เห็นเป็นกระแส น้ำมะเขือเทศ ดีกับผิวจริงๆหรือแค่มโน มาดามมาเจาะลึกให้แล้วจ๊ะ
intro นิสสส สำหรับเจ้ามะเขือเทศ มีสารออกฤทธ์สำคัญได้แก่ lycopene ซึ่งเป็น carotenoid มีงานวิจัยในเรื่องทางการแพทย์พอสมควรเรืองของมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนั้นก็ยังมีงานวิจัยที่บอกว่าลดระดับไขมันอาทิ LDL , Cholesterol แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่แนะนำให้มาเอาเป็นแทนยาและต้องรอดูการศึกษาที่ใช้ผู้เข้าทดสอบวิจัยที่ปริมาณเยอะขึ้นคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรู้ว่าสาวๆที่ตามมาดามคงอยากรู้ว่ามันกินแล้วจะขาว ใส สิวลดหายเหมือนที่เค้าว่ากันหรือไม่ ??? (ส่วนสารอื่นๆในนำมะเขือเทศส่วนผลนั้น อ่านต่อข้างล่างนะคะ )
ก่อนอื่นขอพูดประโยชน์ของมะเขือเทศที่มีต่อผิวที่มีงานวิจัย พบว่าส่วนใหญ่แล้วจะลดการอาการแดงของผิวจากแสง ลดอาการไหม้ เป็นหลักนะคะที่มีหลายงานวิจัยแต่งานวิจัยส่วนใหญ่ก็จะผสมกับสารตัวอื่นๆและมีเจ้า Licopene นี้อยู่ในสูตรนั้นเอง อาทิ β-carotene (from 15 to 180 mg/day) + lycopene (up to 10 mg/day) , Probiotic (Lactobacillus johnsonii, La1) + carotenoids (β-carotene: 4.8 mg/day; lycopene: 2 mg) มีงานวิจัยหนึงที่ทดสอบทดสอบพบว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น ผิวกระชับขึ้น โดยการใช้ส่วนผสม lycopene 6 mg + vitamin C 60 mg + soy isoflavones 50 mg แต่ก็ไม่ใช่กล่าวถึงผิวขาวอีกนั้นแหละ
เรื่อง Lycopene เกี่ยวกับUV พบว่ามีถึง 26 งานวิจัยเลยนะคะสำหรับเรืองนี้ มีการรีวิวและรายงานวิจัย เริ่มตั่งแต่ 6 mg ก็สามารถลดการไหมของผิวได้แล้วคะแต่ต้องกินระยะเวลานานหน่อย (University of Michigan Health System (UMHS) นอกจากนี้ก็มี study ที่พบว่ากินเพือปกป้องผิวจากแสง พบว่า 16 mg กินต่อเนืองก็พบว่าช่วยได้ ยาวไปถึงที่ 30 mg เลยละคะ
แต่อย่าลืมนะคะ หากเรามารีวิว Key to grades of evidence สำหรับ lycopene พบว่า UV protection นี้อยู่ในระดับ C นะคะไม่เหมือนฤทธ์ต้าน antioxidant ที่อยู่ระดับ A ( Mayo Clinic Medical Center )
และก็มีการรีวิวรวบรวมเกี่ยวกับปัญหาผิวและรังสีหรือผิวไหมจากแสงแดด เค้าก็สรุปว่าถ้าจะปกป้องผิวจากแสงให้เริ่มกินที่ 10 – 16 mg/day ของ lycopene ก็เพียงพอคะ แต่เค้าก็บอกว่าถ้าจะให้ดีให้กินให้ถึงฤทธ์ได้สามารถลด lipid peroxidantion ด้วยซึ่งอยู่ที่ 30 mg นั้นเองคะ
ดังนั้นหากดู dose แล้วค่อนข้างหลากหลายคะ ถ้าดูแพทย์ด้านโภชนาการรีวิวสารตัวนี้ถ้ากินแต่อาหารเสริมที่เป็น lycopene เลยไม่ใช้น้ำมะเขือเทศก็แนะนำให้ กิน 10-30 mg ตามที่บอกเลยเพราะคะ แต่ถ้ากินเป็นน้ำมะเขือเทศซึงมีสารอาหารอื่นด้วย ก็ควรกินในปริมาณปกติคะเพราะอาจจะได้ potassium เกินกว่าความจำเป็น ถ้าต้องกินน้ำมะเขือเทศเพือให้ได้ lycopene ถึง 30 mg จากน้ำมะเขือเทศอาจจะมีผลข้างเคียงจากองค์ประกิบอืนที่อยู่ในน้ำมะเขือเทศได้คะ แต่ถ้ากินเฉพาะ lycopene 30 mg เท่านั้น การกิน 30 mg จึงเป็น dose ขั้นต่ำที่ควรจะกินแต่ไม่ใช้มากินน้ำมะเขือเทศเพื่อให้ได้ lycopene 30 mg คะ
