โลงพยาบาล2 (ตอน กลืนกิน)

แส่ก แส่ก แส่ก

(ใช้มีดผ่าตัดค่อยๆเลาะผิวหนังและชั้นไขมันเหนือต่อมน้ำลายกกหูออก)

แส่ก แส่ก แส่ก

อืมมม (ใช้ Forcep คีบไปไปที่เนื้อเยื่อก้อนตะปุ่มตะป่ำใกล้กกหู)
ที่เห็นนี่ก็คือต่อมน้ำลายกกหู หรือ Parotid Salivary Gland  
เป็นแลนมาร์คของเส้นประสาทเส้นนึงที่สำคัญนั่นก็คือ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 หรือ Facial nerve ซึ่งมันจะพุ่งผ่านจากสมองมาทาง รูนี้ Stylomastoid Foramen,  จากนั้นเจ้าnerveเส้นใหญ่ๆนี่ มันกะจะแทงทะลุผ่านต่อมน้ำลายกกหูนี้ แล้วตอนที่มันอยู่ในต่อมน้ำลาย เจ้า Facial nerve นี้จะแตกออกเป็น 2 แขนง หรือ 2 division  อันนึงทแยงขึ้นด้านบนไปทางขมับ ก็เรียก Temporofacial division อีกอันทแยงลงล่าง ไปทางคคอ ก็เรียก Cervicofacial division จะเห็นว่า ตรงกกหูจึงเป็นที่อยู่สำคัญของเส้นประสาทนี้ พวกคุณรู้จัก “คุชิซาเกะอนนะ” ไม๊ ...
ช่าย แม่สาวปากฉีกถึงหู ผีญี่ปุ่นตัวนั้นนั่นล่ะ เป็นหนึ่งในเคส Facial nerve injury ที่ดีเลยทีเดียว ถ้าพวกคุณรู้ anatomy คุณก็จะรู้ว่าคุณจะรักษาเธอคนนั้นยังไง เอาล่ะ หลังจากแตกออกเป็น 2 division แขนงใหญ่ๆนี้ มันก็จะแยกออกไปอีก 5 แขนงย่อย ซึ่งก็คือ....

กฤษดา ดูจะง่วงๆนะ ฟังที่ผมพูดอยู่รึเปล่า?
“ครับ ฟังอยู่ครับจารย์”
ถึงแม้ Gross ตัวแรกคุณจะได้คะแนนดี ผ่านมาได้ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่า ตัว2นี้ ยากกว่าตัวแรกเยอะนะ ตั้งใจฟังหน่อย
“ครับ”
แส่ก แส่ก แส่ก
(ค่อยๆเลาะต่อมน้ำลายออกให้เห็นเส้นประสาทแขนงต่างๆข้างใน)

นี่เพื่อนๆของคุณเล่าเรื่องราวมหัศจรรย์ของคุณให้ผมฟังด้วยนะ ว่ากันว่าคุณไม่ต้องอ่านตำรา ก็ทำคะแนนAnatomy ได้ดีกว่าคนอื่น เป็นเรื่องจริงหรอ?
“ครับ เพื่อนๆเขาพูดแบบนั้น”
เก่งนี่ ไหนลองเล่าเรื่องราวของคุณให้ผมฟังหน่อยสิ
“ได้ครับอาจารย์ เรื่องราวที่ผมจะเล่านี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวของผมเอง ผมขอตั้งชื่อเรื่องว่า “กลืนกิน”
..........................................
กลืนกิน

ผมชื่อ กฤษดา เป็นนิสิตแพทย์ปีที่ 3 ผมเป็นคนสนุกสนาน ชอบเที่ยวเตร่เฮฮา จริงๆผมไม่อยากเรียนแพทย์หรอกครับ แต่เพราะพ่อผมเป็นหมอ แม่ผมเป็นพยาบาล ผมถูกปลูกฝังมาแบบนี้ เพื่อให้ผมเป็นหมอ
จนแล้วจนรอด ผมก็ได้มาอยู่ที่นี่จริงๆ แต่วิชาแพทย์การผ่าศพเพื่อศึกษาสรีระร่างกายมนุษย์หรือที่เรียกว่า Gross Anatomy นั้น บอกตรงๆว่าผมกลัวมาก ทุกครั้งที่ต้องขึ้นไปเรียนกับร่างของอาจารย์ใหญ่หรือที่เรียกว่าเข้า Lab Gross นั้น มันทำให้ผมผวาและพาลทำให้ผมไม่อยากเรียนหมอเอาซะเลย อยากลาออกวันนี้พรุ่งนี้
มันสยดสยองมากครับ....!

