ช่วงนี้เป็นช่วงที่ยุ่งสุดๆเพราะเจ้านายจะไปร่วมประชุมที่ World Park Congress ที่ซิดนีย์ เจ้านายจะเอาของหลายอย่างมากไปแจกที่ประชุม หนึ่งในนั้นก็คือเสื้อยืดสกรีน เนื่องจากเรามีอุปสรรคเรื่องทำเสื้อมาระยะหนึ่งสุดท้ายก็เหลือเวลาอยู่น้อยนิดที่จะติดต่อบริษัทที่จะทำเสื้อให้เรา ทุกบริษัทที่เราเคยติดต่อไว้บอกเราว่าทางร้านทำให้ไม่ทันเพราะเวลามันสั้นมากซึ่งเหลือแค่หนึ่งอาทิตย์ ไม่มีบริษัทไหนสามารถทำงานให้ทันเลยนอกจากบริษัทคนกรุงเทพ (คิดเอานะคะว่าชื่อจริงๆของร้านชื่ออะไร) เจ้าของร้านฮีรับทำแต่ราคาแพงมากที่สุดในบรรดาใบเสนอราคาจากบริษัทิที่ส่งมา แต่เราก็ตัดสินใจว่าจะทำกับฮี เพราะเราไม่มีเวลาเหลือเยอะแล้ว เราก็คิดเองว่าเดียวค่อยหาใบเสนอราคาที่สุงกว่ามาเปรียบเทียบตอนทำจ่ายเงินแล้วกัน
เราคุยโทรศัพท์กับเค้าก่อนหน้านี้บ้างแล้วเพื่อถามไถ่เรื่องราคาและรายละเอียด เราก็โทรไปคุยกับฮีอีกเพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมกับฮี และเพื่อฮีจะได้ส่งใบเสนอราคาฉบับใหม่มาให้เพราะจำนวนที่จะสั่งมันเพิ่มขึ้น (จำนวนเพิ่มขึ้นราคาก็ไม่ได้ลดลงนะคะไม่เหมือนที่อื่นถ้าจำนวนการรสั่งเพิ่มราคาก็ถูกลงอีกนิด แต่เราก็ต้องทำใจเพราะทางเลือกไม่มีเลยนะตอนนั้น)
ตอนคุยโทรศัพท์กับฮีเราก็ได้อธิบายกับฮีว่า บริษัทของฮีต้องกรอกใบผู้ขายเพื่อให้เราเอาบริษัทฮีไปลงทะเบียนเข้าระบบจัดซื้อและการเงินขององค์กรเรา (เราลืมบอกไปว่าองค์กรเราไม่ต้องจ่ายภาษีเพราะเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรดังนั้นผู้ขายไม่ต้องจ่ายภาษีด้วยแต่ต้องมีจดหมายที่ทางเราขอจากกระทรวงต่างประเทศให้) วิธีนี้ทางแผนกการเงินก็จะได้ทำจ่ายโดยการโอนเงินผ่านธนาคารให้ แต่ฮีปฏิเสธที่จะทำตามที่เราขอ ฮีบอกกับเราว่าฮีจบปริญญาเอกมา ระหว่างที่เรียนฮีก็ได้ร่วมงานกับองค์กรไม่หวังผลกำไรอยู่สองสามที่ ไม่เห็นเค้าเรื่องมากเหมือนองค์กรคุณเลย เราก็คิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเราหาวิธีจัดการกับการจ่ายเงินเอง ตอนที่คุยกันก็ไม่ได้คุยเรื่องมัดจำหรือว่าจะจ่ายเงินตอนไหนจ่ายอย่างไร เราก็คิดไปว่าคงจ่ายตอนเค้าเอาเสื้อมาส่ง ก่อนจะวางหูเราก็ขอฮีว่าก่อนจะเริ่มทำงานของดูดราฟท์งานก่อนได้ไม๊คะ ฮีก็ตอบกลับมาอย่างเคืองๆว่าฮีทำงานสกรีนเสื้อมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นจนตอนนี้จบปริญญาเอกแล้ว ถ้าไม่ไว้ใจกันก็ไม่ต้องทำ เจอแบบนี้เราก็เงิ้บไป โอเคไม่ดูก็ได้ ในที่สุดเรื่องก็เหมือนจะจบ แต่มันไม่จบอะค่ะ ทางแผนกจัดซื้อบอกเราว่าตอนส่งใบเสนอราคาที่เซ็นกำกับไปให้เค้าอธิบายเรื่องลงทะเบียนในระบบของเราอีกรอบเผื่อฮีจะเปลี่ยนใจ เราก็ทำตามและส่งตัวอย่างเอกสารยกเว้นภาษีไปให้ดูด้วย แล้วในอีเมล์ของเราก็บอกฮีไปว่าถ้าฮีไม่อยากกรอกเอกสารหรือส่งเอกสารอะไรก็ไม่เป็นไร ที่บอกไปอย่างนั้นก็เพราะว่าเรากลัวมากว่าฮีจะเคืองและจะไม่ทำงานให้เรา เรามีเรื่องขอฮีด้วยเพราะเจ้านายเราเค้ามีเสื้อตัวคอวี เค้าอยากจะฝากไปสกรีนด้วยสามตัว ร้านของฮีไม่มีคอวีในสต๊อก ฮีก็ตกลง เราก็ส่งโดยใช้มอเตอร์ไซด์ให้ไปส่งที่ร้านฮี ตอนนั้นเราก็สบายใจเพราะดูเหมือนจะเคลียร์แล้ว แต่พอเวลาผ่านไปสามสี่ชั่วโมงก็มีเบอร์ที่เราไม่คุ้นโทรมาให้เรา เราก็รับ สวัสดีคะ ทางโน้นก็พูดกลับมาว่าแล้วเงินหละทำไมไม่ฝากมาด้วย เราก็งงงงงงงง มาก เราก็เลยถามว่าอันนี้ใครโทรมาคะ ฮีก็บอกว่าโทรมาจากร้านคนกรุงเทพเป็นพ่อของคุณ อ จะพิมพ์เสื้อทำไมไม่ฝากเงินมาด้วย เราก็งงอีก น้ำเสียงฮีไม่สุภาพมาก ไม่เหมือนคุยกับลูกค้าเลย (คงโกรธที่เราไม่ได้ส่งเงินไปให้หรือเปล่า?) เราก็ถามฮีคนแก่คนนี้ไปว่า คุณ อ อยู่ไม๊ขอคุยด้วยหน่อย ฮีคนแก่ก็บอกว่าไม่อยู่ไปสอนที่มหาลัยศิลปากร เราก็บอกว่า งั้นแค่นี้ก่อนนะคะเดียวเราจะคุยกับคุณ อ เอง แล้วเราก็โทรหาคุณ อ (ฮีคนหนุ่ม) บอกฮีไปว่าพ่อฮีโทรมาเรื่องเงินมันอย่างงัยกันเหรอคะ (ในใบเสนอราคาก็ไม่มีบอกเรื่องการจ่ายเงินหรือเลขที่บัญชีแต่อย่างใด) ฮีคนหนุ่มก็บอกอ้าวคุณจะไม่จ่ายเงินก่อนเหรอ งานก็ด่วนถ้าผมทำแล้วคุณไม่จ่ายเงินขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างงัย ผมเสี่ยงนะคุณ เราก็ฉุนค่ะแต่พยายามสงบสติอารมณ์ไว้ เราก็ตอบกลับไปว่าทางเราก็เสี่ยงนะคะที่จะไม่ได้ดูดราฟท์งานก่อนถ้างานออกมาแล้วมันไม่ถูกตามที่เราต้องการล่ะ ฮีก็บ่นว่ามันเป็นงานด่วนด้วยอย่างงัยคุณก็ต้องจ่ายก่อน เราก็ถามว่าจ่าย ห้าสิบเปอร์เซ็นหรือเป่า (คิดว่าเป็นวินวินซิทุเอชั่น) ฮีตอบกลับมาว่าต้องจ่ายร้อยเปอร์เซ็น เราก็ยังคงเก็บอาการฉุนของเราไว้ได้และก็อธิบายกับฮีว่าในใบเสนอราคาไม่ได้เขียนไว้ว่าต้องจ่ายเงินเลยเราเลยไม่รู้ เราก็ถามฮีว่าได้อ่านอีเมล์ตัวล่าสุดของเราหรือยังเพราะเราส่งใบเสนอราคาที่เราเซ็นให้ทำงานพร้อมกับลงตราประทับขององกรณ์เราด้วยเพื่อยืนยัน (เพราะบางบริษัทแค่ลายเซ็นยืนยันการสั่งทำเค้าก็ทำให้แล้วล่ะค่ะ) ฮีก็ไม่สนใจฮีบอกว่าจะไม่จ่ายฮีก็ไม่ทำ แล้วฮีก็ถามเราว่าคุณเป็นโรคจิตหรือเป่าถ้าคุณเป็นคุณควรจะไปพบหมอนะ (งง ว่าทำไม่ฮีถามแบบนั้น หรือเพราะเป็นเรื่องเงินล้วนๆ) แต่ถ้าคุณไม่เป็นคุณก็ให้ผมอบรมคุณเพราะผมเป็นอาจารย์จบปริญญาเอกมา เราพยายามบังคับจิตใจเป็นอย่างมากที่จะไม่ตอบกลับแบบไม่สุภาพเพราะเรากลัวว่าเราจะไม่มีเสื้อให้เจ้านาย เราก็บอกว่าคุณ อ ไปอ่านอีเมล์เราก่อนนะ แล้วช่วยตอบกลับมาว่ายืนยันว่าจะทำงานให้และส่งเลขที่บัญชีมาให้เราด้วยเราจะส่งเงินให้เลยตอนนี้ เดี๋ยวโอนออนไลน์ให้ ฮีก็ตอบกลับมาว่าได้เดี๋ยวจะกลับไปอ่าน แต่ว่าตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผมอะนะว่าจะทำให้คุณหรือเปล่า เวลานั้นเรามองไม่เห็นทางออกเลย เหมือนฮีจะรู้ว่าเราไม่มีทางไปเพราะเวลามันสั้นไม่มีใครทำให้ เรานะพอวางหูจากฮีไปเราปล่อยโฮ่เลยแหละ เพราะคำถามของฮีที่ถามเราว่าเราเป็นโรคจิต เราก็นั่งสงบสติอารมณ์และภาวนาว่าฮีจะทำงานให้ โชคก็ยังเข้าข้างเราอยู่เน้อ น้องที่นั่งทำงานข้างเราเค้าก็ส่งข้อมูลของอีกบริษัทหนึ่งมาให้เรา (บริษัทนี้ยังไม่เคยทำงานกับองค์กรเราเลยซึ่งก็เหมือนกันกับร้านคนกรุงเทพ) เราก็เลยติดต่อเค้าและให้รายละเอียดเค้าไป บอกเค้าด้วยว่าเราอยากได้งานด่วน ทำได้ไม๊คะ เค้าบอกว่าทำได้ แต่เราต้องคุยรายละเอียดให้เสร็จภายในวันนี้แล้วทางเค้าจะได้เริ่มทำงาน เรารออีกประมาณ สิบห้านาที เค้าก็ส่งใบเสนอราคามาให้เรา ราคาเสื้อสกรีนหนึ่งตัวถูกกว่าไอ้อาจารย์ อ ตั้งหลายสิบบาท ขอบคุณสิ่งศักดิสิทธิที่ให้โชคกับเรา เราก็เซ็นสัญญาและจ่ายเงินให้เค้าครึ่งหนึ่งไปก่อน แล้วที่เหลือกับเรื่องลงทะเบียนบริษัทค่อยคุยกันวันหลัง เค้าบอกว่าจะให้กรอกหรือเซ็นอะไรก็ส่งมาเลยเดียวเค้าเซ็นให้ อีกประมาณสองชั่วโมง เค้าก็ส่งดราฟท์งานมาให้เราดู เรางี้ดีใจเป็นที่สุด ตอนนั้นเป็นตอนเย็นมากแล้วด้วยไม่คิดว่าเค้าจะรีบทำให้เลย
ส่วนไอร้านคนกรุงเทพหนะ ก็ตอบอีเมล์เรามา ส่งเลขที่บัญชีมาให้ เราก็ได้ตอบกลับไปว่า
Dear Khun Oพ,
Thank you very much for sending bank information.
However, after our undesirable conversation this evening, we have decided to contact a new supplier to produce the t-shirt.
Best wishes,
XXXXX
ไอ้ที่เล่ามาเนี้ยเราอยากจะแบ่งปันเรื่องราวให้อ่าน เราคิดด้วยนะว่าทำไมคนเราต้องอยากอวดอ้างปริญญากันจังเลย ถ้าเป็นคนดีคนเก่งปริญญาอะไรก็ไม่สำคัญ ฮีคนแก่ กับ ฮีคนหนุ่ม พูดคร่ำครวญอยุ่นั้นแหละว่า ลูกผม หรือผมจบปริญญาเอกมา ปร่าปร่าปร่า คนรอบข้างของเราก็จบปริญญาเอกมาทั้งนั้นไม่เห็นเค้าอวดอ้างอะไรกันเลย และที่สำคัญพวกเราพวกเค้าก็เคารพกันและกัน ค่าของคนมันไม่ได้อยู่ใบปริญญาอย่างเดียวนะ เราคิดว่าพ่อลูกคู่นี้น่าจะมีป่มด้อยและมีปัญหาเรื่องอีคิวเป็นอย่างแน่นอน และเราก็คิดว่าฮีซึ่งจบปริญญาเอกมาไม่เหมาะสมกับปริญญาที่ได้มาเลย และเราาคิดว่าฮีเป็นคนโง่เขลาไม่ฉลาดเอาเสียเลยทั้งๆที่จบปริญญาเอกมาแต่พูดจากับลูกค้าแบบสุนัขไม่รับประทานเลย ฮีน่าจะมีจิตวิทยาในการพูดจากับลูกค้าหรือคนรอบข้างให้ดีกว่านี้ ตอนนี้เราก็ไม่ได้คิดอะไรมากแล้วเพราะปัญญาเรื่องเสื้อของเราได้มีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยทันเวลาพอดี แต่เราก็อยากเชียนแบ่งปันให้คนอื่นอ่านขำขำอะค่ะ และก็อยากให้คนที่จะต้องมีเรื่องเกี่ยวข้องกับฮีไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือเป็นนักเรียนของฮีรู้ไว้ว่าฮีเป็นคนแปลกมากถึงมากที่สุด ไม่สุภาพและไม่เหมาะสมกับปริญญาเอกที่ฮีได้มา ธุรกิจของฮีคงจะเจริญมากกว่านี้หากฮีฉลาดในด้านการค้าและมีฉลาดทางด้านจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้สุงกว่านี้ ฮีน่าไม่อายซะด้วยเสนอจะมาอบรมเรา ก่อนที่จะอบรมคนอื่นเราว่าฮีควรจะอบรมตัวเองกับคนในครอบครัวของฮีก่อนดีไม๊
ปริญญาเอกที่ไม่น่าจะได้มา
เราคุยโทรศัพท์กับเค้าก่อนหน้านี้บ้างแล้วเพื่อถามไถ่เรื่องราคาและรายละเอียด เราก็โทรไปคุยกับฮีอีกเพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมกับฮี และเพื่อฮีจะได้ส่งใบเสนอราคาฉบับใหม่มาให้เพราะจำนวนที่จะสั่งมันเพิ่มขึ้น (จำนวนเพิ่มขึ้นราคาก็ไม่ได้ลดลงนะคะไม่เหมือนที่อื่นถ้าจำนวนการรสั่งเพิ่มราคาก็ถูกลงอีกนิด แต่เราก็ต้องทำใจเพราะทางเลือกไม่มีเลยนะตอนนั้น)
ตอนคุยโทรศัพท์กับฮีเราก็ได้อธิบายกับฮีว่า บริษัทของฮีต้องกรอกใบผู้ขายเพื่อให้เราเอาบริษัทฮีไปลงทะเบียนเข้าระบบจัดซื้อและการเงินขององค์กรเรา (เราลืมบอกไปว่าองค์กรเราไม่ต้องจ่ายภาษีเพราะเป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรดังนั้นผู้ขายไม่ต้องจ่ายภาษีด้วยแต่ต้องมีจดหมายที่ทางเราขอจากกระทรวงต่างประเทศให้) วิธีนี้ทางแผนกการเงินก็จะได้ทำจ่ายโดยการโอนเงินผ่านธนาคารให้ แต่ฮีปฏิเสธที่จะทำตามที่เราขอ ฮีบอกกับเราว่าฮีจบปริญญาเอกมา ระหว่างที่เรียนฮีก็ได้ร่วมงานกับองค์กรไม่หวังผลกำไรอยู่สองสามที่ ไม่เห็นเค้าเรื่องมากเหมือนองค์กรคุณเลย เราก็คิดว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวเราหาวิธีจัดการกับการจ่ายเงินเอง ตอนที่คุยกันก็ไม่ได้คุยเรื่องมัดจำหรือว่าจะจ่ายเงินตอนไหนจ่ายอย่างไร เราก็คิดไปว่าคงจ่ายตอนเค้าเอาเสื้อมาส่ง ก่อนจะวางหูเราก็ขอฮีว่าก่อนจะเริ่มทำงานของดูดราฟท์งานก่อนได้ไม๊คะ ฮีก็ตอบกลับมาอย่างเคืองๆว่าฮีทำงานสกรีนเสื้อมาตั้งแต่เป็นวัยรุ่นจนตอนนี้จบปริญญาเอกแล้ว ถ้าไม่ไว้ใจกันก็ไม่ต้องทำ เจอแบบนี้เราก็เงิ้บไป โอเคไม่ดูก็ได้ ในที่สุดเรื่องก็เหมือนจะจบ แต่มันไม่จบอะค่ะ ทางแผนกจัดซื้อบอกเราว่าตอนส่งใบเสนอราคาที่เซ็นกำกับไปให้เค้าอธิบายเรื่องลงทะเบียนในระบบของเราอีกรอบเผื่อฮีจะเปลี่ยนใจ เราก็ทำตามและส่งตัวอย่างเอกสารยกเว้นภาษีไปให้ดูด้วย แล้วในอีเมล์ของเราก็บอกฮีไปว่าถ้าฮีไม่อยากกรอกเอกสารหรือส่งเอกสารอะไรก็ไม่เป็นไร ที่บอกไปอย่างนั้นก็เพราะว่าเรากลัวมากว่าฮีจะเคืองและจะไม่ทำงานให้เรา เรามีเรื่องขอฮีด้วยเพราะเจ้านายเราเค้ามีเสื้อตัวคอวี เค้าอยากจะฝากไปสกรีนด้วยสามตัว ร้านของฮีไม่มีคอวีในสต๊อก ฮีก็ตกลง เราก็ส่งโดยใช้มอเตอร์ไซด์ให้ไปส่งที่ร้านฮี ตอนนั้นเราก็สบายใจเพราะดูเหมือนจะเคลียร์แล้ว แต่พอเวลาผ่านไปสามสี่ชั่วโมงก็มีเบอร์ที่เราไม่คุ้นโทรมาให้เรา เราก็รับ สวัสดีคะ ทางโน้นก็พูดกลับมาว่าแล้วเงินหละทำไมไม่ฝากมาด้วย เราก็งงงงงงงง มาก เราก็เลยถามว่าอันนี้ใครโทรมาคะ ฮีก็บอกว่าโทรมาจากร้านคนกรุงเทพเป็นพ่อของคุณ อ จะพิมพ์เสื้อทำไมไม่ฝากเงินมาด้วย เราก็งงอีก น้ำเสียงฮีไม่สุภาพมาก ไม่เหมือนคุยกับลูกค้าเลย (คงโกรธที่เราไม่ได้ส่งเงินไปให้หรือเปล่า?) เราก็ถามฮีคนแก่คนนี้ไปว่า คุณ อ อยู่ไม๊ขอคุยด้วยหน่อย ฮีคนแก่ก็บอกว่าไม่อยู่ไปสอนที่มหาลัยศิลปากร เราก็บอกว่า งั้นแค่นี้ก่อนนะคะเดียวเราจะคุยกับคุณ อ เอง แล้วเราก็โทรหาคุณ อ (ฮีคนหนุ่ม) บอกฮีไปว่าพ่อฮีโทรมาเรื่องเงินมันอย่างงัยกันเหรอคะ (ในใบเสนอราคาก็ไม่มีบอกเรื่องการจ่ายเงินหรือเลขที่บัญชีแต่อย่างใด) ฮีคนหนุ่มก็บอกอ้าวคุณจะไม่จ่ายเงินก่อนเหรอ งานก็ด่วนถ้าผมทำแล้วคุณไม่จ่ายเงินขึ้นมาแล้วจะเป็นอย่างงัย ผมเสี่ยงนะคุณ เราก็ฉุนค่ะแต่พยายามสงบสติอารมณ์ไว้ เราก็ตอบกลับไปว่าทางเราก็เสี่ยงนะคะที่จะไม่ได้ดูดราฟท์งานก่อนถ้างานออกมาแล้วมันไม่ถูกตามที่เราต้องการล่ะ ฮีก็บ่นว่ามันเป็นงานด่วนด้วยอย่างงัยคุณก็ต้องจ่ายก่อน เราก็ถามว่าจ่าย ห้าสิบเปอร์เซ็นหรือเป่า (คิดว่าเป็นวินวินซิทุเอชั่น) ฮีตอบกลับมาว่าต้องจ่ายร้อยเปอร์เซ็น เราก็ยังคงเก็บอาการฉุนของเราไว้ได้และก็อธิบายกับฮีว่าในใบเสนอราคาไม่ได้เขียนไว้ว่าต้องจ่ายเงินเลยเราเลยไม่รู้ เราก็ถามฮีว่าได้อ่านอีเมล์ตัวล่าสุดของเราหรือยังเพราะเราส่งใบเสนอราคาที่เราเซ็นให้ทำงานพร้อมกับลงตราประทับขององกรณ์เราด้วยเพื่อยืนยัน (เพราะบางบริษัทแค่ลายเซ็นยืนยันการสั่งทำเค้าก็ทำให้แล้วล่ะค่ะ) ฮีก็ไม่สนใจฮีบอกว่าจะไม่จ่ายฮีก็ไม่ทำ แล้วฮีก็ถามเราว่าคุณเป็นโรคจิตหรือเป่าถ้าคุณเป็นคุณควรจะไปพบหมอนะ (งง ว่าทำไม่ฮีถามแบบนั้น หรือเพราะเป็นเรื่องเงินล้วนๆ) แต่ถ้าคุณไม่เป็นคุณก็ให้ผมอบรมคุณเพราะผมเป็นอาจารย์จบปริญญาเอกมา เราพยายามบังคับจิตใจเป็นอย่างมากที่จะไม่ตอบกลับแบบไม่สุภาพเพราะเรากลัวว่าเราจะไม่มีเสื้อให้เจ้านาย เราก็บอกว่าคุณ อ ไปอ่านอีเมล์เราก่อนนะ แล้วช่วยตอบกลับมาว่ายืนยันว่าจะทำงานให้และส่งเลขที่บัญชีมาให้เราด้วยเราจะส่งเงินให้เลยตอนนี้ เดี๋ยวโอนออนไลน์ให้ ฮีก็ตอบกลับมาว่าได้เดี๋ยวจะกลับไปอ่าน แต่ว่าตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผมอะนะว่าจะทำให้คุณหรือเปล่า เวลานั้นเรามองไม่เห็นทางออกเลย เหมือนฮีจะรู้ว่าเราไม่มีทางไปเพราะเวลามันสั้นไม่มีใครทำให้ เรานะพอวางหูจากฮีไปเราปล่อยโฮ่เลยแหละ เพราะคำถามของฮีที่ถามเราว่าเราเป็นโรคจิต เราก็นั่งสงบสติอารมณ์และภาวนาว่าฮีจะทำงานให้ โชคก็ยังเข้าข้างเราอยู่เน้อ น้องที่นั่งทำงานข้างเราเค้าก็ส่งข้อมูลของอีกบริษัทหนึ่งมาให้เรา (บริษัทนี้ยังไม่เคยทำงานกับองค์กรเราเลยซึ่งก็เหมือนกันกับร้านคนกรุงเทพ) เราก็เลยติดต่อเค้าและให้รายละเอียดเค้าไป บอกเค้าด้วยว่าเราอยากได้งานด่วน ทำได้ไม๊คะ เค้าบอกว่าทำได้ แต่เราต้องคุยรายละเอียดให้เสร็จภายในวันนี้แล้วทางเค้าจะได้เริ่มทำงาน เรารออีกประมาณ สิบห้านาที เค้าก็ส่งใบเสนอราคามาให้เรา ราคาเสื้อสกรีนหนึ่งตัวถูกกว่าไอ้อาจารย์ อ ตั้งหลายสิบบาท ขอบคุณสิ่งศักดิสิทธิที่ให้โชคกับเรา เราก็เซ็นสัญญาและจ่ายเงินให้เค้าครึ่งหนึ่งไปก่อน แล้วที่เหลือกับเรื่องลงทะเบียนบริษัทค่อยคุยกันวันหลัง เค้าบอกว่าจะให้กรอกหรือเซ็นอะไรก็ส่งมาเลยเดียวเค้าเซ็นให้ อีกประมาณสองชั่วโมง เค้าก็ส่งดราฟท์งานมาให้เราดู เรางี้ดีใจเป็นที่สุด ตอนนั้นเป็นตอนเย็นมากแล้วด้วยไม่คิดว่าเค้าจะรีบทำให้เลย
ส่วนไอร้านคนกรุงเทพหนะ ก็ตอบอีเมล์เรามา ส่งเลขที่บัญชีมาให้ เราก็ได้ตอบกลับไปว่า
Dear Khun Oพ,
Thank you very much for sending bank information.
However, after our undesirable conversation this evening, we have decided to contact a new supplier to produce the t-shirt.
Best wishes,
XXXXX
ไอ้ที่เล่ามาเนี้ยเราอยากจะแบ่งปันเรื่องราวให้อ่าน เราคิดด้วยนะว่าทำไมคนเราต้องอยากอวดอ้างปริญญากันจังเลย ถ้าเป็นคนดีคนเก่งปริญญาอะไรก็ไม่สำคัญ ฮีคนแก่ กับ ฮีคนหนุ่ม พูดคร่ำครวญอยุ่นั้นแหละว่า ลูกผม หรือผมจบปริญญาเอกมา ปร่าปร่าปร่า คนรอบข้างของเราก็จบปริญญาเอกมาทั้งนั้นไม่เห็นเค้าอวดอ้างอะไรกันเลย และที่สำคัญพวกเราพวกเค้าก็เคารพกันและกัน ค่าของคนมันไม่ได้อยู่ใบปริญญาอย่างเดียวนะ เราคิดว่าพ่อลูกคู่นี้น่าจะมีป่มด้อยและมีปัญหาเรื่องอีคิวเป็นอย่างแน่นอน และเราก็คิดว่าฮีซึ่งจบปริญญาเอกมาไม่เหมาะสมกับปริญญาที่ได้มาเลย และเราาคิดว่าฮีเป็นคนโง่เขลาไม่ฉลาดเอาเสียเลยทั้งๆที่จบปริญญาเอกมาแต่พูดจากับลูกค้าแบบสุนัขไม่รับประทานเลย ฮีน่าจะมีจิตวิทยาในการพูดจากับลูกค้าหรือคนรอบข้างให้ดีกว่านี้ ตอนนี้เราก็ไม่ได้คิดอะไรมากแล้วเพราะปัญญาเรื่องเสื้อของเราได้มีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยทันเวลาพอดี แต่เราก็อยากเชียนแบ่งปันให้คนอื่นอ่านขำขำอะค่ะ และก็อยากให้คนที่จะต้องมีเรื่องเกี่ยวข้องกับฮีไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือเป็นนักเรียนของฮีรู้ไว้ว่าฮีเป็นคนแปลกมากถึงมากที่สุด ไม่สุภาพและไม่เหมาะสมกับปริญญาเอกที่ฮีได้มา ธุรกิจของฮีคงจะเจริญมากกว่านี้หากฮีฉลาดในด้านการค้าและมีฉลาดทางด้านจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้สุงกว่านี้ ฮีน่าไม่อายซะด้วยเสนอจะมาอบรมเรา ก่อนที่จะอบรมคนอื่นเราว่าฮีควรจะอบรมตัวเองกับคนในครอบครัวของฮีก่อนดีไม๊