โรคซึมเศร้า และการรักษา 2 ทางเลือกร่วมกัน ผมหายมาแล้ว "Season 2"

ขออนุญาตเอามาแปะใหม่เพราะเจตนาดีครับ ( มีการอัพเดทแก้ไขเพิ่มเติมครับ เลยลงเป็น "Season 2" )

จุดประสงค์เพื่อต้องการตอบแทนสังคม โดยเฉพาะที่พันทิป
ซึ่งเป็นที่แรกที่ผมเข้ามาบ่อยในห้องสวนลุม เน้นไปที่สุขภาพกาย , สุขภาพจิต
ทั้งก่อนและหลังจากการเป็นโรคซึมเศร้า
เพื่อควานหาวิธีการรักษา จากปัญหาของผู้ที่ประสบอยู่

ส่วนใหญ่มาแนะนำ ( commment ) ไว้แล้วก็ไป ไม่ติดตามผล
comment สวยหรูเหล่านั้นมีส่วนถูกต้อง แต่สภาวะของผู้ป่วยโรคนี้ อ่านแล้วผ่านไป
ไม่สามารถเก็บเอา comment ดีๆ มาประยุกต์ใช้เพื่อแก้ไขปัญหาของตัวเองได้


ผมขอตอบในฐานะที่เคยเป็นมาก่อน จากเครียด => ซึมเศร้า

เพราะโลกของเขาสีเทาหม่นทั้งร่างกายและจิตใจ(ผมรู้สึกเช่นนี้)
เกือบจะดาร์คสุดๆ เคยคิดถึงขั้นลาออกจากงาน
โดยที่มองหาเป้าหมายในชีวิตไม่เจอ มีแค่ร่างกายกับลมหายใจที่บอกว่ายังมีชีวิตอยู่
ทั้งๆที่ก็ไม่ได้มีกิจการส่วนตัว หรือเงินเก็บมากพอที่จะสามารถประคับประคองจนสิ้นอายุไข

ช่วงที่เป็นโรคซึมเศร้าเต็มตัว และยอมรับมันว่าเป็น ( หลายคนอาจไม่ยอมรับว่าเป็น )
พฤติกรรมเปลี่ยนชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้า
จากเดิมร่าเริง มีชีวิตชีวา มีสีสันของชีวิต โลกสดใส ( ปกติเป็นคนมองโลกในแง่ดี )
กลับกลายเป็นคนใต้ร่มสีเทาหม่น ทั้งร่างกายและจิตใจ เก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร มีโลกส่วนตัวสูงมาก

ความไม่อยากอาหารทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะดำเนินชีวิตประจำแบบปกติได้
อ่อนเพลีย ตื่นกลางดึก นอนต่อยาก ปวดขมับและหน้าผากมาก ( Insomnia )
ส่งผลให้ต้องลางานบ่อยมาก มากเกินกว่าที่เคยลา แบบทำงานวันลาหยุดวัน เป็นอย่างนี้เรื่อยมา

รวมระยะความเครียดที่ทำให้ตื่นกลางดึก ( Insomnia ) เริ่มเมื่อ 8 เดือนก่อน ดีกรีหนักขึ้นเรื่อยๆ
จนล่วงเลยมาถึงการเป็นโรคซึมเศร้า ( Depressive disorder ) เต็มขั้น
9/10 หัวข้อที่ระบุว่าเป็นโรคนี้ ตรงกันกับผมพอดี

ลองทำแบบทดสอบที่กรมสุขภาพจิต ในช่วงที่สับสนมากว่าเป็นอะไรกันแน่
จากเดิมแค่นอนไม่หลับ พัฒนาแย่ลงเรื่อยๆ จากไฮเปอร์แอ๊คทีฟ กลับกลายเป็น เซี่องซึม
เรี่ยวแรงจะเดิน จะเหิน จะทำงาน หรือใช้ชีวิตประจำวัน ไม่มีพอ
แบบทดสอบผลออกมาอยู่ในขั้นสูงสุด คำแนะนำก็คือรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

