เครื่องรางของขลัง วัตถุมงคล การพรมน้ำมนต์ การเป่าหัว การเจิมหรือการสักยันต์ ศิริมงคลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เป็นเรื่องไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์ นี้มันเป็นสิ่งที่แฝงมาอยู่ด้วยกัน ความจริงของไสยศาสตร์ เขาก็มีอยู่ตามขั้นตอนของเขา แต่มันเป็นความจริงที่ไม่อยู่ในขั้นอมตะ ความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นมงคล หรือน้ำมนต์ ของขลังศักดิ์สิทธิ์อะไรต่างๆ สิ่งเหล่านี้มันจะขลังศักดิ์สิทธิ์อยู่ได้ชั่วระยะเวลาที่เรามีความเชื่อมั่น ถ้าผู้ใช้ขาดความเชื่อมั่น มงคลเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไร และถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ขลังและศักดิ์สิทธิ์ช่วยได้ มันก็เป็นบางครั้งบางคราวไม่แน่นอน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์ว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ละชั่ว ประพฤติดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ สะอาดนี้เป็นมงคลอมตะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้าใครทำได้ มงคล เช่น น้ำมนต์เป่าหัวทั้งหลาย เจิมอะไรเหล่านี้ มันเป็นมงคลที่เราต้องการความช่วยเหลือจากผู้อื่น ในเมื่อผู้อื่นเขาไม่พอใจ แล้วเขาไม่ช่วยเราก็หมดท่า เพราะฉะนั้น ทุกคน ควรจะได้แสวงหาที่พึ่งกับตัวเองด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ
การทำสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ถามนี้ เช่นอย่างการทำมงคล หรืออะไรดังที่ว่านี้เป็นการผิดไหม เป็นการงมงายไหม อันนี้ สิ่งใดที่เรายังยึดถืออยู่ สิ่งนั้นเป็นเรื่องงมงายหมด แม้แต่การปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานนี้ ถ้าปฏิบัติด้วย อุปาทาน ด้วยความยึดมั่น ถือมั่น อยากเป็นผู้ดีวิเศษ เป็นเรื่องของความงมงายหมด ทีนี้เรื่องวัตถุมงคลต่างๆ การพรมน้ำมนต์ การเป่าหัวอะไรเหล่านี้ มันเป็นการให้กำลังใจกันตามความนิยมของสังคม แต่ถ้าพูดถึงขั้นปรมัตถ์แล้ว ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมะนี้ เราต้องเข้าใจเป็น ๒ ขั้นตอน ขั้นโลกียธรรม ขั้นโลกุตตรธรรม
ขั้นโลกียธรรมนี้ ย่อมมีอัตตา ตัวตน มีสมมติบัญญัติ มีผู้ชาย ผู้หญิง มีเรา มีเขา มีทรัพย์สมบัติ มีผู้ถือกรรมสิทธิ์ อันนี้เรื่องของโลกีย์ เราปฏิเสธไม่ได้
แต่ว่าถ้าจิตของเราขึ้นไปอยู่ขั้นโลกุตตระ ไปถึงในระดับเพียงแค่ว่ามีความรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ มีแต่ความเกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น ดับไป เฉย ๆ นี้ อย่างในท้ายธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะ รู้ธรรม เห็นธรรม ถ้าภูมิจิตไปสัมผัสถึงขั้นนี้แล้ว คำว่า อัตตา ตัวตน ผู้ชาย ผู้หญิง ไม่มีสมมติ ไม่มีญัตติ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่สัจจธรรมความจริงปรากฎอยู่เท่านั้น
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
http://www.palungdham.com/luangpoput/preface.htm
การรู้ธรรมนี้ต้องรู้ ๒ ฝั่ง ฝั่งโลกีย์ กับ ฝั่งโลกุตตระ ทำความเข้าใจให้ดี
การทำสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ถามนี้ เช่นอย่างการทำมงคล หรืออะไรดังที่ว่านี้เป็นการผิดไหม เป็นการงมงายไหม อันนี้ สิ่งใดที่เรายังยึดถืออยู่ สิ่งนั้นเป็นเรื่องงมงายหมด แม้แต่การปฏิบัติสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานนี้ ถ้าปฏิบัติด้วย อุปาทาน ด้วยความยึดมั่น ถือมั่น อยากเป็นผู้ดีวิเศษ เป็นเรื่องของความงมงายหมด ทีนี้เรื่องวัตถุมงคลต่างๆ การพรมน้ำมนต์ การเป่าหัวอะไรเหล่านี้ มันเป็นการให้กำลังใจกันตามความนิยมของสังคม แต่ถ้าพูดถึงขั้นปรมัตถ์แล้ว ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมะนี้ เราต้องเข้าใจเป็น ๒ ขั้นตอน ขั้นโลกียธรรม ขั้นโลกุตตรธรรม
ขั้นโลกียธรรมนี้ ย่อมมีอัตตา ตัวตน มีสมมติบัญญัติ มีผู้ชาย ผู้หญิง มีเรา มีเขา มีทรัพย์สมบัติ มีผู้ถือกรรมสิทธิ์ อันนี้เรื่องของโลกีย์ เราปฏิเสธไม่ได้
แต่ว่าถ้าจิตของเราขึ้นไปอยู่ขั้นโลกุตตระ ไปถึงในระดับเพียงแค่ว่ามีความรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ มีแต่ความเกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น ดับไป เฉย ๆ นี้ อย่างในท้ายธรรมจักกัปปวัตตนสูตร ที่ท่านอัญญาโกณฑัญญะ รู้ธรรม เห็นธรรม ถ้าภูมิจิตไปสัมผัสถึงขั้นนี้แล้ว คำว่า อัตตา ตัวตน ผู้ชาย ผู้หญิง ไม่มีสมมติ ไม่มีญัตติ ไม่มีเรา ไม่มีเขา มีแต่สัจจธรรมความจริงปรากฎอยู่เท่านั้น
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
http://www.palungdham.com/luangpoput/preface.htm