No.41
จั่วหัว : หนังที่รัวอารมณ์พอๆกับจังหวะเสียงกลองให้หัวใจเราเต้นไม่เป็นจังหวะ ให้เราลุ้นกับหนังได้แทบลืมหายใจ ดูแล้วเหนื่อยหอบได้พอๆกับที่พระเอกรัวกลองหนักๆเลยทีเดียว หนังสุดมากครับ!!
WHIPLASH : ตีให้ลั่น เพราะว่าฝันยังไม่จบ
คมนิด จี๊ดเลย : ถ้าคุณไม่ถูกบีบในสถานการณ์ที่คับขันมากๆ คุณก็อาจไม่มีวันได้รู้ถึงศักยภาพที่มีเหลือในตัวเองได้เลย
Napat's Rating : (A-) , 9/10
เกร็ดภาพยนตร์เบื้องต้น
• Whiplash ถูกเลือกเป็นภาพยนตร์เปิดเทศกาลหนังซันแดนซ์ประจำปี 2014 และมันก็กลายเป็นหนังที่ได้รับเสียงชื่นชมมากที่สุดในเทศกาล จนเป็นเรื่องแรกที่ได้ทั้งรางวัล Grand Jury Prize (รางวัลพิเศษจากคณะกรรมการ) และ Audience Award (รางวัลขวัญใจคนดู) และก็ยังถูกเลือกให้เข้าฉายสาย Directors' Fortnight ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด
• ในขณะเดียวกันกลุ่มนักวิจารณ์ที่ได้ดูแล้วก็ได้กล่าวชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน และคาดหมายว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องมีบทบาทบนออสการ์ปลายปีนี้อย่างแน่นอน โดยปัจจุบันคะแนนบนเว็บไซต์ Rottentomatoes ก็อยู่สูงถึง 94% โดย เอริค ชไนเดอร์ นักวิจารณ์จาก Film.com ก็เขียนว่า "ผมการันตีว่าทันทีเมื่อหนังจบ คนดูจะต้องลุกขึ้นปรบมืออย่างกึกก้องและยาวนาน", ไคล์ สมิธ นักวิจารณ์จาก New York Times เขียนไว้ว่า "หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง The Karate Kid ที่เปลี่ยนจากการฝึกมวยเป็นการตีกลอง" และ เอริค เดวิส นักวิจารณ์จาก Movies.com เขียนไว้ว่า "Whiplash จะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นกว่าหนังซัมเมอร์เรื่องที่ดีที่สุดของปีนี้แน่นอน"
• Whiplash นำแสดงโดย ไมลส์ เทลเลอร์ นักแสดงดาวรุ่งที่กำลังมาแรงที่สุด โดยเขามีผลงานที่ผ่านตาเรา ไม่ว่าจะเป็น That Awkward Moment, The Spectacular Now, Divergent และล่าสุดกำลังถ่ายทำหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่อง The Fantastic Four ที่เขารับบทเป็น มิสเตอร์แฟนทาสติก โดยใน Whiplash แม้ว่าเขาจะตีกลองมาตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่เขาก็ต้องการแสดงฉากตีกลองด้วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำ เขาเล่าถึงการเตรียมความพร้อมว่า "ผมต้องฝึกเป็นเวลา 4 ชั่วโมงต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนก่อนการถ่ายทำ เลือดที่คุณเห็นระหว่างที่ผมตีกลองมันเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ได้แสดงเองกว่า 70% ของฉากตีกลอง ผมรู้สึกภูมิใจกับตัวเองมาก"