คือเป้าหมายในชีวิตไม่มี ในแต่ละวัน มีแต่ร่างกายกับลมหายใจเท่านั้นที่บอกว่ายังมีขีวิตอยู่
ความร่าเริง มีชีวิตชีวาหายไปโดยสิ้นเชิง อยู่เลื่อนลอยไปวันๆ ปรึกษาใครๆก็ไม่มีคนเข้าใจจริงๆ
มีแต่ความคิดเห็นส่วนตัวทั้งนั้น ซึ่งอยู่ในคนละจุดยืน คำแนะนำมักจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
สำหรับผมในช่วงนั้น ถือว่าเป็นจุดตกต่ำลึกลุดในชีวิตที่ผ่านมา

จนกระทั่งตัดสินใจเข้าพบหมอ(จิตแพทย์ เรียกให้ฟังดูดีก็ จิตเวช )โดยด่วน ไม่รอช้า
น่าจะราว3เดือนกว่าที่แล้ว โดยที่เริ่มนอนตื่นกลางดึกถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ( Insomnia )
ไปหาด้วยทัศนคติที่ดี จาก comment ห้องสวนลุม ว่าอาการนี้ก็เหมือนการเจ็บไข้ได้ป่วยทั่วไป

การไปพบ จิตแพทย์ ( หมอจิตเวช-ผมใช้คำนี้เวลาคุยกับคนอื่น เพราะกลัวทัศนคติทางลบของผู้ฟัง )
ไปอย่างเต็มใจ แต่ไม่บอกใครที่ไม่สนิทจริงๆ เตรียมพร้อมที่จะเข้ารับการรักษาจากแพทย์เฉพาะทาง

หลังจากพบแพทย์และพูดคุยมากมาย แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า
จ่ายยาและนัดติดตามอาการมาอีกที 15 วัน
ยาที่จ่ายมีทั้งยาที่ช่วยปรับสมดุลเคมีทางสมอง ผมได้รับยาโซลอฟ
side effect ของยา ทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือมือสั่น ซึ่งผมเป็นทั้งสองอย่าง และเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ

การรักษาในช่วงแรกมักจะยังไม่ได้ผล เพราะต้องลองและเปลี่ยนปริมาณยา หรือชนิดของยาไปเลย
ซึ่งยามีหลายกลุ่ม ให้มี side efffect แตกต่างกัน แต่โดยรวมทำงานเหมือนกัน
คือช่วยปรับสมดุลเคมีทางสมองให้ดีขึ้น

และมีความจำเป็นต้องจ่ายยานอนหลับให้ผมด้วย เนื่องจากสภาวะการตื่นกลางดึกและหลับยาก
หลับๆตื่นๆทั้งคืน ทำให้เพลียมาก ส่วนมากจะเพลียจนเสียงานเสียการไปเลย
เรี่ยวแรงที่ถดถอยจากการไม่อยากอาหาร ก็ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไปมาก
เหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง จะตายแหล่มิตายแหล่ มีแต่ซากสังขารเท่านั้น ตาลอย เหมือนซอมบี้มากขึ้นทุกวัน

เข้ารักษาเดือนที่ 2 มีการปรับปริมาณยาเพิ่มขึ้น และให้บังเอิญว่าผมได้มีโอกาสเข้ากลุ่มไลน์ ธรรมะและสุขภาพจิต
โดยการขอ add เป็นเพื่อนจากไอดีที่ได้มาของสมาชิกผู้ก่อตั้งท่านหนึ่ง และเมื่อเข้าไปแล้วก็พบว่า
มีผมคนเดียวที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพจิตเพียงผู้เดียว
ในขณะที่สมาชิกท่านอื่นสนทนาแต่ในเรื่องธรรมะที่ผมไม่เคยให้ความสนใจเท่าไหร่

แต่ก็ได้รับคำแนะนำดีๆ ความเอ็นดูในฐานะเพื่อนมนุษย์ การคอยติดตามทุกวันว่าแต่ละวันรู้สึกยังไงบ้าง
และแนะแนววิธีทางธรรมะเข้าช่วย แรกๆอาจขัดเขินนิดหน่อย แต่เมื่อได้เริ่มลองปฏิบัติจริง
จากเบสิคคือการสวดมนต์ก่อนนอน การแผ่เมตตา( ถ้าเชื่อในเรื่องวิบากกรรม ) การนั่งสมาธิดูลมหายใจ
ทางวิทยาศาสตร์ ก็คือไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน และจิตใจเริ่มนิ่ง เริ่มสงบมากขึ้น มีสติกลับคืนมาโดยเร็ว

