หนีดรามามาสูดโอโซนที่ "ฉงชิ่ง" ดินแดนอารยธรรมโบราณหลังม่านหมอก

สวัสดีค่ะ นี่เป็นการเขียนรีวิวการเดินทางของเราเป็นครั้งแรก อาจมีตะกุกตะกักบ้าง เล่าขาดๆเกินๆบ้าง ฝีมือถ่ายภาพก็ถ่ายกันแบบชาวบ้านๆเลย U///U เบลอบ้างมึนบ้าง
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็อยากจะแชร์ความรู้สึกดีดี ที่ในชีวิต เราเคยได้ไปพานพบ ในต้นปีที่ผ่านมา  อยากจะเล่าเรื่องราว เหมือนเป็นเรื่องราวในไดอารี่เล่มเล็กๆของเรา ก่อนที่จะผ่านพ้นปีนี้ไป...สู่ปี2015


ขอเกริ่นนิดนึงว่า..การเดินทางครั้งนี้เรามาตัดสินใจไปในวินาทีสุดท้าย ระยะหลังๆเราโหมงานเรียนหนักมาก บวกกับความว้าวุ่นใจ ฮอร์โมนแปรปรวณในวัยใกล้จบ เรารู้สึกเคว้ง กังวล สมองที่เหมือนจะตีบตันในเมืองใหญ่ท่ามกลางฝุ่นควัน ความแออัดและปัญหาง้องแง้งในชีวิต นั่นล่ะค่ะ  เราเลยขอหยุดสมอง พักใจ วางปากกา เก็บเสื้อผ้า ใส่รองเท้า .. แล้วออกเดินทาง อยากจะไปที่ไหนสักที่เพื่อหายใจก่อนที่จะกลับมาเผชิญชีวิตดรามาวัยใกล้เรียนจบ...


โจทย์คือ เมืองที่ไม่แพง ของกินอร่อย ราคาโอเค ไม่เน้นช็อปมาก เน้นเมืองโอโซน เมืองที่มีทัศนียภาพที่งดงามและอารยธรรมที่ยาวนาน ส่วนตัวเราชอบเมืองโบราณๆ สถาปัตยกรรมสวยๆ วิวดีๆ ธรรมชาติหน่อยค่ะ  

"มหานครฉงชิ่ง" คือ 1 ในตัวเลือกที่เราไม่ทันได้คาดคิดมาก่อน บวกกับซาวด์เสียง ทุกคนตกลง ก็  โอเค.. ไปเลยค่ะ.. อย่าไปคิดอะไรมาก เพราะเราไม่รู้หรอกว่าจะไปเจออะไร เราก็แค่ไป แค่ออกเดินทาง...


ข้อมูลเมืองนิดหน่อย ข้ามไปก็ได้นะ >[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เราเลือกสายการบินสีแดงค่ะ ด้วยช้อยส์ที่ว่าต้องถูกนะจ๊ะ 55555+

ท้องฟ้าโปร่งในเดือนเมษา แสงแดดจัดตัดผ่านเมฆ ประกายวิบวับแยงเข้าตาผู้โดยสารโซนซ้ายแทบทุกราย..

เมนูในราคาสุดประหยัด โอเค ก็..อร่อยนะ ของร้านสีฟ้า (แต่น้ำเติมไม่ได้จ่ะ ไม่มี ต้องซื้อขวดใหม่only  แล้วไงละ เผลอซื้อไปแล้ว ราคานี่.. เห็นแล้วอยากจะกินขวดประชดแอร์ 555)[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เดินทางไม่กี่ ชม กินข้าวเพิ่งเสร็จ ห้องน้ำเพิ่งเข้า ยังเหล่สจ๊วตไม่ครบทุกคน


ปุบปับก็ถึงที่หมาย...

- ท่าอากาศยานนานาชาติฉงชิ่งเจียงเป่ย์ - //ฝนเพิ่งหยุดอากาศชื้นเล็กน้อย กลิ่นแมกไม้และฝนปรายๆ


...สวัสดี ฉงชิ่ง...