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
OVERVIEW (No Spoiled) : หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของนักดนตรีที่อยากจะประสบความสำเร็จและสามารถไต่เต้าพิสูจน์ความฝันของตัวเอง
เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหาแรงบันดาลใจหรือหา Passion ในการใช้ชีวิต เพราะเราจะพบว่า การใช้ Passion มานำทางชีวิตให้ถึงฝันนั้น ไม่ได้ง่ายๆเสมอไป
และทุกอย่างต้อง "พิสูจน์" ด้วยความ "พยายาม" ที่ "สาหัส" จริงๆ
หนังมีเรื่องราวของการแข่งขันดนตรี มีช่วงที่มีบรรยากาศของเพลงแจ๊ซมาช่วยเพิ่มความรื่นรมย์ในหนังได้บ้าง ขณะที่เส้นเรื่องหลัก เราจะได้ยินถึงเสียงกลอง รัวกลอง ตีกลอง และฉากที่พระเอกจะต้องพบกับอาจารย์คนหนึ่ง (เดี๋ยวจะไปกล่าวถึงในช่วงรีวิว)
นักแสดงในเรื่องนี้เล่นกันได้บ้าคลั่ง และยอดเยี่ยมมากเท่าที่บทมันจะส่งได้ และเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเขาคือตัวละครนั้นๆจริงๆ รวมถึงเทคนิคการเล่าเรื่องถ่ายทอด การกำกับ การปล่อยจังหวะ ก็มีฉากที่ทำให้เราเหวอได้เหมือนกัน การสร้างบรรยากาศหนังนั้นดำเนินและขับเคลื่อนให้เรามีอารมณ์ร่วมจนเราแทบจะนึกว่าตัวเองเป็นพระเอกไปในชั่วขณะเลยก็เป็นได้ ที่สำคัญ จบแบบผมอารมณ์ค้างเลย
แนะนำครับ เป็นหนึ่งในหนังที่ดีมากๆอีกเรื่องในปีนี้ แต่ก็ดาร์คไซต์พอสมควรในการเล่าเรื่อง เพราะจะมีภาพที่ไม่ปราณีคนดูออกมาให้ชมแบบถึงเลือดถึงเนื้อ ถ้าใครจิตอ่อนก็คงต้องรู้ตัวกันเองครับ แต่ถ้าใครกล้าพิสูจน์ ผมมั่นใจเลยว่านี่คือหนังที่สามารถรัวจังหวะในใจคุณให้เต้นตุบๆๆๆได้อีกเรื่องแน่ๆ
.
.
.
.
.
REVIEW (Spoiledบางส่วน) : "คนเรามันจะไปถึงฝันได้อย่างไร ถ้าหากว่าพวกเขาเหล่านั้นขาดแรงกระตุ้นหรือแรงผลักผลักดันที่ดี?
บางทีคำว่า Passion อย่างเดียว มันอาจไม่น่าพอ ถ้าว่าฝันนั้นมันอยู่สูงมากเกินกว่าที่เราคิดว่าศักยภาพตัวของเราจะทำไหว
มันจึงมีคนๆนึงเกิดขึ้น ที่ไม่ใช่จะนำตัวเองไปพิชิตความฝันนั้น
แต่เขาจะเป็นผู้"ถีบหัวส่ง"ให้ใครก็ตามที่อยากจะไปคว้าความฝัน ได้ทะยานไปหาจุดนั้นด้วยแรงที่อัดแน่นขึ้น แกร่งขึ้น เก่งขึ้น
ด้วยการ "ดึงศักยภาพ" ในตัวเขาออกมาให้หมดเปลือก
ทว่ากระบวนการหรือวิธีการดึงนำศักยภาพตรงนั้นที่จะไปพิสูจน์ฝันมันอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
และนี่คือชีวิตของพระเอกหนังอย่างแอนดรูว์ ที่มีอาจารย์คนนึงที่โคตรเก่งอย่างเทอเรนซ์ เฟล็ทเชอร์มาค้นพบ และหวังปั้น!!