ผมเลือกทั้ง 2 ทาง ทั้งพบแพทย์ใช้ยารักษา และสวดมนต์แผ่เมตา ขอขมากรรม ทำบุญใส่บาตร
ไปวัดไหว้พระทำบุญ ตามแต่สะดวก ช่วงแรกก็ยังไม่ดีขึ้น แต่ไม่ถึงเดือน
ผมก็กลับมามีสติสมบูรณ์เหมือนก่อนป่วย เหลือเพียงการตื่นกลางดึกและอ่อนเพลียยิ้ม
และเพราะไม่อยากอาหาร นน.ผมลดไปร่วม 8 กก.ในเวลา 8 เดือน หลายคนมากทักว่าซูบผอมไป
ล่าสุดหลังจากพบแพทย์ตามที่นัดล่วงหน้า คือ เสาร์ 1 ต.ค.57 เข้ามาดู
นน.ผมเหลือ 60.7 ก.ก. หายไปร่วม 10 ก.ก.

ผมคนเดิมกลับมาแล้ว ผมบอกใครหลายคนที่เป็นห่วงในตัวผม ซึ่งเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงของผม
ตั้งแต่แรก จนดำดิ่งลงไปเกือบสุด เกือบคิดสั้นแล้ว แต่มาคิดว่าทำไมต้องคิดสั้น ไม่มีเหตุผลมากพอ
ไม่เข้าใจตัวเอง แต่ก็พยายามหาวิธีแก้ไขให้กลับมาดังเดิม

ผมลองลดยานอนหลับดู ( จาก comment คนรอบข้าง ) พบว่าอาการแย่ลง พออาการดีขึ้นผมก็ลด
ยาเองอีก ซึ่งก็แย่ลงอีก ( Insomnia ) ค่อยปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมปริมาณยาโดยแพทย์
ช่วงหลังจากการรักษาต่อเนื่อง ผมศึกษาและสอบถามถึงการใช้ยานอนหลับในแต่ละชนิดถึงการเริ่มออกฤทธิ์
และยังคงออกฤทธื์อยู่นานเท่าไหร่

เพื่อที่เราจะได้รู้ว่ายาแต่ละตัวมีคุณสมบัติอย่างไร สามารถเลือกใช้และกำหนดปริมาณเองได้ ( จากที่คุยกับแพทย์มา )
ข้อสำคัญที่ต้องรู้ ก็คือคุณต้องหมั่นสังเกตตัวเองว่าเริ่มทานยา(นอนหลับ)กี่โมง นอนจริงกี่โมง
ตื่นกี่โมง สดชื่นหรือไม่ อย่างไร? หมั่นจดบันทึกไว้


หลายคนใข้ยานอนหลับไม่เป็น สักแต่ว่าหาซื้อเอาเอง(ผิดกม.) หรือใช้แล้วยังตื่นกลางดึกอีก
หรือใช้แล้วนอนหลับยาว ลุกไม่ขึ้น หรืออาจเพลียอยากนอนต่อ
นั่นก็คือคุณรู้แค่ว่ากินก่อนนอนเท่านั้น ไม่รู้รายละเอียดว่าจะเริ่มออกฤทธิ์กี่โมง หมดฤทธิ์กี่โมง
ถ้าปรึกษาแพทย์ได้ ถามลึกๆไปเลยครับ ผมได้ความรู้ตรงนี้มาเยอะมากครับ

เมื่ออังคารที่ 14 ต.ค.57 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ผมอาบน้ำอุ่นเตรียมตัวสวดมนต์แผ่เมตตาแล้วค่อยนอน
แต่อาบน้ำอุ่นเสร็จ สติผมกลับคืนมา 100% ความมีชีวิตชีวาผมกลับคืนมายิ้มหัวใจพองโตมากยิ้ม

ถึงกับรำพึงในใจว่า ผมคนเดิมกลัมมาแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่ผมรอมานาน
เริ่มถ่ายทอดเรื่องนี้ให้คนรอบข้างที่เข้าใจและรับรู้ว่าผมมีปัญหา
เพื่อให้พวกเขาสบายใจ ผมเองเกิดความลิงโลดยินดี
เหลือร่างกายเท่านั้นที่ยังคงอ่อนเพลีย แต่จิตใจกลับคืนมาเต็ม 100%

ในความโชคดี ย่อมมีความโชคร้าย
ผมลิงโลดดีใจจนเริ่มลด/หยุดยาโซลอฟเอง
วันพุธเริ่มลด พฤ.-ศ. ไม่ใช้ยาโซลอฟ แต่ยังคงใช้ยานอนหลับอยู่
เพราะผมยังตื่นกลางดึกอยู่เกือบทุกวัน ( 5ใน7วันเลยเชียว )

วันเสาร์ที่ 18 ต.ค.57 ผมไปรพ.ซึ่งนัดแพทย์ท่านอื่นไว้ได้คิว 4 โมงเย็น
ตั้งใจจะไปแจ้งว่าหายจากซึมเศร้าแล้วจะให้ลด-หยุดยาโซลอฟ
ระหว่างขับรถไปรพ. ระยะทาง1/3 ผมเริ่มมือสั่น รู้ตัวละว่ากำลังมีปัญหาFacepalm
ขับเรื่อยๆตามปกติ สติยังสมบูรณ 100% เพียงแต่ร่างกายไม่สามารถ control ได้

ขับต่อไปอีกเป็น 2/3 การสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ สติมี แต่ใจเริ่มเสียเศร้า
ผมเริ่มเปิดไฟฉุกเฉิน ไฟหน้า และ ไฟสูง เป็นลำดับ ตามสภาพที่สั่นมากขึ้นเรื่อยๆ
สั่นทั้งมือทั้ง 2 ข้าง แขน ขา และลำตัว

แน่นอนไม่มีใครหลบทางให้ผมเศร้าเศร้า

ผมยังคงขับต่อไปเรื่อยๆ สปีดธรรมดา เริ่มเข้าเลนซ้ายสุด เตรียมเข้ารพ.
อาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ท้ายสุดตัดสินเอารถเข้าจอดที่หน้าห้องฉุกเฉิน
จอดนิ่งๆ พนง.เข็นรถนั่งอยู่ก็งงว่ามาจอดแล้วทำไมไม่ลงมา

ผมลดกระจกด้านซ้ายลง โบกมือที่สั่นมากแล้วทั้ง 2 ข้าง และคุมน้ำตาไว้ไม่อยู่
ไหลทะลักทลาย กลายเป็นภาวะแพนิค ( Panic )ร้องไห้
ผมร้องแจ้งพร้อมน้ำตาว่าผมลงจากรถเองไม่ได้ ควบคุมร่างกายไม่ได้เลย
พนง.งานรพเห็นเช่นนั้นรีบ เข็นรถมารับออกจากรถ พนง.อีกคนเอารถไปจอด
เข็นผมเข้าห้องฉุกเฉินทันที พอย้ายจากรถเข็นขึ้นเตียง ผมแพนิคมากขึ้น

สั่นทั้งตัว หายใจสั้นและถี่ หอบจนเหนื่อย เกร็งทั้งตัว มือยกขึ้นและนิ้วจีบเข้าหากันทั้ง 2 ข้างแย่
ปลายเท้าเหยียดตรงเกร็งและสั่น out of control แต่โชคดีทีมีสติอยู่ตลอดเวลา
วุ่นวายในห้องฉุกเฉินพักใหญ่ มีการให้น้ำเกลือ? ฉีดยาหลายตัว จำไม่ค่อยได้

ที่แน่ๆคือ มีการฉีด แวเลี่ยม dose ละ 0.5 มก. เพื่อให้ผมสงบลง
ฉีดเว้นระยะร่วมกับการเอาถุงกระดาษมาครอบจมูกปากแล้วให้หายใจยาวๆช้าๆ
*เพราะอาการอาจเกิดจากร่างกายมีอ็อกซิเจนในเลือดปริมาณมากเกิน ( จากการหายใจถี่ๆๆๆ )
แพทย์ที่ผมแจ้งว่านัดไว้ ( ยังมีสติอยู่และบอกออกไป ) มาหาที่ห้องฉุกเฉิน
และค่อยๆคุมอาการผมให้กลับคืนจากการเกร็งและลดหายใจถี่ลง ใช้เวลานานพอควร

