"แจ้งเตือนภัยเพราะคราวนี้เจอกับตัวเองก้มหน้าก้มตากับจอsmartphoneไม่กี่นาที แต่ถูกคนร้ายขับมอเตอร์ไซต์วิ่งราวมือถือ”
เหตุเกิดประมาณ 19:20 น.วันศุกร์ที่ 7 พ.ย.นี้เอง กำลังนั่งรอรถเมลล์ที่ป้ายรถฯบนทางเท้าที่มีเก้าอี้ให้นั่งรอ ซึ่งมีคนรอรถก่อนหน้านี้ประมาณ 5 คน คนร้าย 2 คน แต่งตัวใส่เสื้อผ้าสีเข้มทั้งชุด ใส่เสื้อแจ๊กเก็ตแบบมี hood โดยใส่ hood คลุมหัวทั้ง 2 คน (ไม่ใส่หมวกใดๆรวมทั้งหมวกกันน็อก) ขับรถมอเตอร์ไซต์ไม่มีทะเบียนย้อนศรขึ้นฟุตบาทโดยไม่ได้ยินเสียงรถฯ ไม่มีการเร่งเสียง ไม่เปิดไฟหน้ารถ หรือมีสิ่งผิดสังเกต/สิ่งดึงดูดความสนใจผู้คนเลย คนร้ายที่นั่งอยู่ด้านหลังได้ตะบบเอามือถือ Samsung Galaxy Note 2 ของเราไปได้ ตอนที่คนร้ายเอามือถือไปได้ยอมรับว่ากำลังตั้งใจดูข้อความที่ส่งมาทางlineจนไม่ได้ระวังตัว จนเป็นโอกาสดีของพวกคนร้ายมิจฉาชีพ ในช่วงเวลาก่อนเกิดได้หยิบโทรศัพท์มาดูแบบผ่านๆ พอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ามีสัญญาณแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้ามาเลยต้องหยิบโทรศัพท์มาดูอีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้จะตั้งใจอ่านข้อความมากๆ ถ้าประมาณเวลาคร่าวๆตั้งแต่เปิดอ่านข้อความในโทรศัพท์จนเกิดเหตุประมาณเวลา 2 นาทีเท่านั้น คิดว่าคนร้ายน่าจะทำการแบบนี้อยู่บ่อยครั้งดูได้จากการแต่งกาย การใช้และการขับขี่รถ การจับตามองหาเหยื่อตามป้ายรถเมลล์ที่ไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก ซึ่งเป็นบทเรียนให้แก่เราว่า“ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับจอsmartphoneจะตกเป็นเหยื่อเป้าหมายของพวกมิจฉาชีพได้ทันที
หลังจากเกิดเหตุได้โทรไประงับการใช้เบอร์โทรศัพท์และแจ้ง 191 ได้รับคำแนะนำให้มาแจ้งความที่สน.พื้นที่ ตอนแรกจนท.ตำรวจจะมาในที่เกิดเหตุแต่ได้บอกจนท.ตำรวจว่าในพื้นที่เกิดเหตุไม่ร่องรอยอะไรเลยไม่ต้องมาก็ได้พอหายตกใจจากเหตุการณ์และไปแจ้งความที่สน.พื้นที่ (สน.ตลิ่งชัน) พร้อมกล่องโทรศัพท์ที่ยังมีเลขอีมี่ประจำเครื่อง 15 หลักไปด้วย ในระหว่างนั้นจนถึงขณะเดินทางไปแจ้งความได้มีจนท.ตำรวจติดต่อเข้ามา 3 ครั้งโดยย้ำเตือนให้ไปแจ้งความ เมื่อถึงสน.พื้นที่มีจนท.ตำรวจรอรับเรื่องอยู่แล้ว...ขั้นตอนนี้รวดเร็วมาก หลังจากให้ข้อมูลแก่จนท.ตำรวจจนเรียบร้อย จนท.ตำรวจได้บอกหลายครั้งว่าจะค้นหาจากเลขอีมี่ประจำเครื่อง 15 หลัก รวมทั้งพฤติการณ์ต่างๆของคนร้ายที่ดูได้ว่าต้องเคยกระทำการแบบนี้มาหลายครั้ง จนท.ตำรวจบอกว่า case เราเป็นรายแรกของวันนี้ที่มาแจ้งความ ในระหว่างนี้ จนท.ตำรวจจะประสานไปยังบริษัทเอกชนที่มีกล้องวงจรปิดที่ใก้ลที่สถานที่เกิดเหตุมากที่สุดในบริเวณนั้น 2 จุดเพื่อขอดูภาพที่เกิดเหตุ ซึ่งจนท.ตำรวจได้แจ้งขอความร่วมมือให้มาพบหากมีสิ่งใดต้องให้ความร่วมมือจากผู้เสียหาย เพราะ case แบบนี้ส่วนมากผู้เสียหายมักจะไม่ติดต่อหรือไม่ให้ความร่วมมือกลับมาเพราะมักจะคิดว่าจะไม่ได้ทรัพย์สินกลับคืน จนท.ตำรวจยังได้เล่าอีกว่า case แบบนี้เกิดได้ตลอดเวลาถ้าจดจ่อกับหน้าจอมือถือ,tablet บางคนจดจ่อกับการเล่นเกมส์จนถูกวิ่งราวมือถือ,tabletไป