ทว่ากระบวนการปั้นเด็กของเฟล็ทเชอร์นั้นเต็มไปด้วยความกดดันและอัดแน่นไปด้วยหลักสูตรที่โหดจัดเต็ม
ในหนังจึงกลายเป็นเรื่องที่ตัวเอกต้องหาทางเอาชนะฝ่าด่านจุดๆนี้ไปให้ได้
ด้วยความที่ตัวเอกหรือแอนดรูว์ เป็นคนที่มีเป้าหมายมาตั้งแต่เด็ก มีPassionอย่างแรงกล้า จนยอมที่จะเสียทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยอะไรหลายๆอย่าง และหนังก็สะท้อนสิ่งเหล่านั้นกลับมาในชีวิตตัวเอกได้ดีมากๆ
จนกระทั่งเมื่อถึงจุดวิกฤติที่บทเรียนของอาจารย์เฟล็ทเชอร์ ทำให้แอนดรูว์ปรอทแตก และทำให้เกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้น
มันทำให้เกิดคำพูดนึงที่ผมชอบมากๆและน่าคิดมากๆเลยเกิดขึ้น
คำพูดนั้นคือประมาณว่า
"ถ้านักดนตรีมันมีความฝันใหญ่ๆ แต่ดันเล่นโคตรห่วย และเราเอาแต่ชมว่ามันเล่นดีเนี่ยและเชียร์ว่าต้องชนะแบบไม่ลืมหูลืมตาเนี่ย
มันก็จะไม่รู้ตัวเองว่ามันห่วยอยู่ และสุดท้ายมันก็จะไม่ได้ไปถึงเป้าแบบที่ควรจะเป็น
แต่ถ้าเราด่ามัน ว่ามัน เพื่อขัดเกลามัน ทำให้มันมีแรงกดดันแรงขับที่จะออกไปสู้ ออกไปชนะในเวทีใหญ่ด้วยความเพียร และมุ่งมั่นที่จะทำให้มันซ้อมหนักกว่าเดิมเพื่อไม่ประมาท
นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขากำลังทำอยู่"
อาจารย์เฟล็ทเชอร์ได้กล่าวไว้ ซึ่งความตั้งใจของเขาแบบนี้ อาจต้องเป็นคนที่ได้อยู่ได้เรียนกับเขาจริงๆถึงเข้าใจ
แต่คนภายนอกอาจมองว่าเขาสอนแบบมุทะลุ โมโห ดุดัน ไม่เหมาะที่จะเป็นอาจารย์สอนดนตรี
มันจึงอยู่ที่มุมมองว่าเราจะมองแบบไหน มองอย่างไร
เพราะสุดท้ายแล้วผลที่เกิดขึ้นไม่ว่าเราจะทำอะไรมันก็มีข้อดีข้อเสียทั้งนั้น
ถ้าบอกว่าการไม่ใช้แนวทางของเฟล็ทเชอร์จะทำให้คนขาดแรงผลักดัน อ่อดแอด ปวกเปียก อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง
แต่แนวทางเข้มงวดของเฟล็ทเชอร์ หนังก็ได้แสดงช่องโหว่เช่นกันว่าไม่ใช่เพียงกรณีแบบพระเอกเท่านั้นที่มีปัญหา แต่ยังมีลูกศิษย์เขาคนนึงที่กดดันตัวเองถึงขนาดรับไม่ไหวและฆ่าตัวตาย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาเสียใจมากเช่นกัน
ถึงบอกว่าทุกอย่างมันต้องตั้งอยู่ที่ความพอดี
เรามีความฝัน มีPassionที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน
เราต้องหาทางมุ่งมั่นและพยายามไปให้ถึงให้ได้
แต่เราจะเลือกก้าวเดินไปด้วยวิธีไหน มันก็อยู่ที่ตัวเรา
เราต้องเลือกหนทางที่เหมาะกับเราเอง
อย่าให้ความคิดใครมาจำกัดความคิดหรือชีวิตเรา และตัวเราก็ไม่ควรไปตัดสินในวิธีหรือวิถีของใครเช่นกัน.
.
.
.
.
.
จบสปอยส์
สุดท้ายนอกเรื่องหน่อย อยากให้ลองสละเวลาสักนิดมาชมกันครับ
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ
แนะนำหนังดี WHIPLASH - คนเราจะไปถึงฝันได้ไง ถ้าขาดแรงกระตุ้นที่ดี? (มีส่วนที่สปอยส์และไม่สปอยส์) หนังสุดอารมณ์มาก
No.41
จั่วหัว : หนังที่รัวอารมณ์พอๆกับจังหวะเสียงกลองให้หัวใจเราเต้นไม่เป็นจังหวะ ให้เราลุ้นกับหนังได้แทบลืมหายใจ ดูแล้วเหนื่อยหอบได้พอๆกับที่พระเอกรัวกลองหนักๆเลยทีเดียว หนังสุดมากครับ!!
