สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 23
ถ้าให้ตอบแบบไม่เน้นอุดมการณ์อะไร
ผมว่า สาเหตุหนึ่งที่เด็กหลายคนเรียนกฎหมายก็เป็นเพราะว่า
เมื่อจบไปแล้ว ก็จะสามารถเลือกต่อยอดไปทำงานที่น่าสนใจมากๆ ได้ถึงสามอย่างด้วยกันครับ
1. ผู้พิพากษา
เสน่ห์ของงานนี้คือ "ไม่ต้องดิ้นรนต่อไปอีก"
มี คนรู้จักคนหนึ่งได้บอกไว้ว่า career path ผู้พิพากษานี่ เหมือนกับการขึ้นบันไดเลื่อน ถึงจะไม่ได้ไวพรวดพราด แต่ก็มาแน่ๆ ไม่เหมือนพวกเอกชนที่ต้องวิ่งแข่งเข้าเส้นชัย ไม่ต้องไปดิ้นรนต่อสู้ แก่งแย่งชิงดีอะไรเหมือนกับชาวบ้านหรือภาคเอกชนเขาแล้ว เงินเดือนสามารถอยู่ได้แบบสบายๆ มีสวัสดิการแบบข้าราชการแต่ก็ได้เงินเดือนสูงกว่ามาก สถานะทางสังคมก็ลงตัว และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลายๆคนยอมเสียเวลาเตรียมสอบเนสอบผู้พิพากษาเป็นเวลานานหลายปี
2. ที่ปรึกษากฎหมาย law firm
เสน่ห์ของงานสายนี้ก็คือ "ค่าตอบแทน"
อาชีพนี้มีเงินเดือนสูง ค่าตัวคิดเป็นรายนาทีหรือรายชั่วโมง ถ้าฝ่าฟันไต่เต้าไปเป็น partner ได้ ก็ยิ่งรวยขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม เงินที่สูงนี้ต้องแลกมากับความเครียดจากการทำงานและภาระความรับผิดชอบที่มีสูงมากครับ
3. ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ
งานสายนี้ ไม่ใช่งานสายกฎหมายแบบเพียวๆ เหมือนข้อแรกและข้อสองครับ เด็กจากคณะอื่นๆก็มีโอกาสเข้ามาทำงานได้เช่นกัน
เสน่ห์ของงานสายนี้ก็คือ "วิถีชีวิตระหว่างประเทศ"
เท่าที่เคยคุยกับคนในวงการมา ถ้าไม่ได้เล็งผลเลิศว่าฉันจะต้องไปประจำเมืองสำคัญของโลกอย่างกรุง Washington DC หรืออยากได้เป็นเอกอัครราชทูต แล้ว งานสายนี้ก็น่าสนใจมากเพราะข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศนั้น มีสิทธิได้ออกโพสต์ต่างประเทศ "ทุกคน"
ถึงแม้ตอนอยู่ไทยเงินเดือนไม่มากนักตามสไตล์ข้าราชการก็จริง แต่พอได้ออกโพสต์แล้วเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นไปหลายเท่า ได้ใช้ชีวิตเหนือระดับ
(ซึ่งก็แฟร์ดี เพราะงานสายนี้คือการรักษาผลประโยชน์ประเทศ คล้ายๆ ผู้พิพากษาที่ต้องรักษาความยุติธรรมภาบในประเทศ)
ถ้าได้ไปอยู่ประเทศที่เจริญกว่า ก็จะได้รับเงินเดือนสูงขึ้นให้สอดคล้องกับมาตรฐานค่าครองชีพที่นั่น ตอนอยู่ไทยอาจต้องหางานที่สองมาเพื่อให้ได้รายรับที่เพียงพอ แต่พอได้มาต่างประเทศแล้ว เช่าห้องใหญ่ๆใจกลางเมืองอยู่ได้ เดินทางไปกินร้านอาหารอร่อยๆ แพงๆ ได้บ่อยกว่าเดิมโดยที่ขนหน้าแข้งไม่ร่วง หรือถ้าเลือกที่จะใช้ชีวิตประหยัดหน่อย ก็ได้เงินเก็บก้อนโตกลับมาไทย
ถ้าได้ไปอยู่ประเทศที่เจริญน้อยกว่า ก็ยังคงได้เงินเดือนสูงอยู่ดีเพื่อเป็นการรักษาระดับคุณภาพชีวิต มีคนกระทรวงต่างประเทศหลายคนเลยที่อยากไปประจำประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว พม่า กัมพูชา เวียตนาม มากกว่าประเทศใหญ่ๆอย่าง อเมริกา จีน ญี่ปุ่นด้วยซ้ำ โดยให้เหตุผลว่า ได้เงินแบบฝรั่ง แต่ค่าครองชีพเท่าชนบทของไทย
ผมว่า สาเหตุหนึ่งที่เด็กหลายคนเรียนกฎหมายก็เป็นเพราะว่า
เมื่อจบไปแล้ว ก็จะสามารถเลือกต่อยอดไปทำงานที่น่าสนใจมากๆ ได้ถึงสามอย่างด้วยกันครับ
1. ผู้พิพากษา
เสน่ห์ของงานนี้คือ "ไม่ต้องดิ้นรนต่อไปอีก"
มี คนรู้จักคนหนึ่งได้บอกไว้ว่า career path ผู้พิพากษานี่ เหมือนกับการขึ้นบันไดเลื่อน ถึงจะไม่ได้ไวพรวดพราด แต่ก็มาแน่ๆ ไม่เหมือนพวกเอกชนที่ต้องวิ่งแข่งเข้าเส้นชัย ไม่ต้องไปดิ้นรนต่อสู้ แก่งแย่งชิงดีอะไรเหมือนกับชาวบ้านหรือภาคเอกชนเขาแล้ว เงินเดือนสามารถอยู่ได้แบบสบายๆ มีสวัสดิการแบบข้าราชการแต่ก็ได้เงินเดือนสูงกว่ามาก สถานะทางสังคมก็ลงตัว และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลายๆคนยอมเสียเวลาเตรียมสอบเนสอบผู้พิพากษาเป็นเวลานานหลายปี
2. ที่ปรึกษากฎหมาย law firm
เสน่ห์ของงานสายนี้ก็คือ "ค่าตอบแทน"
อาชีพนี้มีเงินเดือนสูง ค่าตัวคิดเป็นรายนาทีหรือรายชั่วโมง ถ้าฝ่าฟันไต่เต้าไปเป็น partner ได้ ก็ยิ่งรวยขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม เงินที่สูงนี้ต้องแลกมากับความเครียดจากการทำงานและภาระความรับผิดชอบที่มีสูงมากครับ
3. ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ
งานสายนี้ ไม่ใช่งานสายกฎหมายแบบเพียวๆ เหมือนข้อแรกและข้อสองครับ เด็กจากคณะอื่นๆก็มีโอกาสเข้ามาทำงานได้เช่นกัน
เสน่ห์ของงานสายนี้ก็คือ "วิถีชีวิตระหว่างประเทศ"
เท่าที่เคยคุยกับคนในวงการมา ถ้าไม่ได้เล็งผลเลิศว่าฉันจะต้องไปประจำเมืองสำคัญของโลกอย่างกรุง Washington DC หรืออยากได้เป็นเอกอัครราชทูต แล้ว งานสายนี้ก็น่าสนใจมากเพราะข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศนั้น มีสิทธิได้ออกโพสต์ต่างประเทศ "ทุกคน"
ถึงแม้ตอนอยู่ไทยเงินเดือนไม่มากนักตามสไตล์ข้าราชการก็จริง แต่พอได้ออกโพสต์แล้วเงินเดือนจะเพิ่มขึ้นไปหลายเท่า ได้ใช้ชีวิตเหนือระดับ
(ซึ่งก็แฟร์ดี เพราะงานสายนี้คือการรักษาผลประโยชน์ประเทศ คล้ายๆ ผู้พิพากษาที่ต้องรักษาความยุติธรรมภาบในประเทศ)
ถ้าได้ไปอยู่ประเทศที่เจริญกว่า ก็จะได้รับเงินเดือนสูงขึ้นให้สอดคล้องกับมาตรฐานค่าครองชีพที่นั่น ตอนอยู่ไทยอาจต้องหางานที่สองมาเพื่อให้ได้รายรับที่เพียงพอ แต่พอได้มาต่างประเทศแล้ว เช่าห้องใหญ่ๆใจกลางเมืองอยู่ได้ เดินทางไปกินร้านอาหารอร่อยๆ แพงๆ ได้บ่อยกว่าเดิมโดยที่ขนหน้าแข้งไม่ร่วง หรือถ้าเลือกที่จะใช้ชีวิตประหยัดหน่อย ก็ได้เงินเก็บก้อนโตกลับมาไทย