ทั้งนี้ ยินดีให้ความร่วมมือเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากได้รับรู้จากการทำงานของจนท. ตำรวจ สน.ตลิ่งชันในวันนี้การได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ใก้ลเคียงขณะเกิดเหตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสำคัญของ”ความปลอดภัย”,"การช่วยเหลือ" และ ”การอยู่ร่วมกันในสังคม” ไม่ว่าเราจะได้โทรศัพท์กลับคืนหรือไม่ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ทำให้เพื่อนๆและคนรอบตัวเราที่ได้รับรู้เรื่องราวของเราอีกหลายคนระมัดระวังการใช้โทรศัพท์มากขึ้น ไม่ว่าการใช้โทรศัพท์จนลืมสังเกตสภาพรอบด้านหรือไม่ระมัดระวังตัว แม้แต่ การวางโทรศัพท์ในสถานที่ต่างๆไม่ว่าไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ หรือโทรศัพท์นั้นจะอยู่ไกลหรือใก้ลตัวเรา หลายคนยอมรับว่าจะจดจ่อกับหน้าจอโทรศัพท์จนละเลย ไม่รอบคอบ หรือระมัดระวังกับสภาพแวดล้อมรอบตัวมาก่อน พอเกิดเหตุกับเราหลายคนระมัดระวังการใช้โทรศัพท์มากขึ้น....(อันนี้ ภูมิใจนิดๆที่เหตุการณ์ของเราได้ใช้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้มากๆ)
ส่วนตัวเราเองไม่ได้เจ็บเนื้อตัวหรือเลือดตกยางออกแต่อย่างใด(ซึ่งอาจจะโชคดีของเรา) มีแต่ตกใจ เจ็บใจคนร้ายและ "เจ็บใจตัวเองที่สะเพร่า ไม่รอบคอบ หรือระวังตัว" จนทำให้เกิดเหตุการณ์นี้
เตือนภัยเพราะคราวนี้เจอกับตัวเองก้มหน้าก้มตากับจอsmartphoneไม่กี่นาที แต่ถูกคนร้ายขับมอเตอร์ไซต์วิ่งราวมือถือ
เหตุเกิดประมาณ 19:20 น.วันศุกร์ที่ 7 พ.ย.นี้เอง กำลังนั่งรอรถเมลล์ที่ป้ายรถฯบนทางเท้าที่มีเก้าอี้ให้นั่งรอ ซึ่งมีคนรอรถก่อนหน้านี้ประมาณ 5 คน คนร้าย 2 คน แต่งตัวใส่เสื้อผ้าสีเข้มทั้งชุด ใส่เสื้อแจ๊กเก็ตแบบมี hood โดยใส่ hood คลุมหัวทั้ง 2 คน (ไม่ใส่หมวกใดๆรวมทั้งหมวกกันน็อก) ขับรถมอเตอร์ไซต์ไม่มีทะเบียนย้อนศรขึ้นฟุตบาทโดยไม่ได้ยินเสียงรถฯ ไม่มีการเร่งเสียง ไม่เปิดไฟหน้ารถ หรือมีสิ่งผิดสังเกต/สิ่งดึงดูดความสนใจผู้คนเลย คนร้ายที่นั่งอยู่ด้านหลังได้ตะบบเอามือถือ Samsung Galaxy Note 2 ของเราไปได้ ตอนที่คนร้ายเอามือถือไปได้ยอมรับว่ากำลังตั้งใจดูข้อความที่ส่งมาทางlineจนไม่ได้ระวังตัว จนเป็นโอกาสดีของพวกคนร้ายมิจฉาชีพ ในช่วงเวลาก่อนเกิดได้หยิบโทรศัพท์มาดูแบบผ่านๆ พอเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ามีสัญญาณแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้ามาเลยต้องหยิบโทรศัพท์มาดูอีกครั้ง ซึ่งช่วงนี้จะตั้งใจอ่านข้อความมากๆ ถ้าประมาณเวลาคร่าวๆตั้งแต่เปิดอ่านข้อความในโทรศัพท์จนเกิดเหตุประมาณเวลา 2 นาทีเท่านั้น คิดว่าคนร้ายน่าจะทำการแบบนี้อยู่บ่อยครั้งดูได้จากการแต่งกาย การใช้และการขับขี่รถ การจับตามองหาเหยื่อตามป้ายรถเมลล์ที่ไม่มีคนพลุกพล่านมากนัก ซึ่งเป็นบทเรียนให้แก่เราว่า“ในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับจอsmartphoneจะตกเป็นเหยื่อเป้าหมายของพวกมิจฉาชีพได้ทันที