WHIPLASH : ตีให้ลั่น เพราะว่าฝันยังไม่จบ
คมนิด จี๊ดเลย : ถ้าคุณไม่ถูกบีบในสถานการณ์ที่คับขันมากๆ คุณก็อาจไม่มีวันได้รู้ถึงศักยภาพที่มีเหลือในตัวเองได้เลย
Napat's Rating : (A-) , 9/10
เกร็ดภาพยนตร์เบื้องต้น
• Whiplash ถูกเลือกเป็นภาพยนตร์เปิดเทศกาลหนังซันแดนซ์ประจำปี 2014 และมันก็กลายเป็นหนังที่ได้รับเสียงชื่นชมมากที่สุดในเทศกาล จนเป็นเรื่องแรกที่ได้ทั้งรางวัล Grand Jury Prize (รางวัลพิเศษจากคณะกรรมการ) และ Audience Award (รางวัลขวัญใจคนดู) และก็ยังถูกเลือกให้เข้าฉายสาย Directors' Fortnight ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด
• ในขณะเดียวกันกลุ่มนักวิจารณ์ที่ได้ดูแล้วก็ได้กล่าวชื่นชมเป็นเสียงเดียวกัน และคาดหมายว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องมีบทบาทบนออสการ์ปลายปีนี้อย่างแน่นอน โดยปัจจุบันคะแนนบนเว็บไซต์ Rottentomatoes ก็อยู่สูงถึง 94% โดย เอริค ชไนเดอร์ นักวิจารณ์จาก Film.com ก็เขียนว่า "ผมการันตีว่าทันทีเมื่อหนังจบ คนดูจะต้องลุกขึ้นปรบมืออย่างกึกก้องและยาวนาน", ไคล์ สมิธ นักวิจารณ์จาก New York Times เขียนไว้ว่า "หนังเรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึง The Karate Kid ที่เปลี่ยนจากการฝึกมวยเป็นการตีกลอง" และ เอริค เดวิส นักวิจารณ์จาก Movies.com เขียนไว้ว่า "Whiplash จะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นกว่าหนังซัมเมอร์เรื่องที่ดีที่สุดของปีนี้แน่นอน"
• Whiplash นำแสดงโดย ไมลส์ เทลเลอร์ นักแสดงดาวรุ่งที่กำลังมาแรงที่สุด โดยเขามีผลงานที่ผ่านตาเรา ไม่ว่าจะเป็น That Awkward Moment, The Spectacular Now, Divergent และล่าสุดกำลังถ่ายทำหนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่อง The Fantastic Four ที่เขารับบทเป็น มิสเตอร์แฟนทาสติก โดยใน Whiplash แม้ว่าเขาจะตีกลองมาตั้งแต่อายุ 15 ปี แต่เขาก็ต้องการแสดงฉากตีกลองด้วยตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำ เขาเล่าถึงการเตรียมความพร้อมว่า "ผมต้องฝึกเป็นเวลา 4 ชั่วโมงต่อวัน 3 วันต่อสัปดาห์ เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนก่อนการถ่ายทำ เลือดที่คุณเห็นระหว่างที่ผมตีกลองมันเกิดขึ้นจริง ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ได้แสดงเองกว่า 70% ของฉากตีกลอง ผมรู้สึกภูมิใจกับตัวเองมาก"
Update เรื่องหนัง ทันใจ คลิ๊กLIKE!! : https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