คนที่ผมให้ติดต่อก็มาถึงในช่วงที่ยังมีแพทย์และพยาบาล พยายามแก้ไขเบื้องต้น
สภาพน่ากลัวมาก เพราะผมมีสติทุกอย่าง รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย
สติยังคงดีมาก แต่คุมอารมณ์หรืออาการสั่นเกร็งไม่ได้เลย
การพูดยานคางมาก เหมือนเด็กหัดพูด ช้า ยืด และ ยานคาง

เมื่อการเกร็งลดลงหลังฉีดยา แวเลี่ยม ไป 3 dose
แพทย์ชี้แจงรายละเอียด กับ เพื่อนพนง.ฝ่าย ER ของรง. และหัวหน้างานผมที่ตามมาภายหลัง
ว่าต้องเข้าห้อง ICU ต่อเพื่อดูอาการต่อเนื่อง ผมยังคุมน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้ ไหลเองโดยไม่ฟูมฟาย

อาการดีขึ้นก่อนเย็นวันนั้น แพนิคลดลงและหายไป
ช่วงแรกในห้อง ICU เมื่อเครื่องวัดความดันอัตโนมัติทำงาน มือข้างนั้นจะเริ่มมีอาการจีบนิ้วเข้าหากัน
สุดที่จะควบคุมได้ พยาบาลปรึกษาหมออีกครั้ง
น่าจะมีการฉีด แวเลี่ยม? เพิ่มอีกโดส 0.5 มก. รวมผมได้รับไป 4 dose
เวลาผ่านไปนานหลายช.ม.กว่าอาการจีบนิ้วจะหายไปเมื่อเครี่องวัดความดันอัตโนมัติทำงาน

นอน 2 คืน 3 วัน ถึงกลับมาปกติดังเดิม แต่แพทย์ยังคงขอจ่ายยาเพื่อคุมอารมณ์(ยาต้านเศร้า)ให้นิ่งขึ้น
และจ่ายยานอนหลับให้ เพราะผมหลับยาก และตื่นง่ายกลางดึก

ผมขอยกเครดิตความดีความชอบทั้งหมดในครั้งนี้ให้ กลุ่มไลน์ธรรมะและสุขภาพจิตเยี่ยม
ซึ่งทำให้ผมมีสติมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าคนเดิมกลับมาแล้ว ขออนุโมทนาบุญสาธุด้วยครับ

แก้ไขนิดหน่อยครับ
*เพราะอาการอาจเกิดจากร่างกายมีอ็อกซิเจนในเลือดปริมาณมากเกิน ( จากการหายใจถี่ๆๆๆ )...จากเดิม พิมพ์ผิดเป็นขาดอ๊อกซิเจนครับ

ป.ล.1 นั่งไทม์แมชชีนย้อนมาจากปี 2566 เนื่องจากเพิ่งได้เข้ามาอ่านกระทู้นึง แล้วมีคอมเม้นท์พูดถึงเรื่อง DM ผมก็เลยกดดู DM ที่แจ้งเตือนมีไม่เยอะ นานมากแล้วหลายปี ต้องขออภัยที่ลงกระทู้บอกเล่าประสบการณ์ของตนเอง และมีการตอบกลับ DM ไปก็หลายท่านอยู่ 

ป.ล.2 ผมเพิ่งเข้ามาปกติจะใช้โซเซียลอื่น ก็เห็นมี DM ค้างเตือนอีกหลายฉบับ จากประมาณปี 2558-9 ที่ตอบไป หรือพูดคุยกลับไป จากนั้นชีวิตผมก็ไม่ได้ฝังในพันทิปอีก  เลยทำให้ไม่เห็นว่ามี DM มาอีกเป็นระยะๆ ล่าสุดเหมือนจะปี 2561 มั้ง ผมก็งงนิดๆว่า กระทู้ผมผ่านไปนานหลายปีแล้ว ทำไมยังมีคนเสิร์ชเจออีก หรือว่า ไม่ค่อยมีใครเอาตัวเองมาเปิดเผยในมุมที่คนอื่นไม่กล้าเปิด แบ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่