื้อกันด้วยเมนูนี้ ซึ่งถือเป็นความใส่ใจของทางร้านเลยที่จะทำให้เรารู้ว่าเราชอบรับประทานเนื้อที่มีความนุ่ม ความมัน ประมาณไหน ก่อนที่เราจะสั่งกินกันจริง ๆ แต่ไม่ได้ฟรีนะครับ โดย Tasting Beef set นี้มีเนื้อมาทั้งหมด 9 ชนิด ชนิดละ 2 ชิ้นครับ มี 2 ราคาคือ 980 บาท/set และ 1,300 บาท/set ต่างกันที่ 980 บาท จะเป็นเนื้อจากหลาย ๆ ที่มารวมกันทั้งญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และไทย แต่แบบ 1,300 บาท จะเป็นเนื้อวากิวล้วน ๆ จากเมืองโอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมด
ซึ่งที่ผมได้ลองก็คือเซ็ท 1,300 บาท บอกได้เลยครับว่าทั้ง 9 ชนิดนั้น อร่อยทุกส่วนเลย เพราะทุกส่วนนั้นนุ่มมาก ตามลักษณะของมันที่แทรกอยู่ในเนื้อแต่ละส่วน แม้กระทั่งส่วนที่มีมันน้อย ก็ยังสัมผัสได้ถึงความนุ่ม ให้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างจากการกินปิ้งย่าง หรือเนื้อย่างทั่วไปจริง ๆ
เนื้อใน Tasting Beef set ทั้ง 9 ชนิด ประกอบด้วย
Zabuton : เนื้อสันคอ, Mae Bara : เนื้อเสือร้องไห้ ติดกับซี่โครง, Tomo Sankaku : เนื้อช่วงสะโพกใกล้ ๆ ขา, Shintama : เนื้อพับใน(สันสะโพก), Misuji : เนื้อใบพาย, Rump : เนื้อสันเอว หรือ สะโพกส่วนบน, Striploin : เนื้อสันนอก, Icohibo : เนื้อสันนอกติดสะโพก, Tomo Bara : เนื้อซี่โครงส่วนท้อง
แต่ที่ชอบที่สุด 3 อันดับแรกเห็นจะเป็น Zabuton, Misuji และ Striploin เพราะมีปริมาณไขมันที่ผมว่าเหมาะสำหรับการกินเนื้อย่างแบบพรีเมี่ยมแบบนี้ ไขมันที่ค่อย ๆ ละลายเมื่อชิ้นเนื้อโดนความร้อนและเปลวไฟ มันส่งกลิ่นหอมที่เย้ายวนออกมา ทำให้ระบบการตอบสนองทุกส่วนทำงานอยากจะคีบเนื้อเหล่านั้นมาจิ้มเกลือแล้วกินกับข้าวสวยร้อน ๆ ซะเหลือเกิน
Pizza Sushi – 270 BHT
พักคั่นเวลากันด้วยเมนูญี่ปุ่นแบบ Fusion กันสักเล็กน้อย เมนูนี้จัดอยู่ในหมวดของ Sushi ที่นำเสนอมาคล้ายพิซซ่า คือวางแผ่อยู่บนถาดไม้เล็ก ๆ รสชาติเหมือนซูชิมาก ๆ เพราะวัตถุดิบหลักยังคงเป็นข้าว กุ้ง ปูอัด ไข่แซลมอน และอโวคาโด้อยู่ แต่มีกลิ่นและความเข้มข้นของชีสและซอสมะเขือเทศเข้ามาผสมผสานกันเป็นอย่างดีจานนี้อร่อยกว่าที่เห็นจริง ๆ ครับ ต้องลอง ๆ ไม่มีที่ไหนขายแน่นอนครับ
Daisuki Rib Eye – 1,450 BHT
เป็นเนื้อ Rib Eye ขนาด 130 กรัม สไลด์มาแบบ ดูแล้วพรีเมี่ยมมาก ชิ้นใหญ่เท่าจานเลย มีไขมันแทรกอยู่ทั่วชิ้น และจะมีเยอะตรงส่วนบนของชิ้น เวลาย่างควรตัดเป็นชิ้นยาว ๆ แนวนอนให้พอที่จะลงเตาย่างได้ ก็จะได้เนื้อตามรูป ซึ่งน่ากินมาก เมื่อกินกับเกลือดำมันเข้ากัน และลงตัวมาก เพราะความหอมมันของเนื้อกับความเค็มอ่อน ๆ ของเกลือมันไปด้วยกันได้ดีจริง ๆ ความสุขนี้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอมเลย อร่อยมากครับ จานนี้ใครมีทุนทรัพย์หน่อยแนะนำให้ลองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
ตัดเป็นชิ้นแล้วค่อยนำไปย่าง จะได้สุกทั่วถึงกัน พอเนื้อออกชมพู ๆ ก็กลับอีกสักทีแล้วก็กินได้เลยอร่อยมาก รวม ๆ แล้วเค้าให้ย่างไม่เกิน 15 วินาทีนะครับ
เรื่องเครื่องดื่มถ้าจะดื่มคู่กับเนื้อย่าง คงไม่มีใครปฎิเสธว่าจะต้องเป็นเบียร์สดเย็น ๆ อย่างแน่นอน ที่ Daisuki Yakiniku Bar & Grill ก็มีเบียร์สดให้บริการด้วยกัน 2 ยี่ห้อ คือ Sapporo และ Singha ราคาก็ไม่แพง 200 บาท และ 69 บาท ตามลำดับ หรือถ้าใครที่ไม่ถนัดเรื่องเบียร์ เครื่องดื่มอื่น ๆ ทางร้านเค้าก็มีให้เลือกมากมาย ทั้งน้ำชา น้ำผลไม้ mocktail cocktail สาเก ไวน์ เป็นต้น
สรุป ร้านนี้ ผมว่าเป็นร้านเนื้อย่างพรีเมี่ยมน้องใหม่ ที่มีการคัดสรรวัตถุดิบมาเป็นอย่างดี แล้วมีเมนูที่เป็น Tasting ด้วย เพื่อทำให้เรารู้ว่าเราชอบรับประทานเนื้อที่มีความนุ่ม ความมัน ประมาณไหน ก่อนที่เราจะสั่งกินกันจริง ๆ ด้วย มีเนื้อส่วนต่าง ๆ ให้เราได้เลือกกินกันมากมาย เรื่องราคานั้นแน่นอนว่าตามคุณภาพของวัตถุดิบ แต่ก็คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคุณภาพที่ได้รับและประสบการณ์ใหม่ที่ได้มา ใครที่รักและคลั่งไคล้การกินเนื้อไม่ควรพลาดอย่างเด็ด