เพราะหลายๆคนกินปริมาณมากในน้ำมะเขือเทศ 2-4 กล่องเห็นว่ามีผลข้างเคียง หลายคนเลยมาถามว่าจริงๆมันควรกินไหม ถ้าจะเอา 30 mg ควรจะกินเป็น lycopene เลยคะ เพราะ dose กินได้ถึง 100-120 mg ด้วยซ้ำจากการรีวิวพิษของเจ้าสารตัวนี้แต่ถ้าจะกินน้ำมะเขือเทศการจะกินได้ 30 mg นี้ต้องกินหลายหล่องมากซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากคะเลยแนะนำให้กินปริมาณที่แจ้งคะ จีงแนะนำให้กิน 100-150 ml ปกติจะดีและปลอดภัยกว่าคะ
ส่วน half-life elimination นั้น clinical pharmacokinetic of antioxidants and their impact on systemic oxidative stress . Clin Pharmacokinet 2003 บอกว่า half-life elimination ที่ 2-3 วันคะ
มาเรื่องแล้วเม็ดสีละมาดามทำไมมันขาว คือจริงๆแล้วเจ้าน้ำมะเขือเทศนำไป UF เพื่เอาสารออกฤทธ์บางชนิดจะพบว่ามันจะมีสาร low to middle molecular ที่จะมีสารจำพวก Pectin + Polygalacturonic acid ที่จะพอยับยัง tyrosinase ได้บ้าง(ย้ำว่าได้บ้าง เพราะขันตอนมีต่อถ้าเอามาแบบดือๆมันจะยับยังพวก tyrosinase ได้อ่อนๆหรืออาจจะไม่ได้ด้วยซ้ำไป แต่แม้จะนำไปปรับและคุมอุณหภูมิที่แหล่งผลิตเคลมว่าลดเม็ดสีได้นั้น ก็ยังไม่มีงานวิจัยศึกษาด้านนี้โดยตรงอีกนั้นเอง) ดังนั้นการกินน้ำมะเขือเทศจะหวังเจ้าสารนี้ก็อาจจะคาดหวังได้น้อยอีกเช่นกันคะ แต่สำหรับงานวิจัยส่วนกลางที่วัดผลเม็ดสีจากการกิน lycopeneจริงๆยังไม่มี มาดามเลยไม่ขอหวังผลเรือง whitening นะคะ แต่หวังลดการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีในอนาคตได้คะ
นอกจากนี้ก็มีการศึกษาถึงขนาดวัดระดับของ carotenoid ที่ผิวหนังก็พบว่าการกินเจ้า Lycopene มีการเพิ่มขึ้นจริงทำให้ปกป้องผิวจากแสงและการไหม้ได้แต่ต้องกิน 25 mg 12 อาทิตย์เป็นอย่างน้อยนั้นเอง ตรงนี้เองอาจจะทำให้สีที่เห็นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีงานวิจัยใดๆที่อ้าวอิงถึงผิวที่ขาวขึ้นหรือลดเม็ดสีได้จากการกินเจ้า lycopene แต่อย่าลืมนะคะว่าพวกแสงแดดเป็นตัวการที่ดีที่ก่อให้เกิดการกระตุ้นการสร้างเม็ดสี ดังนั้นเมือมีการป้องกันเกิดขึ้นก็ทำให้การสร้างเม็ดสีไม่ได้เพิ่มขึ้นนั้นเอง
ส่วนเรื่องสิวนั้นก็มีรายงานมาบ้างแล้วว่า anti-oxidant มีผลช่วยให้สิวลดลงทั้งรุปกินและรุปทาซึ่งเป็นอะไรทีใหม่แต่ก็อธิบายได้ในคนที่มีสิวจากบางปัจจัยที่เกี่ยวกับ oxidative stress และ เกิด lipid peroxidation ที่มีอิทธิพลหลักการกินน้ำมะเขือเทศก็จะพอช่วยได้คะ เนืองจาก cerotene นั้นลดการเกิด lipid peroxidation ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเจ้าสิว เมื่อมันลดลง ก็ให้สิวลดลงตามด้วย และเจ้าoxidative stress ที่มีอยู่ภายในและจากปัจจัยภายนอกต่างๆที่กระตุ้นก็สัมพันธ์กับการเกิดสิว (Cutaneous Physiopathology Laboratory, Italy + SUNY Downstate Medical Center, Department of Dermatolgy, Brooklyn, NY, USA + Dayan N. Skin aging handbook: An Integrated Approach to Biochemistry and Product Development. New York: William Andrew Inc; 2008. )