ถ้าได้ไปอยู่ประเทศที่เจริญน้อยกว่า ก็ยังคงได้เงินเดือนสูงอยู่ดีเพื่อเป็นการรักษาระดับคุณภาพชีวิต มีคนกระทรวงต่างประเทศหลายคนเลยที่อยากไปประจำประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว พม่า กัมพูชา เวียตนาม มากกว่าประเทศใหญ่ๆอย่าง อเมริกา จีน ญี่ปุ่นด้วยซ้ำ โดยให้เหตุผลว่า ได้เงินแบบฝรั่ง แต่ค่าครองชีพเท่าชนบทของไทย
ความคิดเห็นที่ 33
ที่เรียนเพราะไม่ชอบคณิต ซึ่ง กม.ไม่มีการคำนวน
จะหางานมันก็อยู่ทีว่าเรา จะมุ่งมั่นเเค่ไหน สอบไปอ่านไปเดียวมันก็ได้สักสนามคับ ถ้าคุณมีความพยายาม
ผมจะเล่าให้ฟ้ง นานมาละ รุ่นพี่ เรียนราม7ปี จบเเล้วสอบใบอนุญาตทนาย3ปีกว่าจะผ่าน เรียนเนติ 5ปีถึงจะจบ ซึ่งเพื่อนๆรุ่นเดียวจบเนติกันหมดเเล้วตอนอายุ25-26 ก็ล้อว่าโง่เป็นควายชาติไหนจะจบ ชาติไหนจะสอบท่านได้ หลังจากนั้นเมื่อเรียนจบทุกอย่างสามารถสอบท่านได้เป็นครั้งเเรกเเละครั้งเดียวก็มีชื่อยู่ในบัญชี ตอนนั้นอายุ31หรือ32นี้ละ ส่วนเพื่อนที่ว่าโง่เป็นควาย ก็ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิมผ่านมาก็จะ5ปีเเล้ว
ผมว่านะอย่าหลอกตัวเองว่าเก่งฉลาด อย่ามองคนอื่นว่าโง่ อย่าท้อกับความล้มเหลว อย่าคิดว่าเป็นจังหวะชีวิต เเล้วจงคิดว่าทุกอย่างเราจะกำหนดมันเอง
จะหางานมันก็อยู่ทีว่าเรา จะมุ่งมั่นเเค่ไหน สอบไปอ่านไปเดียวมันก็ได้สักสนามคับ ถ้าคุณมีความพยายาม
ผมจะเล่าให้ฟ้ง นานมาละ รุ่นพี่ เรียนราม7ปี จบเเล้วสอบใบอนุญาตทนาย3ปีกว่าจะผ่าน เรียนเนติ 5ปีถึงจะจบ ซึ่งเพื่อนๆรุ่นเดียวจบเนติกันหมดเเล้วตอนอายุ25-26 ก็ล้อว่าโง่เป็นควายชาติไหนจะจบ ชาติไหนจะสอบท่านได้ หลังจากนั้นเมื่อเรียนจบทุกอย่างสามารถสอบท่านได้เป็นครั้งเเรกเเละครั้งเดียวก็มีชื่อยู่ในบัญชี ตอนนั้นอายุ31หรือ32นี้ละ ส่วนเพื่อนที่ว่าโง่เป็นควาย ก็ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิมผ่านมาก็จะ5ปีเเล้ว
ผมว่านะอย่าหลอกตัวเองว่าเก่งฉลาด อย่ามองคนอื่นว่าโง่ อย่าท้อกับความล้มเหลว อย่าคิดว่าเป็นจังหวะชีวิต เเล้วจงคิดว่าทุกอย่างเราจะกำหนดมันเอง
แสดงความคิดเห็น
ทำไมคนชอบเรียนกันจัง นิติศาสตร์ ทั้งที่หางานยาก ตกงานเยอะ
เรียนจบแล้วยังไม่พอ ต้องไปสอบทนายว่าความ ต้องไปเรียนเนติ ต้องไปเก็บคติ สอบผู้ช่วย ฯ สอบอัยการผู้ช่วย สอบบล่าๆๆๆ
เรียนก็หนัก แต่ว่าค่าเทอมก็ไม่แพงหรอกของม.ราม หรือที่อื่นก็ไม่ทราบ ทีนี้จบมาแล้วปีละหลายคน มาหางานกัน สอบต่างๆ
ต้องมาแย่งงานกัน หรือคนที่ต้องการไปสอบท่านสอบอะไร ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ "เหมือนเขาว่า หลงนิติเสียเวลา หลงผู้พิพากษาเสียอนาคต"
เฮ้อ เครียดๆๆๆ