กลิ่นน้ำยาดองศพ สัมผัสของเนื้อมนุษย์จริงๆ เส้นเลือด เส้นประสาท เนื้อเยื่อ ลูกตา หัวใจ สมอง ตับ  มันต้องจับ ต้องผ่าด้วยมือตัวเอง ผมว่าผมยังไม่พร้อมที่จะเป็นหมอ กลิ่นน้ำยาดองศพติดมือผม ทำให้ผมไม่อยากกินข้าว มันติดแน่นมาก แม้ว่าจะขัดจะถูด้วยสบู่ยังไง ผมก็ยังรู้สึกว่ามันยังมีกลิ่น ติดตัว ติดมือ ติดเสื้อผ้าผมอยู่ตลอด
บางครั้งไปเดินห้าง ไปเที่ยว กลิ่นนี้ก็ยังติดในจมูกผมอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ผม ....หลอน
ก็เพราะเรื่อง Lab Gross ที่ผมไม่ชอบนี่ล่ะครับ เรื่องราวทั้งหมดมันจึงเกิดขึ้น!

ที่มหาลัยแพทย์ที่ผมศึกษาอยู่ มีเรื่องราวที่รุ่นพี่เล่าต่อๆกัน อยู่เรื่องหนึ่ง
นั่นก็คือเรื่อง “พี่หมอโจ้”
พี่หมอโจ้ เป็นหมอที่มหาลัยที่ผมเรียนนี่ล่ะครับ ตัวผอมๆ ตาโปนๆ ผิวดำๆ ว่ากันว่าแกชอบกินช็อกโกแลตมาก เลยผิวสีเหมือนช็อกโกแลต แกเรียนจบเป็นแพทย์แล้ว พี่แกเก่ง Gross Anatomy มาก ถึงมากที่สุด ขนาดที่ว่าในรอบ 10 ปีนี้ ไม่เคยมีใครทำคะแนนวิชานี้ได้มากเท่าพี่แกมาก่อน แกเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียน มีแฟนแล้ว แต่แปลกที่ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร วันๆเอาแต่อ่านหนังสือ กิจกรรมคณะแกก็ไม่ค่อยสน เลยไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนๆเท่าไร
ขณะที่กำลังเรียนนั้น พี่แกก็พักหอนอก ไม่ได้พักหอในมหาลัย เพราะชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ตกเย็นก็จะมารับแฟนที่หอในไปทานข้าวด้วยกัน จากนั้นก็พากันไปอ่านหนังสือใต้ตึกคณะกันจนดึกดื่น
ด้วยความที่พี่แกชอบวิชา Gross Anatomy มาก ก็ขอร้องอาจารย์ เพื่อขอใช้ห้อง Lab Gross ตอนกลางคืนดึกๆด้วย กะว่าจะอยู่กับอาจารย์ใหญ่ยันเช้าเลยว่างั้น แต่ว่าอาจารย์ไม่อนุญาต ตึก Gross จะปิดตอน 6 โมงเท่านั้น พี่แกเลยโกรธ
ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่ศึกษาตำราด้วยตัวเอง จนหามรุ่งหามค่ำ แต่ตำราอย่างไรก็คือตำราไม่มีทางสู้ศึกษาจากร่างจริงๆของอาจารย์ใหญ่ได้ นานวันเข้าแกก็ไม่สนใจคนรอบข้าง แม้แต่แฟนตัวเอง ก็เลยทำให้ทะเลาะกัน เพราะคนนึงเอาแต่เรียน Gross สนใจแต่ Gross สนใจแต่อาจารย์ใหญ่ สุดท้ายก็มีอันต้องเลิกรากัน

อยู่มาวันหนึ่ง มีข่าวว่า แฟนสาวของพี่แกหายตัวไป พี่แกบอกกับตำรวจว่าเจอกันล่าสุดกับแฟนหลายอาทิตย์ก่อน แล้วก็ไม่เจอกันอีก ตำรวจสัณนิษฐานว่า อาจน้อยใจทเรื่องที่ทะเลาะกันกับพี่โจ้ อาจหนีไปต่างจังหวัด หรือฆ่าตัวตายที่ไหนสักแห่ง พยายามหาตัวจนทั่วมหาลัยและที่บ้านของแฟนสาว แต่ก็หาไม่พบ จนทุกวันนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่าพี่คนนี้หายไปไหน

แต่เพื่อนบอกว่า มีคนในหอเดียวกับพี่โจ้ ได้กลิ่นอาจารย์ใหญ่ แถวๆห้องพี่โจ้ จึงเล่ากันปากต่อปากว่า พี่โจ้ฆ่าแฟนตัวเองแล้วเอาศพแฟนไปดองทำเป็นอาจารย์ใหญ่ เพื่อที่จะได้ศึกษา Gross Anatomy จากร่างแฟนของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง

มีคนเคยเห็นพี่โจ้หอบกระเป๋าเข้าออกหอหลายครั้ง  แต่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า ในกระเป๋านั้นมีอะไร แต่ว่ากันว่าทุกครั้งที่เดินผ่านหน้าห้องพี่โจ้ จะต้องได้กลิ่นของร่างอาจารย์ใหญ่ออกมาทุกครั้ง และว่ากันว่า ในกระเป๋านั้นคือร่างอาจารย์ใหญ่ของแฟนเขาเอง

อูยยย ผมเล่าเองยังขนลุกเองเลยครับ

สุดท้ายไม่มีใครรู้เรื่องราวที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร แฟนของพี่โจ้หายไปไหน เมื่อพี่โจ้เรียนจบรับปริญญาเสร็จ ก็ไปอยู่รพ.ชุมชนแถวบ้านพี่เขา แต่สุดท้ายก็มาเสียชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุ ซึ่งที่แปลกก็คือ วันงานสวดศพและเผาศพพี่โจ้ ทุกคนได้กลิ่นของน้ำยาดองศพอาจารย์ใหญ่คละคลุ้งไปทั่วงานศพกันทุกคน
พี่โจ้จึงตายไปพร้อมปริศนาว่า แฟนของพี่เขา อยู่ไหน?

เล่ามาทั้งหมดเนี่ย คือ เรื่องเล่าของพี่หมอโจ้ ที่รุ่นพี่แพทย์เขาเล่าต่อๆกันมาครับ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกันน่ะหรอครับ แล้วทำไมผมต้องมายืนที่หน้าหอพักแห่งนี้ ในตอนดึกๆแบบนี้ ก็จะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ล่ะครับ
หอที่อยู่ตรงหน้าผม เก่าๆโทรมๆแบบนี้ คงเพราะเจ้าของไม่ได้บำรุงรักษามานาน หอนี้จึงเกือบจะเป็นหอร้าง มีคนมาพักบ้างประปราย ถ้าไม่กลัว เรื่องผีๆสางๆน่ะนะครับ
ใช่แล้วละครับ หอโทรมๆวังเวงๆที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้ก็คือ หอพักที่พี่โจ้เคยอยู่ครับ
ชั้น3 ห้องหัวมุม ห้องนั้นล่ะครับ ที่ว่ากันว่าพี่โจ้เคยอยู่

เรื่องราวมันเกิดขึ้นหลังจากแฟนของพี่โจ้หายตัวไป
ทุกๆคืน ตอนดึกๆ มีคนคณะอื่นเล่าว่าเวลาเดินผ่านห้องพี่โจ้ นอกจากจะได้กลิ่นอาจารย์ใหญ่แล้ว จะได้ยินเสียงคนกำลังเคี้ยวอาหารตอนกลางคืน ดัง แจ๊บๆ แจ๊บๆ เหมือนเสียงคนนั่งแทะกระดูกไก่อย่างเอร็ดอร่อย ทำให้คนในชั้นนั้นคิดกันไปต่างๆนานา แต่ก็ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่า ตลอดทั้งคืน พี่โจ้นั่งแทะอะไร?
เขาว่ากันว่า พี่โจ้แทะแฟนของตัวเอง!

หลังจากพี่โจ้สอบผ่านและขึ้นไปอยู่ชั้นคลินิก คือปี 4-5-6 ก็ได้ขนข้าวของออกจากหอทั้งหมด มีหลายคนเข้าอยู่ต่อห้องของพี่โจ้ แต่ก็ไม่มีใครทนอยู่ได้ เพราะในห้องจะมีกลิ่นของอาจารย์ใหญ่คละคลุ้งไปหมด แม้ว่าจะเอาสเปรย์มาฉีด เอาน้ำหอมมาวาง ทาสีใหม่ ก็ไม่ทำให้กลิ่นนั้นหายไป ประกอบกับเรื่องเล่าที่เล่าต่อๆกันมา อันน่าสะพรึงกลัว ทำให้ไม่มีใครกล้าเช่าห้องนั้นต่อ หรือแม้กระทั่งคนในชั้นนั้นก็ผวา

บางคนบอกว่าตกดึกจะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง

บางคนได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังทุบอะไรบางอย่าง ดัง ปึ่ก ปึ่ก ปึ่ก!

บางคนเห็นผู้หญิงใส่ชุดนิสิตแพทย์นั่งอ่านตำรา ห้อยขาอยู่ที่ระเบียงหลังห้อง

นานวันเข้า ทั้งหอพักก็แทบไม่มีคนกล้าพักอาศัยอยู่ จนแทบจะเป็นหอร้าง
.........
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่