หลังจากเกิดเหตุได้โทรไประงับการใช้เบอร์โทรศัพท์และแจ้ง 191 ได้รับคำแนะนำให้มาแจ้งความที่สน.พื้นที่ ตอนแรกจนท.ตำรวจจะมาในที่เกิดเหตุแต่ได้บอกจนท.ตำรวจว่าในพื้นที่เกิดเหตุไม่ร่องรอยอะไรเลยไม่ต้องมาก็ได้พอหายตกใจจากเหตุการณ์และไปแจ้งความที่สน.พื้นที่ (สน.ตลิ่งชัน) พร้อมกล่องโทรศัพท์ที่ยังมีเลขอีมี่ประจำเครื่อง 15 หลักไปด้วย ในระหว่างนั้นจนถึงขณะเดินทางไปแจ้งความได้มีจนท.ตำรวจติดต่อเข้ามา 3 ครั้งโดยย้ำเตือนให้ไปแจ้งความ เมื่อถึงสน.พื้นที่มีจนท.ตำรวจรอรับเรื่องอยู่แล้ว...ขั้นตอนนี้รวดเร็วมาก หลังจากให้ข้อมูลแก่จนท.ตำรวจจนเรียบร้อย จนท.ตำรวจได้บอกหลายครั้งว่าจะค้นหาจากเลขอีมี่ประจำเครื่อง 15 หลัก รวมทั้งพฤติการณ์ต่างๆของคนร้ายที่ดูได้ว่าต้องเคยกระทำการแบบนี้มาหลายครั้ง จนท.ตำรวจบอกว่า case เราเป็นรายแรกของวันนี้ที่มาแจ้งความ ในระหว่างนี้ จนท.ตำรวจจะประสานไปยังบริษัทเอกชนที่มีกล้องวงจรปิดที่ใก้ลที่สถานที่เกิดเหตุมากที่สุดในบริเวณนั้น 2 จุดเพื่อขอดูภาพที่เกิดเหตุ ซึ่งจนท.ตำรวจได้แจ้งขอความร่วมมือให้มาพบหากมีสิ่งใดต้องให้ความร่วมมือจากผู้เสียหาย เพราะ case แบบนี้ส่วนมากผู้เสียหายมักจะไม่ติดต่อหรือไม่ให้ความร่วมมือกลับมาเพราะมักจะคิดว่าจะไม่ได้ทรัพย์สินกลับคืน จนท.ตำรวจยังได้เล่าอีกว่า case แบบนี้เกิดได้ตลอดเวลาถ้าจดจ่อกับหน้าจอมือถือ,tablet บางคนจดจ่อกับการเล่นเกมส์จนถูกวิ่งราวมือถือ,tabletไป
ทั้งนี้ ยินดีให้ความร่วมมือเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากได้รับรู้จากการทำงานของจนท. ตำรวจ สน.ตลิ่งชันในวันนี้การได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่อยู่ใก้ลเคียงขณะเกิดเหตุ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสำคัญของ”ความปลอดภัย”,"การช่วยเหลือ" และ ”การอยู่ร่วมกันในสังคม” ไม่ว่าเราจะได้โทรศัพท์กลับคืนหรือไม่ เพราะหลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ทำให้เพื่อนๆและคนรอบตัวเราที่ได้รับรู้เรื่องราวของเราอีกหลายคนระมัดระวังการใช้โทรศัพท์มากขึ้น ไม่ว่าการใช้โทรศัพท์จนลืมสังเกตสภาพรอบด้านหรือไม่ระมัดระวังตัว แม้แต่ การวางโทรศัพท์ในสถานที่ต่างๆไม่ว่าไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ หรือโทรศัพท์นั้นจะอยู่ไกลหรือใก้ลตัวเรา หลายคนยอมรับว่าจะจดจ่อกับหน้าจอโทรศัพท์จนละเลย ไม่รอบคอบ หรือระมัดระวังกับสภาพแวดล้อมรอบตัวมาก่อน พอเกิดเหตุกับเราหลายคนระมัดระวังการใช้โทรศัพท์มากขึ้น....(อันนี้ ภูมิใจนิดๆที่เหตุการณ์ของเราได้ใช้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้มากๆ)
ส่วนตัวเราเองไม่ได้เจ็บเนื้อตัวหรือเลือดตกยางออกแต่อย่างใด(ซึ่งอาจจะโชคดีของเรา) มีแต่ตกใจ เจ็บใจคนร้ายและ "เจ็บใจตัวเองที่สะเพร่า ไม่รอบคอบ หรือระวังตัว" จนทำให้เกิดเหตุการณ์นี้