เมืองสีเอิร์ทโทนที่รวมวัฒนธรรมกับอาคารไว้ด้วยกันอย่างเนียนๆ


ตึกแฟลตเรียงรายเป็นทิวคล้ายรังผึ้ง มนุษย์ทั้งหลายเริ่มออกมาทำงาน


อาซ้อก็ออกมาจ้อกกิ้งอย่างนอยๆแต่เช้า


แท็กซี่...#ทำไมต้องเปิดกระจกทำหน้าเหงาใส่ด้วยก็ไม่รู้~


ถึงร้านอาหารแรกแล้วค่ะ   #อะไรนะกินเลยหรอ
เป็นภัตตาคารอาหารจีนแบบสไตล์ฉงชิ่ง  ไม่ไกลมากจากแอร์พอร์ต เพราะคือตอนนี้ทุกคนเหมือนปอบลง ไม่สามารถกลั้นหิวไปได้มากกว่านี้แล้ว


มื้อแรก ผัดผักปริมาณจุใจ หมูผัดถั่ว และเปรี้ยวหวาน


กินเสร็จ ไม่ต้องนั่งย่งนั่งย่อยมันละ ลุกไปต่อเลยจ่ะ..


วันแรกไม่ทำไรมาก...

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
-ถ้ำฝูหยงต้ง (มรดกโลกทางธรรมชาติระดับ4A) -




บริเวณนี้เรียกว่าเป็น1ในตัวหลักของถ้ำ มีความเชื่อว่าเป็นเถาว์หินของยมโลก

ถ่ายไปถ่ายมา ก็แอบคิดนะ ว่ามันจะมีนางเงือกหรือสัตว์ประหลาดอะไรในนี้ไหม #งานมโนต้องมา


อันนี้เป็นตัวหลักของถ้ำค่ะ (ขออภัยถ่ายไม่ชัด) เป็นหินที่เมื่อถ่ายมุมด้านข้างแล้ว จะเหมือนกับรูปทรงของพระพุทธเจ้าบรรทม คนจีนเข้ามาไหว้ขอพรกันมาก สังเกตจากร่องรอยแป้งพวงมาลัยเจ็ดสี เอ้ยย ธูปปักประปราย เหรียญเงินและสายประคำ ค่ะ ...

จบทัวร์ถ้ำหิน ไปพักกันที่โรงแรม เมืองที่อยู่นี่ คือเมืองอู่หลง (ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชั่วโมง)  ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ เมืองฉงชิ่ง เป็นเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาโอบล้อมด้วยภูเขาสูง ทำให้เมืองนี้มีป่าไม้และพื้นที่สีเขียวเยอะแลพอากาศดี มีแม่น้ำอู่เจียงไหลตัดผ่านกลางเมือง โรงแรมแรกที่ไปพักชื่อ Wulong Evian Hotel ระดับ4ดาว
พักรวมกับครอบครัว เลยเป็นห้องสูทใหญ่ มีระเบียงและทางเชื่อมติดกันกับอีกห้องญาติ

ตกค่ำ ไปดูโชว์ IMPRESSION WULONG
ผลงานของผู้กำกับจางอวี้โหมว ซึ่งเนรมิตหุบเขาของเมืองอู่หลงทั้งเขาให้กลายเป็นฉาก ที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตและประวัตศาสตร์ของผู้คนโชว์ มีผู้แสดงกว่า 500 คนและชมระบบแสง สี เสียง อันยิ่งใหญ่ ตระการตามากๆค่ะ
ทางเข้าที่บอกเล่าเรื่องราวของคนลากเรือ ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวเมืองในอดีต

ช่างเป็นวิถีชีวิตที่น่าเร้าใจจริงๆ(...)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ตระการตาท่ามกลางละอองหมอก และแสงสีกลางหุบเขา




เรื่องราวของหญิงสาวที่ต้องพรากจากหนุ่มชาวเรือที่รัก ที่ต้องออกเดินทางเพื่อทำงานไกล
และการคิดถึงครอบครัวฝั่งแม่ของตน (เพราะว่าตามประเพณี ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วจะแทบไม่มีโอกาสกลับมาดูแลครอบครัวตัวเองเลย การจากลาจึงเหมือนกับส่งลูกสาวเข้าสู่สนามรบที่เธอแทบไม่มีวันกลับมา)