ดังนั้นสรุปสารที่อยู่ในมะเขือเทศที่เราหวังผลได้คือ ผิวไม่หมองคล้ำจากแสงแดด + แก้ไขปัญหาสิวได้ในส่วนหนึ่งเนืองจากไปลด oxidative stress + lipid peroxidation นั้นเองแต่สิวจากสาเหตุอื่นไม่ช่วยคะ สิวฮอร์โมน การผลัดเซลล์ของชั้นผิวก็ไม่ดีอันนี้ก็ช่วยไม่ได้คะ อย่าลืมนะคะต้องเข้าใจหลักการไม่ใช้ว่าช่วยทุกสิวคะ ไม่แปลกที่กินแต่ละคนสิวดีบ้างไม่ดีบ้าง ซึ่งสาเหตุสิวจากปัจจัยนี้เองก็ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักนะคะ ดังนั้นกินได้ต่อย่าคาดหวังว่าสิวต้องหายทุกคน
ส่วนเรืองขาว ???? ไม่มีงานวิจัยรับรองในประเด็นนี้แม้จะเป็นงานวิจัยระดับล่างเกรด D ก็ยังไม่มีรายงานถึงว่ากินแล้วจะทำให้ขาวขึ้นอย่างนัยสำคัญนะคะ เว้นแต่ได้กินน้ำมะเขือเทศที่มีเจ้าสาร Pectin + Polygalacturonic acid ที่ผ่านการควบคุมปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม แต่แม้จะมีสารเจ้า 2 ตัวนี้จีริงก็ใช้ว่ากินแล้วจะจะผิวขาวอีกเช่นกันต้องรอทดสอบกันต่อไป
สรุปที่ช่วยได้
@ ลดสิวคาดหวังได้ส่วนหนึ่งที่มีสาเหตุจากบางปัจจัยอย่าง oxidative stress และ lipid peroxidation กินที่ 30 mg / day
@ ลดอาการแดง คันที่จะเกิดจากแสง UV และ ทำให้ผิวไม่หมอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทากันแดดด้วยนะคะ ไม่ใช้ไม่ทา และการกินพวกนี้ต้องกินสะสมนานไปถึง 8-12 อาทิตย์ค่อยเริ่มคาดหวังผลได้ กินที่ 10-30 mg / day
ที่ไม่ช่วย
1.ผิวขาว แม้จะมี Pectin + Polygalacturonic acid แต่เจ้าพวกนี้ภาวะที่สกัดได้ใหม่ๆมันก็ยังออกฤทธ์ยับยังพวกเม็ดสีไม่ได้ให้ผล +/- อยู่ต้องนำไปผ่านการให้ความร้อนเพื่อให้สารมีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะสามารถยับยังเม็ดสี แต่ราคาละคะ ?? แล้วกินไปแล้วจะขาวขึ้นจริงไหมจากสาร 2 ตัวนี้ ?? คงต้องศึกษากันต่อไปคะ ??
2.ริ้วรอย --> อย่าคาดหวังเลยคะ
3.ความชุ่มชื้น(มีรายงานจริงแต่กินส่วนผสมอื่นร่วมด้วยไม่ใช้แค่ มะเขือเทศเดียวๆ ) --> จะหวังจากน้ำมะเขือเทศซะทีเดียวก็คงไม่ได้เพระามันมีส่วนผสมอื่นๆร่วมด้วยจากการวิจัย
แต่ในน้ำมะเขือเทศเค้าเอามาหมดนี่สิมันเลยไม่ได้มีแต่ Lycopene แต่มันมีเจ้า วิตามิน A, B, C, E , Steroidal glycoside และ โพแทสเซียม อีกด้วย ดังนั้นที่ต้องระวังคือ ภาวะ โพแทสเซียมถ้ากินเยอะจะเกิดผลได้ และ ปริมาณของ วิตามินต่างๆที่อาจะเกิด RDA ต่อ 1 วันคะถ้ากินปรืมาณมาก
นอกจากนี้มีรายงานว่าถ้ากินปริมาณที่มากเกินไป(ไม่มีระบุแน่นอนว่าเท่าไหร่ แล้วแต่ความทนได้ของแต่ละคน) พบว่าจะมีอาการ มึนหัว คลืนไส้ อาเจียร เวียรศีรษะและอาจจะมีตะคริวได้ในบางเคส นะคะ
ดังนั้นถ้าจะกินกินปริมาณที่เหมาะสม vitamin + เกลือแร่ต่างๆต่อวันต้องไม่มากเกินไป เพราะในน้ำมะเขือเทศไม่ได้มีแค่ lycopene คะต้องดูปริมาณ วิตามิน และ เกลือแร่ ที่ควรได้ต่อวันด้วยนะคะ คนเป็นโรคไตไม่ควรกินนะคะ ;)
มาดามแนะนำให้กินแค่วันละ 1 กล่องก็พอคะ(100-150 ml ) และปริมาณความต้องการ Lycopene ต่อวัน แค่ 10 mg ต่อวันเองคะ ในชีวิตประจำวันเราก็ต้องหลงกินพวก lycopene ไปบ้างละไม่มากก็น้อยก็น่าจะโอเคอยู่แล้ว และเนืองจาก lycopene ละลายในน้ำมันดังนั้น ไม่แนะนำให้กินอาหารมันเยอะเพื่อหวังให้ดูดซึมดีขึ้นแต่ให้กินอาหารที่หลากหลายใน 1 มือก็เพียงพอแล้วคะ (Dr. Giovannucci แห่ง harvard Medical School กล่าวไว้)
คำถาม ??
Q : มาดามคะ แล้วกินแบบ มะเขือเทศสด และ น้ำ แบบไหนดีกว่ากันได้สารอาหารมากกว่า
เทียบปริมาณที่เท่ากันนะคะ 100 g ของมะเขือเทศสด กับ น้ำมะเขือเทศ พบว่า Lycopene ในรูปน้ำจะมากกว่าโดยเฉลี่ยที่ 8-12 mg ขณะที่ผลสดให้ที่ 2-4 mg และในรูปผลไม้สดให้ β-Carotene + VitaminC ในปริมาณที่มากกว่ารูปแบบน้ำพอสมควรนะคะ โดยเฉพาะ β-Carotene มีในผลไม้สดมากกว่าเกือบ 2 เท่าของรูปน้ำคะ นอกจากนี้ ในรูปมะเขือเทศสดจะให้ คาร์โบไฮเดรตที่มากกว่ารูปแบบน้ำเล็กน้อยคะไม่ต้องซีเรียสคะ ส่วนพลังงานไม่แต่ต่างกันมากคะ ต่างกันไม่เกิน 5-10 Kcal คะ และ โพแทสเซียมในรูปน้ำ ก็มากกว่ารูปผลไม้สดอีกนั้นเองคะ
Q : มาดามคะแล้วที่หลายคนบอกว่ากินแล้วผิวดีเวอร์ๆละคะ คืออะไรยังไง ??
ก่อนอื่นมาดามไม่ได้บอกว่ากินแล้วไม่ดี ถ้ากินแล้วปริมาณเหมาะสม และหวังผลได้ตามที่ควรจะเป็นคะ ก่อนจะบอกว่าเห็นผลจาก น้ำมะเขือเทศ ผิวดี สวย สิวหาย ต้องถามตัวเองก่อนว่ากินอย่างเดียวแบบไม่ทาครีมใดๆหรือทายาใดๆหรือไม่ เพราะหลายๆคนก็ทาครีม+ทายา อยู่ยิ่งระยะเวลาที่นานก็เห็นผลในทางที่ดีขึ้นได้อยู่แล้ว เพียงบังเอิญมากินน้ำมะเขือเทศ พอจังหวะดีขึ้นก็มาว่าเพราะกินผิวถึงดี คะ ดังนั้น ถ้าตราบใดทาครีมร่วมด้วย อาจจะบอกยากเพราะมีตัวแปรกวนเกิดขึ้นนะคะ แต่อย่างไรก็ตามมันก็คาดหวังเรืองลดผิวหมองคล้ำจากแสง ลดอาการแดงจากแสง ร่วมถึงช่วยปัญหาสิวในบางสาเหตุได้คะแต่ไม่ทั้งหมด
สรุป นะคะ ถ้าจะกินน้ำมะเขือเทศแนะนำให้กินแค่ วันละ 100 cc ของน้ำมะเขือเทศก็พอคะ จะได้ lycopene 8-12 mg ก็มากพอที่ร่างกายต้องการต่อวันละคะคะ อย่าไปกินเยอะ แต่ถ้าหวังผลเรื่องอื่นๆให้กินแต่ตัวที่เป็น lycopene แนะนำให้กิน 15-30 mg นานอย่างน้อย 8-12 อาทิตย์โดยเฉลี่ยคะ
เอามาเสริมให้มีคนถามว่า ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศต่างๆจะให้ Lycopene ปริมาณเท่าไหร
มาดามเปรียบเทียบให้ดังนี้นะคะ
ผลิตภัณฑ์ ปริมาณ lycopene (mg/100g)
มะเขือเทศสด 4
น้ำมะเขือเทศ 10
ซอสมะเขือเทศ 20
tomato paste 45
เห็นเป็นกระแส น้ำมะเขือเทศ ผิวดีจริงหรือแค่มโน มาดามจะบอกจ๊ะ + ริวิวน้ำตบนิดหน่อย
intro นิสสส สำหรับเจ้ามะเขือเทศ มีสารออกฤทธ์สำคัญได้แก่ lycopene ซึ่งเป็น carotenoid มีงานวิจัยในเรื่องทางการแพทย์พอสมควรเรืองของมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนั้นก็ยังมีงานวิจัยที่บอกว่าลดระดับไขมันอาทิ LDL , Cholesterol แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่แนะนำให้มาเอาเป็นแทนยาและต้องรอดูการศึกษาที่ใช้ผู้เข้าทดสอบวิจัยที่ปริมาณเยอะขึ้นคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรู้ว่าสาวๆที่ตามมาดามคงอยากรู้ว่ามันกินแล้วจะขาว ใส สิวลดหายเหมือนที่เค้าว่ากันหรือไม่ ??? (ส่วนสารอื่นๆในนำมะเขือเทศส่วนผลนั้น อ่านต่อข้างล่างนะคะ )
