- ดูจบแม้จะไม่ร้องไห้เละเทะเท่าตอนดู The Wind Rises แต่ก็ยังน้ำตาซึมอยู่ดี
- สำหรับใครที่ไม่รู้ The Tale of the Princess Kaguya เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นของสตูดิโอ Ghibli ที่ดัดแปลงมาจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นอย่างตำนานคนตัดไผ่หรือตํานานเจ้าหญิงคางุยะ หนังเป็นผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ Isao Takahata ผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ Ghibli และผู้กำกับหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นที่หดหู่ที่สุดในโลกอย่าง Grave of the Fireflies ความจริงหนังเข้าฉายที่ญี่ปุ่นไปตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้วภายในเวลาไล่เลี่ยกับ The Wind Rises แต่ตัวเองจะมามีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้เอาก็ตอนที่หนังได้เข้าฉายแบบจำกัดโรงที่อเมริกาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
- ลายเส้นสไตล์ภาพเขียนพู่กันญี่ปุ่นของหนังเลิศเลอที่สุดในสามโลก ซึ่งงานภาพของหนังนี่แหละคือส่วนสำคัญเลยที่ทำให้หนังเรื่องนี้ให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากหนังของ Ghibli ทุกเรื่องที่เคยมีมา ถึงแม้ว่าโครงสร้างของหนังเรื่องนี้จะไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากหนังเรื่องที่แล้วๆมาของ Ghibli สักเท่าไหร่ก็ตาม(ที่แน่ๆคือ“ลายเซ็น”ที่พบเห็นได้ในหนังของ Ghibli ส่วนใหญ่อย่างธีมรักษ์โลก,กลิ่นอายเฟมินิสต์ก็ยังมีให้เห็นในหนังเรื่องนี้อยู่)
- การดำเนินเรื่องของหนังค่อนข้างจะค่อยเป็นค่อยไปตามสไตล์ของปู่ Takahata ฉะนั้นใครที่คาดหวังความหวือหวาแบบในหนังของปู่ Hayao Miyazaki จึงอาจจะต้องทำใจกันสักหน่อย คือถ้าใครคิดว่าอย่าง The Wind Rises นี่ช้าแล้ว The Tale of the Princess Kaguya นี่ช้ากว่าเยอะ แต่ก็ต้องขอให้เข้าใจตรงกันว่าหนังที่เดินเรื่องช้าไม่จำเป็นจะต้องเป็นหนังที่น่าเบื่อเสมอไป
- ถึงลายเส้นและการดำเนินเรื่องของหนังจะให้อารมณ์แบบนิทานพื้นบ้านสำหรับเด็ก แต่ปู่ Takahata ก็ยังมิวายหาทางปล่อยหมัดแย็บใส่อารมณ์ความรู้สึกของคนดูได้เหมือนเดิม(ย้ำอีกครั้งว่าปู่แกเป็นคนกำกับ Grave of the Fireflies) มีหลายฉากเลยที่ตัวเองดูแล้วรู้สึกสงสารนางเอกของเรื่องมากๆจนส่วนตัวแทบจะยกให้นางเอกเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนางเอกหนัง Ghibli ที่ชีวิตรันทดที่สุดแล้ว หนังมีท่าทีเสียดแทงสังคมชายเป็นใหญ่ผู้หญิงเป็นรองของญี่ปุ่นสมัยโบราณอย่างชัดเจนด้วยการให้นางเอกต้องทนใช้ชีวิตอยู่ใต้บรรทัดฐานของสังคมชนชั้นสูงและยังต้องตกเป็นที่หมายปองของเหล่าขุนนางมากหน้าหลายตา
ในหลายๆแง่ The Tale of the Princess Kaguya คือหนังแอนิเมชั่นที่ทำลายมายาคติของการเป็นเจ้าหญิงลงอย่างราบคาบ สำหรับหนังเรื่องนี้แล้วการเป็นเจ้าหญิงนั้นหาใช่การได้ออกผจญภัยไปยังโลกกว้างและ/หรือการได้ครองคู่กับเจ้าชายรูปหล่อแบบในหนังแอนิเมชั่นชวนฝันของค่าย Disney แต่มันคือการถูกริดรอนเสรีภาพภายใต้กรอบสังคมที่มองผู้หญิงเป็นเพียงเบี้ยล่างของผู้ชาย พูดง่ายๆคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้พยายามจะบอกกับคนดูก็คือการเป็นเจ้าหญิงนั่นมันไม่ใช่อะไรที่น่าสนุกเลย(อย่างน้อยก็ภายในบริบทของหนัง)
แถมครึ่งหลังของหนังยังมีการเอาธีมเกี่ยวกับเวลาและความไม่จีรังของชีวิตมนุษย์มาผสมโรงได้อย่างถึงอารมณ์ชนิดที่คนดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็คงจะจุกอกตามกันไปเป็นแถวๆ แม้แต่ฉากที่น่าจะถือได้ว่าเป็นฉากที่งดงามที่สุดของหนังอย่างฉากที่ Kaguya กับ Sutemaru คู่พระ-นางของหนังมีโอกาสพบเจอกันอีกครั้งหลังจากที่ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกันหลายปีก็เป็นฉากที่จบลงได้อย่างเศร้าสร้อย ถ้ามองแต่เพียงผิวเพิน The Tale of the Princess Kaguya อาจเข้าข่ายเป็นหนังแฟนตาซีที่ดัดแปลงมาจากเทพนิยายปรัมปราก็จริง แต่แต่ละประเด็นที่หนังเรื่องนี้นำเสนอคืออะไรที่เรียลมากๆ
- ไหนๆก็พูดถึง Disney แล้ว จะว่าไปชะตาชีวิตของ Kaguya ในหนังเรื่องนี้ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับ Elsa จาก Frozen อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ในขณะที่ Elsa สามารถหนีออกจาก“กรงขัง”ของตัวเองและแถมยังสามารถประกาศก้องให้โลกได้รู้ว่าเธอเป็นอิสระด้วยเพลงป๊อปสุดอลังอย่าง “Let It Go” Kaguya ไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้(ก็แน่ล่ะ)จนนำไปสู่บทสรุปอันหวานขมของหนัง
- เอาจริงๆมันมีความเป็นไปได้สูงอยู่เหมือนกันที่หนังเรื่องนี้จะเป็นผลงานกำกับชิ้นสุดท้ายของปู่ Takahata เพราะตอนนี้อายุอานามของปู่ Takahata แกก็ปาเข้าไป 78 แล้ว ถึงปู่แกจะไม่ได้ประกาศเกษียณตัวเองอย่างเป็นทางการแบบปู่ Miyazaki เราก็ไม่มีทางรู้ได้แน่ๆหรอกว่าปู่ Takahata แกจะอยู่ทำหนังให้พวกเราดูไปได้อีกนานแค่ไหน แต่กระนั้นถ้าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของปู่ Takahata จริงๆ(ซึ่งเราก็หวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น) มันก็เป็นผลงานส่งท้ายที่ไม่เลวเลย
8.5/10
ตัวอย่างหนัง
อย่าลืมแวะเข้าไปเยี่ยมเยียมเพจคุยเรื่องหนัง/เพลง/เกม/การ์ตูน/ทีวีซีรี่ส์แบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมกันนะครับ
>>>
https://www.facebook.com/appleoneoone
[CR] [ดูที่อเมริกาแล้วมารีวิว] The Tale of the Princess Kaguya ...ตำนานคนตัดไผ่จากมุมมองของสตูดิโอ Ghibli
- ดูจบแม้จะไม่ร้องไห้เละเทะเท่าตอนดู The Wind Rises แต่ก็ยังน้ำตาซึมอยู่ดี
- สำหรับใครที่ไม่รู้ The Tale of the Princess Kaguya เป็นภาพยนตร์แอนิเมชั่นของสตูดิโอ Ghibli ที่ดัดแปลงมาจากตำนานพื้นบ้านของญี่ปุ่นอย่างตำนานคนตัดไผ่หรือตํานานเจ้าหญิงคางุยะ หนังเป็นผลงานกำกับชิ้นล่าสุดของ Isao Takahata ผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอ Ghibli และผู้กำกับหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นที่หดหู่ที่สุดในโลกอย่าง Grave of the Fireflies ความจริงหนังเข้าฉายที่ญี่ปุ่นไปตั้งแต่เมื่อปลายปีที่แล้วภายในเวลาไล่เลี่ยกับ The Wind Rises แต่ตัวเองจะมามีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนี้เอาก็ตอนที่หนังได้เข้าฉายแบบจำกัดโรงที่อเมริกาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
- ลายเส้นสไตล์ภาพเขียนพู่กันญี่ปุ่นของหนังเลิศเลอที่สุดในสามโลก ซึ่งงานภาพของหนังนี่แหละคือส่วนสำคัญเลยที่ทำให้หนังเรื่องนี้ให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างไปจากหนังของ Ghibli ทุกเรื่องที่เคยมีมา ถึงแม้ว่าโครงสร้างของหนังเรื่องนี้จะไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างไปจากหนังเรื่องที่แล้วๆมาของ Ghibli สักเท่าไหร่ก็ตาม(ที่แน่ๆคือ“ลายเซ็น”ที่พบเห็นได้ในหนังของ Ghibli ส่วนใหญ่อย่างธีมรักษ์โลก,กลิ่นอายเฟมินิสต์ก็ยังมีให้เห็นในหนังเรื่องนี้อยู่)
- การดำเนินเรื่องของหนังค่อนข้างจะค่อยเป็นค่อยไปตามสไตล์ของปู่ Takahata ฉะนั้นใครที่คาดหวังความหวือหวาแบบในหนังของปู่ Hayao Miyazaki จึงอาจจะต้องทำใจกันสักหน่อย คือถ้าใครคิดว่าอย่าง The Wind Rises นี่ช้าแล้ว The Tale of the Princess Kaguya นี่ช้ากว่าเยอะ แต่ก็ต้องขอให้เข้าใจตรงกันว่าหนังที่เดินเรื่องช้าไม่จำเป็นจะต้องเป็นหนังที่น่าเบื่อเสมอไป
- ถึงลายเส้นและการดำเนินเรื่องของหนังจะให้อารมณ์แบบนิทานพื้นบ้านสำหรับเด็ก แต่ปู่ Takahata ก็ยังมิวายหาทางปล่อยหมัดแย็บใส่อารมณ์ความรู้สึกของคนดูได้เหมือนเดิม(ย้ำอีกครั้งว่าปู่แกเป็นคนกำกับ Grave of the Fireflies) มีหลายฉากเลยที่ตัวเองดูแล้วรู้สึกสงสารนางเอกของเรื่องมากๆจนส่วนตัวแทบจะยกให้นางเอกเรื่องนี้เป็นหนึ่งในนางเอกหนัง Ghibli ที่ชีวิตรันทดที่สุดแล้ว หนังมีท่าทีเสียดแทงสังคมชายเป็นใหญ่ผู้หญิงเป็นรองของญี่ปุ่นสมัยโบราณอย่างชัดเจนด้วยการให้นางเอกต้องทนใช้ชีวิตอยู่ใต้บรรทัดฐานของสังคมชนชั้นสูงและยังต้องตกเป็นที่หมายปองของเหล่าขุนนางมากหน้าหลายตา
ในหลายๆแง่ The Tale of the Princess Kaguya คือหนังแอนิเมชั่นที่ทำลายมายาคติของการเป็นเจ้าหญิงลงอย่างราบคาบ สำหรับหนังเรื่องนี้แล้วการเป็นเจ้าหญิงนั้นหาใช่การได้ออกผจญภัยไปยังโลกกว้างและ/หรือการได้ครองคู่กับเจ้าชายรูปหล่อแบบในหนังแอนิเมชั่นชวนฝันของค่าย Disney แต่มันคือการถูกริดรอนเสรีภาพภายใต้กรอบสังคมที่มองผู้หญิงเป็นเพียงเบี้ยล่างของผู้ชาย พูดง่ายๆคือสิ่งที่หนังเรื่องนี้พยายามจะบอกกับคนดูก็คือการเป็นเจ้าหญิงนั่นมันไม่ใช่อะไรที่น่าสนุกเลย(อย่างน้อยก็ภายในบริบทของหนัง)
แถมครึ่งหลังของหนังยังมีการเอาธีมเกี่ยวกับเวลาและความไม่จีรังของชีวิตมนุษย์มาผสมโรงได้อย่างถึงอารมณ์ชนิดที่คนดูทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็คงจะจุกอกตามกันไปเป็นแถวๆ แม้แต่ฉากที่น่าจะถือได้ว่าเป็นฉากที่งดงามที่สุดของหนังอย่างฉากที่ Kaguya กับ Sutemaru คู่พระ-นางของหนังมีโอกาสพบเจอกันอีกครั้งหลังจากที่ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกันหลายปีก็เป็นฉากที่จบลงได้อย่างเศร้าสร้อย ถ้ามองแต่เพียงผิวเพิน The Tale of the Princess Kaguya อาจเข้าข่ายเป็นหนังแฟนตาซีที่ดัดแปลงมาจากเทพนิยายปรัมปราก็จริง แต่แต่ละประเด็นที่หนังเรื่องนี้นำเสนอคืออะไรที่เรียลมากๆ
- ไหนๆก็พูดถึง Disney แล้ว จะว่าไปชะตาชีวิตของ Kaguya ในหนังเรื่องนี้ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับ Elsa จาก Frozen อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ในขณะที่ Elsa สามารถหนีออกจาก“กรงขัง”ของตัวเองและแถมยังสามารถประกาศก้องให้โลกได้รู้ว่าเธอเป็นอิสระด้วยเพลงป๊อปสุดอลังอย่าง “Let It Go” Kaguya ไม่สามารถทำอะไรแบบนั้นได้(ก็แน่ล่ะ)จนนำไปสู่บทสรุปอันหวานขมของหนัง
- เอาจริงๆมันมีความเป็นไปได้สูงอยู่เหมือนกันที่หนังเรื่องนี้จะเป็นผลงานกำกับชิ้นสุดท้ายของปู่ Takahata เพราะตอนนี้อายุอานามของปู่ Takahata แกก็ปาเข้าไป 78 แล้ว ถึงปู่แกจะไม่ได้ประกาศเกษียณตัวเองอย่างเป็นทางการแบบปู่ Miyazaki เราก็ไม่มีทางรู้ได้แน่ๆหรอกว่าปู่ Takahata แกจะอยู่ทำหนังให้พวกเราดูไปได้อีกนานแค่ไหน แต่กระนั้นถ้าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังเรื่องสุดท้ายของปู่ Takahata จริงๆ(ซึ่งเราก็หวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น) มันก็เป็นผลงานส่งท้ายที่ไม่เลวเลย
8.5/10
ตัวอย่างหนัง
อย่าลืมแวะเข้าไปเยี่ยมเยียมเพจคุยเรื่องหนัง/เพลง/เกม/การ์ตูน/ทีวีซีรี่ส์แบบจิปาถะแบบตามใจตัวเองของผมกันนะครับ >>> https://www.facebook.com/appleoneoone