กลับมาที่พักก็หลับเป็นตายค่ะ หนาวมาก น้ำเนิ้มแทบไม่อาบ



อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่สองค่ะ วันนี้หมอกลงจัด แต่อากาศไม่หนาวสะท้านมาก
หมอกหนาไม่หนาแค่ไหน จากภาพแทบจะกลืนโรงแรมหายไปอยู่รอมร่อ...


วันนี้เราไปกันที่...




" หลุมฟ้า 3 สะพานสวรรค์"
เป็นสถานที่ๆเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดเป็นบ่อหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกประมาณ 300-500 เมตร และมีบางส่วนเป็นโพรงทะลุเหมือนกับสะพานทอดข้ามระหว่างภูเขา ที่นี่มีโรงเตี๊ยมเก่าๆซึ่งเป็นจุดแวะพักของคนเดินทางในสมัยก่อนตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ถัง
และที่นี่เอง ก็ถูกใช้เป็นฉากการถ่ายทำหนังเรื่อง"ศึกโค่นบันลังก์วังทอง" และ  "Transformers ภาค4"  ง่อววว~

ทางขึ้นเดี๋ยวนี้เป็นลิฟท์แก้วแล้วนะจ๊ะ ไม่ต้องปีนบันไดกันให้เมื่อยตุ้ม เดี๋ยวค่อยเอาแรงไปเดินสวยๆต่อในอุทยานดีกว่า

ตือดึง~  โผล่มาก็บ๊ะกับพี่มังกือ จากตรงนี้ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาอธิบายบลาๆๆ ว่าควรเดินตามเส้นทางและต้องปฎิบัติตัวยังไง

เดินลัดเลาะลงบันไดไปอีกนิด ก็มาพบกับพี่มังกือสลักตัวจริงเสียงจริง


ยินดีต้อนรับสู่หุบเขามังกร...


เผลอแหงนหน้ามองขึ้นมา เข้าใจแล้วทำไมถึงเรียก ปากทางสู่สวรรค์


ฝีมือถ่ายรูป จขกท อยู่ในโหมดที่...เก็บความงามมาได้เท่านี้ มันไม่สามารถเก็บความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมาได้ครบ .. U U

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ส่วนนี้เรียกว่า ช่องแคบดาบสวรรค์ค่ะ  เป็นไฮไลค์ของการไปเซลฟี่คู่มาก แต่เสียดายที่จขกท มัวแต่ถ่ายวิว(กะถ่ายให้ชาวบ้าน) เลยพลาดจุดนี้ไป TT


[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมโบราณ (มีชุดให้ใส่คอสเพลย์ถ่ายรูปเป็นองค์หญิงองค์ชายฮองเฮาด้วยนะเออ ราคาตกประมาณ400-600 บาท)


กล้องเก็บรอบไม่ไหว ขอใช้แอปพาโนรามายาวๆ

คาถาแยกร่าง หั้ยย่ะ!

เวลาเกือบเที่ยงแล้ว แต่ที่นี่ยังคงมีหมอกปกคลุมอยู่เบาบาง น้ำค้าง ละอองฟ้า ของป่าฝน ทำให้ได้สูดโอโซนเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก


เราสามารถพบน้ำตกสายเล็กสายน้อยได้ในทุกๆที่ น้ำที่นี่สะอาดจนสามารถตักดื่มได้

ทางเดินผ่านทางราบผ่านสะพาน พาไปสู่ช่องทางเดินในหุบเขาแล้วหุบเขาเล่า








แปปๆ เราก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด...
ที่นี่จะมีรถบริการลงเขาฟรีค่ะ แค่อย่าทำตั๋วเข้าหายก็พอ 55


ขอพักไปทำธุระก่อนนะคะ เดี๋ยวต่อไปจะพาไปชมตลาด

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่