ก่อนอื่นขอพูดประโยชน์ของมะเขือเทศที่มีต่อผิวที่มีงานวิจัย พบว่าส่วนใหญ่แล้วจะลดการอาการแดงของผิวจากแสง ลดอาการไหม้ เป็นหลักนะคะที่มีหลายงานวิจัยแต่งานวิจัยส่วนใหญ่ก็จะผสมกับสารตัวอื่นๆและมีเจ้า Licopene นี้อยู่ในสูตรนั้นเอง อาทิ β-carotene (from 15 to 180 mg/day) + lycopene (up to 10 mg/day) , Probiotic (Lactobacillus johnsonii, La1) + carotenoids (β-carotene: 4.8 mg/day; lycopene: 2 mg) มีงานวิจัยหนึงที่ทดสอบทดสอบพบว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น ผิวกระชับขึ้น โดยการใช้ส่วนผสม lycopene 6 mg + vitamin C 60 mg + soy isoflavones 50 mg แต่ก็ไม่ใช่กล่าวถึงผิวขาวอีกนั้นแหละ
เรื่อง Lycopene เกี่ยวกับUV พบว่ามีถึง 26 งานวิจัยเลยนะคะสำหรับเรืองนี้ มีการรีวิวและรายงานวิจัย เริ่มตั่งแต่ 6 mg ก็สามารถลดการไหมของผิวได้แล้วคะแต่ต้องกินระยะเวลานานหน่อย (University of Michigan Health System (UMHS) นอกจากนี้ก็มี study ที่พบว่ากินเพือปกป้องผิวจากแสง พบว่า 16 mg กินต่อเนืองก็พบว่าช่วยได้ ยาวไปถึงที่ 30 mg เลยละคะ
แต่อย่าลืมนะคะ หากเรามารีวิว Key to grades of evidence สำหรับ lycopene พบว่า UV protection นี้อยู่ในระดับ C นะคะไม่เหมือนฤทธ์ต้าน antioxidant ที่อยู่ระดับ A ( Mayo Clinic Medical Center )
และก็มีการรีวิวรวบรวมเกี่ยวกับปัญหาผิวและรังสีหรือผิวไหมจากแสงแดด เค้าก็สรุปว่าถ้าจะปกป้องผิวจากแสงให้เริ่มกินที่ 10 – 16 mg/day ของ lycopene ก็เพียงพอคะ แต่เค้าก็บอกว่าถ้าจะให้ดีให้กินให้ถึงฤทธ์ได้สามารถลด lipid peroxidantion ด้วยซึ่งอยู่ที่ 30 mg นั้นเองคะ
ดังนั้นหากดู dose แล้วค่อนข้างหลากหลายคะ ถ้าดูแพทย์ด้านโภชนาการรีวิวสารตัวนี้ถ้ากินแต่อาหารเสริมที่เป็น lycopene เลยไม่ใช้น้ำมะเขือเทศก็แนะนำให้ กิน 10-30 mg ตามที่บอกเลยเพราะคะ แต่ถ้ากินเป็นน้ำมะเขือเทศซึงมีสารอาหารอื่นด้วย ก็ควรกินในปริมาณปกติคะเพราะอาจจะได้ potassium เกินกว่าความจำเป็น ถ้าต้องกินน้ำมะเขือเทศเพือให้ได้ lycopene ถึง 30 mg จากน้ำมะเขือเทศอาจจะมีผลข้างเคียงจากองค์ประกิบอืนที่อยู่ในน้ำมะเขือเทศได้คะ แต่ถ้ากินเฉพาะ lycopene 30 mg เท่านั้น การกิน 30 mg จึงเป็น dose ขั้นต่ำที่ควรจะกินแต่ไม่ใช้มากินน้ำมะเขือเทศเพื่อให้ได้ lycopene 30 mg คะ
เพราะหลายๆคนกินปริมาณมากในน้ำมะเขือเทศ 2-4 กล่องเห็นว่ามีผลข้างเคียง หลายคนเลยมาถามว่าจริงๆมันควรกินไหม ถ้าจะเอา 30 mg ควรจะกินเป็น lycopene เลยคะ เพราะ dose กินได้ถึง 100-120 mg ด้วยซ้ำจากการรีวิวพิษของเจ้าสารตัวนี้แต่ถ้าจะกินน้ำมะเขือเทศการจะกินได้ 30 mg นี้ต้องกินหลายหล่องมากซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากคะเลยแนะนำให้กินปริมาณที่แจ้งคะ จีงแนะนำให้กิน 100-150 ml ปกติจะดีและปลอดภัยกว่าคะ
ส่วน half-life elimination นั้น clinical pharmacokinetic of antioxidants and their impact on systemic oxidative stress . Clin Pharmacokinet 2003 บอกว่า half-life elimination ที่ 2-3 วันคะ
มาเรื่องแล้วเม็ดสีละมาดามทำไมมันขาว คือจริงๆแล้วเจ้าน้ำมะเขือเทศนำไป UF เพื่เอาสารออกฤทธ์บางชนิดจะพบว่ามันจะมีสาร low to middle molecular ที่จะมีสารจำพวก Pectin + Polygalacturonic acid ที่จะพอยับยัง tyrosinase ได้บ้าง(ย้ำว่าได้บ้าง เพราะขันตอนมีต่อถ้าเอามาแบบดือๆมันจะยับยังพวก tyrosinase ได้อ่อนๆหรืออาจจะไม่ได้ด้วยซ้ำไป แต่แม้จะนำไปปรับและคุมอุณหภูมิที่แหล่งผลิตเคลมว่าลดเม็ดสีได้นั้น ก็ยังไม่มีงานวิจัยศึกษาด้านนี้โดยตรงอีกนั้นเอง) ดังนั้นการกินน้ำมะเขือเทศจะหวังเจ้าสารนี้ก็อาจจะคาดหวังได้น้อยอีกเช่นกันคะ แต่สำหรับงานวิจัยส่วนกลางที่วัดผลเม็ดสีจากการกิน lycopeneจริงๆยังไม่มี มาดามเลยไม่ขอหวังผลเรือง whitening นะคะ แต่หวังลดการกระตุ้นการสร้างเม็ดสีในอนาคตได้คะ
นอกจากนี้ก็มีการศึกษาถึงขนาดวัดระดับของ carotenoid ที่ผิวหนังก็พบว่าการกินเจ้า Lycopene มีการเพิ่มขึ้นจริงทำให้ปกป้องผิวจากแสงและการไหม้ได้แต่ต้องกิน 25 mg 12 อาทิตย์เป็นอย่างน้อยนั้นเอง ตรงนี้เองอาจจะทำให้สีที่เห็นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีงานวิจัยใดๆที่อ้าวอิงถึงผิวที่ขาวขึ้นหรือลดเม็ดสีได้จากการกินเจ้า lycopene แต่อย่าลืมนะคะว่าพวกแสงแดดเป็นตัวการที่ดีที่ก่อให้เกิดการกระตุ้นการสร้างเม็ดสี ดังนั้นเมือมีการป้องกันเกิดขึ้นก็ทำให้การสร้างเม็ดสีไม่ได้เพิ่มขึ้นนั้นเอง
ส่วนเรื่องสิวนั้นก็มีรายงานมาบ้างแล้วว่า anti-oxidant มีผลช่วยให้สิวลดลงทั้งรุปกินและรุปทาซึ่งเป็นอะไรทีใหม่แต่ก็อธิบายได้ในคนที่มีสิวจากบางปัจจัยที่เกี่ยวกับ oxidative stress และ เกิด lipid peroxidation ที่มีอิทธิพลหลักการกินน้ำมะเขือเทศก็จะพอช่วยได้คะ เนืองจาก cerotene นั้นลดการเกิด lipid peroxidation ซึ่งมีความสัมพันธ์กับเจ้าสิว เมื่อมันลดลง ก็ให้สิวลดลงตามด้วย และเจ้าoxidative stress ที่มีอยู่ภายในและจากปัจจัยภายนอกต่างๆที่กระตุ้นก็สัมพันธ์กับการเกิดสิว (Cutaneous Physiopathology Laboratory, Italy + SUNY Downstate Medical Center, Department of Dermatolgy, Brooklyn, NY, USA + Dayan N. Skin aging handbook: An Integrated Approach to Biochemistry and Product Development. New York: William Andrew Inc; 2008. )
ดังนั้นสรุปสารที่อยู่ในมะเขือเทศที่เราหวังผลได้คือ ผิวไม่หมองคล้ำจากแสงแดด + แก้ไขปัญหาสิวได้ในส่วนหนึ่งเนืองจากไปลด oxidative stress + lipid peroxidation นั้นเองแต่สิวจากสาเหตุอื่นไม่ช่วยคะ สิวฮอร์โมน การผลัดเซลล์ของชั้นผิวก็ไม่ดีอันนี้ก็ช่วยไม่ได้คะ อย่าลืมนะคะต้องเข้าใจหลักการไม่ใช้ว่าช่วยทุกสิวคะ ไม่แปลกที่กินแต่ละคนสิวดีบ้างไม่ดีบ้าง ซึ่งสาเหตุสิวจากปัจจัยนี้เองก็ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักนะคะ ดังนั้นกินได้ต่อย่าคาดหวังว่าสิวต้องหายทุกคน
ส่วนเรืองขาว ???? ไม่มีงานวิจัยรับรองในประเด็นนี้แม้จะเป็นงานวิจัยระดับล่างเกรด D ก็ยังไม่มีรายงานถึงว่ากินแล้วจะทำให้ขาวขึ้นอย่างนัยสำคัญนะคะ เว้นแต่ได้กินน้ำมะเขือเทศที่มีเจ้าสาร Pectin + Polygalacturonic acid ที่ผ่านการควบคุมปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม แต่แม้จะมีสารเจ้า 2 ตัวนี้จีริงก็ใช้ว่ากินแล้วจะจะผิวขาวอีกเช่นกันต้องรอทดสอบกันต่อไป
@ ลดสิวคาดหวังได้ส่วนหนึ่งที่มีสาเหตุจากบางปัจจัยอย่าง oxidative stress และ lipid peroxidation กินที่ 30 mg / day
@ ลดอาการแดง คันที่จะเกิดจากแสง UV และ ทำให้ผิวไม่หมอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องทากันแดดด้วยนะคะ ไม่ใช้ไม่ทา และการกินพวกนี้ต้องกินสะสมนานไปถึง 8-12 อาทิตย์ค่อยเริ่มคาดหวังผลได้ กินที่ 10-30 mg / day
1.ผิวขาว แม้จะมี Pectin + Polygalacturonic acid แต่เจ้าพวกนี้ภาวะที่สกัดได้ใหม่ๆมันก็ยังออกฤทธ์ยับยังพวกเม็ดสีไม่ได้ให้ผล +/- อยู่ต้องนำไปผ่านการให้ความร้อนเพื่อให้สารมีคุณสมบัติที่เหมาะสมที่จะสามารถยับยังเม็ดสี แต่ราคาละคะ ?? แล้วกินไปแล้วจะขาวขึ้นจริงไหมจากสาร 2 ตัวนี้ ?? คงต้องศึกษากันต่อไปคะ ??
2.ริ้วรอย --> อย่าคาดหวังเลยคะ
3.ความชุ่มชื้น(มีรายงานจริงแต่กินส่วนผสมอื่นร่วมด้วยไม่ใช้แค่ มะเขือเทศเดียวๆ ) --> จะหวังจากน้ำมะเขือเทศซะทีเดียวก็คงไม่ได้เพระามันมีส่วนผสมอื่นๆร่วมด้วยจากการวิจัย
แต่ในน้ำมะเขือเทศเค้าเอามาหมดนี่สิมันเลยไม่ได้มีแต่ Lycopene แต่มันมีเจ้า วิตามิน A, B, C, E , Steroidal glycoside และ โพแทสเซียม อีกด้วย ดังนั้นที่ต้องระวังคือ ภาวะ โพแทสเซียมถ้ากินเยอะจะเกิดผลได้ และ ปริมาณของ วิตามินต่างๆที่อาจะเกิด RDA ต่อ 1 วันคะถ้ากินปรืมาณมาก
นอกจากนี้มีรายงานว่าถ้ากินปริมาณที่มากเกินไป(ไม่มีระบุแน่นอนว่าเท่าไหร่ แล้วแต่ความทนได้ของแต่ละคน) พบว่าจะมีอาการ มึนหัว คลืนไส้ อาเจียร เวียรศีรษะและอาจจะมีตะคริวได้ในบางเคส นะคะ
ดังนั้นถ้าจะกินกินปริมาณที่เหมาะสม vitamin + เกลือแร่ต่างๆต่อวันต้องไม่มากเกินไป เพราะในน้ำมะเขือเทศไม่ได้มีแค่ lycopene คะต้องดูปริมาณ วิตามิน และ เกลือแร่ ที่ควรได้ต่อวันด้วยนะคะ คนเป็นโรคไตไม่ควรกินนะคะ ;)
มาดามแนะนำให้กินแค่วันละ 1 กล่องก็พอคะ(100-150 ml ) และปริมาณความต้องการ Lycopene ต่อวัน แค่ 10 mg ต่อวันเองคะ ในชีวิตประจำวันเราก็ต้องหลงกินพวก lycopene ไปบ้างละไม่มากก็น้อยก็น่าจะโอเคอยู่แล้ว และเนืองจาก lycopene ละลายในน้ำมันดังนั้น ไม่แนะนำให้กินอาหารมันเยอะเพื่อหวังให้ดูดซึมดีขึ้นแต่ให้กินอาหารที่หลากหลายใน 1 มือก็เพียงพอแล้วคะ (Dr. Giovannucci แห่ง harvard Medical School กล่าวไว้)
คำถาม ??
Q : มาดามคะ แล้วกินแบบ มะเขือเทศสด และ น้ำ แบบไหนดีกว่ากันได้สารอาหารมากกว่า
เทียบปริมาณที่เท่ากันนะคะ 100 g ของมะเขือเทศสด กับ น้ำมะเขือเทศ พบว่า Lycopene ในรูปน้ำจะมากกว่าโดยเฉลี่ยที่ 8-12 mg ขณะที่ผลสดให้ที่ 2-4 mg และในรูปผลไม้สดให้ β-Carotene + VitaminC ในปริมาณที่มากกว่ารูปแบบน้ำพอสมควรนะคะ โดยเฉพาะ β-Carotene มีในผลไม้สดมากกว่าเกือบ 2 เท่าของรูปน้ำคะ นอกจากนี้ ในรูปมะเขือเทศสดจะให้ คาร์โบไฮเดรตที่มากกว่ารูปแบบน้ำเล็กน้อยคะไม่ต้องซีเรียสคะ ส่วนพลังงานไม่แต่ต่างกันมากคะ ต่างกันไม่เกิน 5-10 Kcal คะ และ โพแทสเซียมในรูปน้ำ ก็มากกว่ารูปผลไม้สดอีกนั้นเองคะ
Q : มาดามคะแล้วที่หลายคนบอกว่ากินแล้วผิวดีเวอร์ๆละคะ คืออะไรยังไง ??
ก่อนอื่นมาดามไม่ได้บอกว่ากินแล้วไม่ดี ถ้ากินแล้วปริมาณเหมาะสม และหวังผลได้ตามที่ควรจะเป็นคะ ก่อนจะบอกว่าเห็นผลจาก น้ำมะเขือเทศ ผิวดี สวย สิวหาย ต้องถามตัวเองก่อนว่ากินอย่างเดียวแบบไม่ทาครีมใดๆหรือทายาใดๆหรือไม่ เพราะหลายๆคนก็ทาครีม+ทายา อยู่ยิ่งระยะเวลาที่นานก็เห็นผลในทางที่ดีขึ้นได้อยู่แล้ว เพียงบังเอิญมากินน้ำมะเขือเทศ พอจังหวะดีขึ้นก็มาว่าเพราะกินผิวถึงดี คะ ดังนั้น ถ้าตราบใดทาครีมร่วมด้วย อาจจะบอกยากเพราะมีตัวแปรกวนเกิดขึ้นนะคะ แต่อย่างไรก็ตามมันก็คาดหวังเรืองลดผิวหมองคล้ำจากแสง ลดอาการแดงจากแสง ร่วมถึงช่วยปัญหาสิวในบางสาเหตุได้คะแต่ไม่ทั้งหมด
สรุป นะคะ ถ้าจะกินน้ำมะเขือเทศแนะนำให้กินแค่ วันละ 100 cc ของน้ำมะเขือเทศก็พอคะ จะได้ lycopene 8-12 mg ก็มากพอที่ร่างกายต้องการต่อวันละคะคะ อย่าไปกินเยอะ แต่ถ้าหวังผลเรื่องอื่นๆให้กินแต่ตัวที่เป็น lycopene แนะนำให้กิน 15-30 mg นานอย่างน้อย 8-12 อาทิตย์โดยเฉลี่ยคะ
เอามาเสริมให้มีคนถามว่า ผลิตภัณฑ์มะเขือเทศต่างๆจะให้ Lycopene ปริมาณเท่าไหร
มาดามเปรียบเทียบให้ดังนี้นะคะ
ผลิตภัณฑ์ ปริมาณ lycopene (mg/100g)
มะเขือเทศสด 4
น้ำมะเขือเทศ 10
ซอสมะเขือเทศ 20
tomato paste 45