- คำเตือน : นี่คือเรตติ้งและความคิดเห็นส่วนตัวหลังชมหนังของผมคนเดียวเท่านั้น ย้ำว่าส่วนตัวนะครับ บางคนเห็นตรง บางคนอาจเห็นต่าง ถือว่าเอามาแลกเปลี่ยนทัศนะกันเฉยๆ โปรดอย่าได้ถือสากับคำวิจารณ์ของผมเลยนะครับ เพราะเป็นเพียงอีกหนึ่งเสียงจากการชมหนังในฐานะคนดูหนังธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น -
OVERVIEW (No Spoiled) : หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ว่าด้วยเรื่องของนักดนตรีที่อยากจะประสบความสำเร็จและสามารถไต่เต้าพิสูจน์ความฝันของตัวเอง
เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหาแรงบันดาลใจหรือหา Passion ในการใช้ชีวิต เพราะเราจะพบว่า การใช้ Passion มานำทางชีวิตให้ถึงฝันนั้น ไม่ได้ง่ายๆเสมอไป
และทุกอย่างต้อง "พิสูจน์" ด้วยความ "พยายาม" ที่ "สาหัส" จริงๆ
หนังมีเรื่องราวของการแข่งขันดนตรี มีช่วงที่มีบรรยากาศของเพลงแจ๊ซมาช่วยเพิ่มความรื่นรมย์ในหนังได้บ้าง ขณะที่เส้นเรื่องหลัก เราจะได้ยินถึงเสียงกลอง รัวกลอง ตีกลอง และฉากที่พระเอกจะต้องพบกับอาจารย์คนหนึ่ง (เดี๋ยวจะไปกล่าวถึงในช่วงรีวิว)
นักแสดงในเรื่องนี้เล่นกันได้บ้าคลั่ง และยอดเยี่ยมมากเท่าที่บทมันจะส่งได้ และเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าเขาคือตัวละครนั้นๆจริงๆ รวมถึงเทคนิคการเล่าเรื่องถ่ายทอด การกำกับ การปล่อยจังหวะ ก็มีฉากที่ทำให้เราเหวอได้เหมือนกัน การสร้างบรรยากาศหนังนั้นดำเนินและขับเคลื่อนให้เรามีอารมณ์ร่วมจนเราแทบจะนึกว่าตัวเองเป็นพระเอกไปในชั่วขณะเลยก็เป็นได้ ที่สำคัญ จบแบบผมอารมณ์ค้างเลย
แนะนำครับ เป็นหนึ่งในหนังที่ดีมากๆอีกเรื่องในปีนี้ แต่ก็ดาร์คไซต์พอสมควรในการเล่าเรื่อง เพราะจะมีภาพที่ไม่ปราณีคนดูออกมาให้ชมแบบถึงเลือดถึงเนื้อ ถ้าใครจิตอ่อนก็คงต้องรู้ตัวกันเองครับ แต่ถ้าใครกล้าพิสูจน์ ผมมั่นใจเลยว่านี่คือหนังที่สามารถรัวจังหวะในใจคุณให้เต้นตุบๆๆๆได้อีกเรื่องแน่ๆ
.
.
.
.
.
REVIEW (Spoiledบางส่วน) : "คนเรามันจะไปถึงฝันได้อย่างไร ถ้าหากว่าพวกเขาเหล่านั้นขาดแรงกระตุ้นหรือแรงผลักผลักดันที่ดี?
บางทีคำว่า Passion อย่างเดียว มันอาจไม่น่าพอ ถ้าว่าฝันนั้นมันอยู่สูงมากเกินกว่าที่เราคิดว่าศักยภาพตัวของเราจะทำไหว
มันจึงมีคนๆนึงเกิดขึ้น ที่ไม่ใช่จะนำตัวเองไปพิชิตความฝันนั้น
แต่เขาจะเป็นผู้"ถีบหัวส่ง"ให้ใครก็ตามที่อยากจะไปคว้าความฝัน ได้ทะยานไปหาจุดนั้นด้วยแรงที่อัดแน่นขึ้น แกร่งขึ้น เก่งขึ้น
ด้วยการ "ดึงศักยภาพ" ในตัวเขาออกมาให้หมดเปลือก
ทว่ากระบวนการหรือวิธีการดึงนำศักยภาพตรงนั้นที่จะไปพิสูจน์ฝันมันอาจไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
และนี่คือชีวิตของพระเอกหนังอย่างแอนดรูว์ ที่มีอาจารย์คนนึงที่โคตรเก่งอย่างเทอเรนซ์ เฟล็ทเชอร์มาค้นพบ และหวังปั้น!!
ทว่ากระบวนการปั้นเด็กของเฟล็ทเชอร์นั้นเต็มไปด้วยความกดดันและอัดแน่นไปด้วยหลักสูตรที่โหดจัดเต็ม
ในหนังจึงกลายเป็นเรื่องที่ตัวเอกต้องหาทางเอาชนะฝ่าด่านจุดๆนี้ไปให้ได้
ด้วยความที่ตัวเอกหรือแอนดรูว์ เป็นคนที่มีเป้าหมายมาตั้งแต่เด็ก มีPassionอย่างแรงกล้า จนยอมที่จะเสียทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยอะไรหลายๆอย่าง และหนังก็สะท้อนสิ่งเหล่านั้นกลับมาในชีวิตตัวเอกได้ดีมากๆ
จนกระทั่งเมื่อถึงจุดวิกฤติที่บทเรียนของอาจารย์เฟล็ทเชอร์ ทำให้แอนดรูว์ปรอทแตก และทำให้เกิดเรื่องราวบางอย่างขึ้น
มันทำให้เกิดคำพูดนึงที่ผมชอบมากๆและน่าคิดมากๆเลยเกิดขึ้น
คำพูดนั้นคือประมาณว่า
"ถ้านักดนตรีมันมีความฝันใหญ่ๆ แต่ดันเล่นโคตรห่วย และเราเอาแต่ชมว่ามันเล่นดีเนี่ยและเชียร์ว่าต้องชนะแบบไม่ลืมหูลืมตาเนี่ย
มันก็จะไม่รู้ตัวเองว่ามันห่วยอยู่ และสุดท้ายมันก็จะไม่ได้ไปถึงเป้าแบบที่ควรจะเป็น
แต่ถ้าเราด่ามัน ว่ามัน เพื่อขัดเกลามัน ทำให้มันมีแรงกดดันแรงขับที่จะออกไปสู้ ออกไปชนะในเวทีใหญ่ด้วยความเพียร และมุ่งมั่นที่จะทำให้มันซ้อมหนักกว่าเดิมเพื่อไม่ประมาท
นั่นต่างหากคือสิ่งที่เขากำลังทำอยู่"
อาจารย์เฟล็ทเชอร์ได้กล่าวไว้ ซึ่งความตั้งใจของเขาแบบนี้ อาจต้องเป็นคนที่ได้อยู่ได้เรียนกับเขาจริงๆถึงเข้าใจ
แต่คนภายนอกอาจมองว่าเขาสอนแบบมุทะลุ โมโห ดุดัน ไม่เหมาะที่จะเป็นอาจารย์สอนดนตรี
มันจึงอยู่ที่มุมมองว่าเราจะมองแบบไหน มองอย่างไร
เพราะสุดท้ายแล้วผลที่เกิดขึ้นไม่ว่าเราจะทำอะไรมันก็มีข้อดีข้อเสียทั้งนั้น
ถ้าบอกว่าการไม่ใช้แนวทางของเฟล็ทเชอร์จะทำให้คนขาดแรงผลักดัน อ่อดแอด ปวกเปียก อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง
แต่แนวทางเข้มงวดของเฟล็ทเชอร์ หนังก็ได้แสดงช่องโหว่เช่นกันว่าไม่ใช่เพียงกรณีแบบพระเอกเท่านั้นที่มีปัญหา แต่ยังมีลูกศิษย์เขาคนนึงที่กดดันตัวเองถึงขนาดรับไม่ไหวและฆ่าตัวตาย ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาเสียใจมากเช่นกัน
ถึงบอกว่าทุกอย่างมันต้องตั้งอยู่ที่ความพอดี
เรามีความฝัน มีPassionที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน
เราต้องหาทางมุ่งมั่นและพยายามไปให้ถึงให้ได้
แต่เราจะเลือกก้าวเดินไปด้วยวิธีไหน มันก็อยู่ที่ตัวเรา
เราต้องเลือกหนทางที่เหมาะกับเราเอง
อย่าให้ความคิดใครมาจำกัดความคิดหรือชีวิตเรา และตัวเราก็ไม่ควรไปตัดสินในวิธีหรือวิถีของใครเช่นกัน.
.
.
.
.
.
จบสปอยส์
สุดท้ายนอกเรื่องหน่อย อยากให้ลองสละเวลาสักนิดมาชมกันครับ
ติดตามผลงานรีวิวอื่นๆและผลงานหนังสั้นต่อได้ที่นี่ครับ
ใครชอบอ่านรีวิวหรืออยากติดตามเรื่องราวข่าวสารดีๆจากผม
ผมจะไป"แชร์"ให้ทุกท่านโดยตรงในเพจด้านล่างนี้นะคร้าบ มาLikeเยอะๆนะคร้าบ คลิกไปแล้วไม่ผิดหวังครับ!!
https://www.facebook.com/Napat.Tang.Fans
ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันนะครับ