สวัสดีค่ะ นี่เป็นการเขียนรีวิวการเดินทางของเราเป็นครั้งแรก อาจมีตะกุกตะกักบ้าง เล่าขาดๆเกินๆบ้าง ฝีมือถ่ายภาพก็ถ่ายกันแบบชาวบ้านๆเลย U///U เบลอบ้างมึนบ้าง
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็อยากจะแชร์ความรู้สึกดีดี ที่ในชีวิต เราเคยได้ไปพานพบ ในต้นปีที่ผ่านมา อยากจะเล่าเรื่องราว เหมือนเป็นเรื่องราวในไดอารี่เล่มเล็กๆของเรา ก่อนที่จะผ่านพ้นปีนี้ไป...สู่ปี2015
ขอเกริ่นนิดนึงว่า..การเดินทางครั้งนี้เรามาตัดสินใจไปในวินาทีสุดท้าย ระยะหลังๆเราโหมงานเรียนหนักมาก บวกกับความว้าวุ่นใจ ฮอร์โมนแปรปรวณในวัยใกล้จบ เรารู้สึกเคว้ง กังวล สมองที่เหมือนจะตีบตันในเมืองใหญ่ท่ามกลางฝุ่นควัน ความแออัดและปัญหาง้องแง้งในชีวิต นั่นล่ะค่ะ เราเลยขอหยุดสมอง พักใจ วางปากกา เก็บเสื้อผ้า ใส่รองเท้า .. แล้วออกเดินทาง อยากจะไปที่ไหนสักที่เพื่อหายใจก่อนที่จะกลับมาเผชิญชีวิตดรามาวัยใกล้เรียนจบ...
โจทย์คือ เมืองที่ไม่แพง ของกินอร่อย ราคาโอเค ไม่เน้นช็อปมาก เน้นเมืองโอโซน เมืองที่มีทัศนียภาพที่งดงามและอารยธรรมที่ยาวนาน ส่วนตัวเราชอบเมืองโบราณๆ สถาปัตยกรรมสวยๆ วิวดีๆ ธรรมชาติหน่อยค่ะ
"มหานครฉงชิ่ง" คือ 1 ในตัวเลือกที่เราไม่ทันได้คาดคิดมาก่อน บวกกับซาวด์เสียง ทุกคนตกลง ก็ โอเค.. ไปเลยค่ะ.. อย่าไปคิดอะไรมาก เพราะเราไม่รู้หรอกว่าจะไปเจออะไร เราก็แค่ไป แค่ออกเดินทาง...
ข้อมูลเมืองนิดหน่อย ข้ามไปก็ได้นะ >
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้มหานครฉงชิ่ง
• ฉงชิ่ง มีพื้นที่ 82,300 ก.ม.ติดกับมณฑลหูเป่ย์ หูหนัน กุ้ยโจว เสชวนและฉ่านซี ภายในตัวเมืองมีแม่น้ำไหลพาดผ่านหลายสาย
เป็นเมืองขนาดใหญ่อันดับ 8 ของจีน
• ภูมิประเทศ
ตั้งอยู่ทางตอนบนของแม่น้ำแยงซีเกียง
เราเลือกสายการบินสีแดงค่ะ ด้วยช้อยส์ที่ว่าต้องถูกนะจ๊ะ 55555+
ท้องฟ้าโปร่งในเดือนเมษา แสงแดดจัดตัดผ่านเมฆ ประกายวิบวับแยงเข้าตาผู้โดยสารโซนซ้ายแทบทุกราย..
เมนูในราคาสุดประหยัด โอเค ก็..อร่อยนะ ของร้านสีฟ้า (แต่น้ำเติมไม่ได้จ่ะ ไม่มี ต้องซื้อขวดใหม่only แล้วไงละ เผลอซื้อไปแล้ว ราคานี่.. เห็นแล้วอยากจะกินขวดประชดแอร์ 555
)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ เมนูอาหาร คือข้าวมันไก่ ความอร่อยทำให้ลืมราคาน้ำขวดไปได้
เดินทางไม่กี่ ชม กินข้าวเพิ่งเสร็จ ห้องน้ำเพิ่งเข้า ยังเหล่สจ๊วตไม่ครบทุกคน
ปุบปับก็ถึงที่หมาย...
- ท่าอากาศยานนานาชาติฉงชิ่งเจียงเป่ย์ - //ฝนเพิ่งหยุดอากาศชื้นเล็กน้อย กลิ่นแมกไม้และฝนปรายๆ
...สวัสดี ฉงชิ่ง...
เมืองสีเอิร์ทโทนที่รวมวัฒนธรรมกับอาคารไว้ด้วยกันอย่างเนียนๆ
ตึกแฟลตเรียงรายเป็นทิวคล้ายรังผึ้ง มนุษย์ทั้งหลายเริ่มออกมาทำงาน
อาซ้อก็ออกมาจ้อกกิ้งอย่างนอยๆแต่เช้า
แท็กซี่...#ทำไมต้องเปิดกระจกทำหน้าเหงาใส่ด้วยก็ไม่รู้~
ถึงร้านอาหารแรกแล้วค่ะ #อะไรนะกินเลยหรอ
เป็นภัตตาคารอาหารจีนแบบสไตล์ฉงชิ่ง ไม่ไกลมากจากแอร์พอร์ต เพราะคือตอนนี้ทุกคนเหมือนปอบลง ไม่สามารถกลั้นหิวไปได้มากกว่านี้แล้ว
มื้อแรก ผัดผักปริมาณจุใจ หมูผัดถั่ว และเปรี้ยวหวาน
กินเสร็จ ไม่ต้องนั่งย่งนั่งย่อยมันละ ลุกไปต่อเลยจ่ะ..
วันแรกไม่ทำไรมาก...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เดินถ้ำ(....)
-ถ้ำฝูหยงต้ง (มรดกโลกทางธรรมชาติระดับ4A) -
บริเวณนี้เรียกว่าเป็น1ในตัวหลักของถ้ำ มีความเชื่อว่าเป็นเถาว์หินของยมโลก
ถ่ายไปถ่ายมา ก็แอบคิดนะ ว่ามันจะมีนางเงือกหรือสัตว์ประหลาดอะไรในนี้ไหม #งานมโนต้องมา
อันนี้เป็นตัวหลักของถ้ำค่ะ (ขออภัยถ่ายไม่ชัด) เป็นหินที่เมื่อถ่ายมุมด้านข้างแล้ว จะเหมือนกับรูปทรงของพระพุทธเจ้าบรรทม คนจีนเข้ามาไหว้ขอพรกันมาก สังเกตจากร่องรอยแป้งพวงมาลัยเจ็ดสี เอ้ยย ธูปปักประปราย เหรียญเงินและสายประคำ ค่ะ ...
จบทัวร์ถ้ำหิน ไปพักกันที่โรงแรม เมืองที่อยู่นี่ คือเมืองอู่หลง (ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชั่วโมง) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ เมืองฉงชิ่ง เป็นเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาโอบล้อมด้วยภูเขาสูง ทำให้เมืองนี้มีป่าไม้และพื้นที่สีเขียวเยอะแลพอากาศดี มีแม่น้ำอู่เจียงไหลตัดผ่านกลางเมือง โรงแรมแรกที่ไปพักชื่อ Wulong Evian Hotel ระดับ4ดาว
พักรวมกับครอบครัว เลยเป็นห้องสูทใหญ่ มีระเบียงและทางเชื่อมติดกันกับอีกห้องญาติ
ตกค่ำ ไปดูโชว์ IMPRESSION WULONG
ผลงานของผู้กำกับจางอวี้โหมว ซึ่งเนรมิตหุบเขาของเมืองอู่หลงทั้งเขาให้กลายเป็นฉาก ที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตและประวัตศาสตร์ของผู้คนโชว์ มีผู้แสดงกว่า 500 คนและชมระบบแสง สี เสียง อันยิ่งใหญ่ ตระการตามากๆค่ะ
ทางเข้าที่บอกเล่าเรื่องราวของคนลากเรือ ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวเมืองในอดีต
ช่างเป็นวิถีชีวิตที่น่าเร้าใจจริงๆ(...)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตระการตาท่ามกลางละอองหมอก และแสงสีกลางหุบเขา
เรื่องราวของหญิงสาวที่ต้องพรากจากหนุ่มชาวเรือที่รัก ที่ต้องออกเดินทางเพื่อทำงานไกล
และการคิดถึงครอบครัวฝั่งแม่ของตน (เพราะว่าตามประเพณี ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วจะแทบไม่มีโอกาสกลับมาดูแลครอบครัวตัวเองเลย การจากลาจึงเหมือนกับส่งลูกสาวเข้าสู่สนามรบที่เธอแทบไม่มีวันกลับมา)
กลับมาที่พักก็หลับเป็นตายค่ะ หนาวมาก น้ำเนิ้มแทบไม่อาบ
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่สองค่ะ วันนี้หมอกลงจัด แต่อากาศไม่หนาวสะท้านมาก
หมอกหนาไม่หนาแค่ไหน จากภาพแทบจะกลืนโรงแรมหายไปอยู่รอมร่อ...
วันนี้เราไปกันที่...
" หลุมฟ้า 3 สะพานสวรรค์"
เป็นสถานที่ๆเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดเป็นบ่อหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกประมาณ 300-500 เมตร และมีบางส่วนเป็นโพรงทะลุเหมือนกับสะพานทอดข้ามระหว่างภูเขา ที่นี่มีโรงเตี๊ยมเก่าๆซึ่งเป็นจุดแวะพักของคนเดินทางในสมัยก่อนตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ถัง
และที่นี่เอง ก็ถูกใช้เป็นฉากการถ่ายทำหนังเรื่อง"ศึกโค่นบันลังก์วังทอง" และ "Transformers ภาค4" ง่อววว~
ทางขึ้นเดี๋ยวนี้เป็นลิฟท์แก้วแล้วนะจ๊ะ ไม่ต้องปีนบันไดกันให้เมื่อยตุ้ม เดี๋ยวค่อยเอาแรงไปเดินสวยๆต่อในอุทยานดีกว่า
ตือดึง~ โผล่มาก็บ๊ะกับพี่มังกือ จากตรงนี้ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาอธิบายบลาๆๆ ว่าควรเดินตามเส้นทางและต้องปฎิบัติตัวยังไง
เดินลัดเลาะลงบันไดไปอีกนิด ก็มาพบกับพี่มังกือสลักตัวจริงเสียงจริง
ยินดีต้อนรับสู่หุบเขามังกร...
เผลอแหงนหน้ามองขึ้นมา เข้าใจแล้วทำไมถึงเรียก ปากทางสู่สวรรค์
ฝีมือถ่ายรูป จขกท อยู่ในโหมดที่...เก็บความงามมาได้เท่านี้ มันไม่สามารถเก็บความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมาได้ครบ .. U U
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้โอ ท่านเทพมังกร ท่านมารับข้าใช่มั้ย?? //โหมดมโนเพ้อพก : ON
ส่วนนี้เรียกว่า ช่องแคบดาบสวรรค์ค่ะ เป็นไฮไลค์ของการไปเซลฟี่คู่มาก แต่เสียดายที่จขกท มัวแต่ถ่ายวิว(กะถ่ายให้ชาวบ้าน) เลยพลาดจุดนี้ไป TT
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เก็บกดมาก เลยมโนว่าตัวเองก็ไปถ่ายคู่กะเขามาด้วย ย่าห์!!
บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมโบราณ (มีชุดให้ใส่คอสเพลย์ถ่ายรูปเป็นองค์หญิงองค์ชายฮองเฮาด้วยนะเออ ราคาตกประมาณ400-600 บาท)
กล้องเก็บรอบไม่ไหว ขอใช้แอปพาโนรามายาวๆ
คาถาแยกร่าง หั้ยย่ะ!
เวลาเกือบเที่ยงแล้ว แต่ที่นี่ยังคงมีหมอกปกคลุมอยู่เบาบาง น้ำค้าง ละอองฟ้า ของป่าฝน ทำให้ได้สูดโอโซนเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก
เราสามารถพบน้ำตกสายเล็กสายน้อยได้ในทุกๆที่ น้ำที่นี่สะอาดจนสามารถตักดื่มได้
ทางเดินผ่านทางราบผ่านสะพาน พาไปสู่ช่องทางเดินในหุบเขาแล้วหุบเขาเล่า
แปปๆ เราก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด...
ที่นี่จะมีรถบริการลงเขาฟรีค่ะ แค่อย่าทำตั๋วเข้าหายก็พอ 55
ขอพักไปทำธุระก่อนนะคะ เดี๋ยวต่อไปจะพาไปชมตลาด
หนีดรามามาสูดโอโซนที่ "ฉงชิ่ง" ดินแดนอารยธรรมโบราณหลังม่านหมอก
แต่ถึงอย่างนั้น เราก็อยากจะแชร์ความรู้สึกดีดี ที่ในชีวิต เราเคยได้ไปพานพบ ในต้นปีที่ผ่านมา อยากจะเล่าเรื่องราว เหมือนเป็นเรื่องราวในไดอารี่เล่มเล็กๆของเรา ก่อนที่จะผ่านพ้นปีนี้ไป...สู่ปี2015
ขอเกริ่นนิดนึงว่า..การเดินทางครั้งนี้เรามาตัดสินใจไปในวินาทีสุดท้าย ระยะหลังๆเราโหมงานเรียนหนักมาก บวกกับความว้าวุ่นใจ ฮอร์โมนแปรปรวณในวัยใกล้จบ เรารู้สึกเคว้ง กังวล สมองที่เหมือนจะตีบตันในเมืองใหญ่ท่ามกลางฝุ่นควัน ความแออัดและปัญหาง้องแง้งในชีวิต นั่นล่ะค่ะ เราเลยขอหยุดสมอง พักใจ วางปากกา เก็บเสื้อผ้า ใส่รองเท้า .. แล้วออกเดินทาง อยากจะไปที่ไหนสักที่เพื่อหายใจก่อนที่จะกลับมาเผชิญชีวิตดรามาวัยใกล้เรียนจบ...
โจทย์คือ เมืองที่ไม่แพง ของกินอร่อย ราคาโอเค ไม่เน้นช็อปมาก เน้นเมืองโอโซน เมืองที่มีทัศนียภาพที่งดงามและอารยธรรมที่ยาวนาน ส่วนตัวเราชอบเมืองโบราณๆ สถาปัตยกรรมสวยๆ วิวดีๆ ธรรมชาติหน่อยค่ะ
"มหานครฉงชิ่ง" คือ 1 ในตัวเลือกที่เราไม่ทันได้คาดคิดมาก่อน บวกกับซาวด์เสียง ทุกคนตกลง ก็ โอเค.. ไปเลยค่ะ.. อย่าไปคิดอะไรมาก เพราะเราไม่รู้หรอกว่าจะไปเจออะไร เราก็แค่ไป แค่ออกเดินทาง...
ข้อมูลเมืองนิดหน่อย ข้ามไปก็ได้นะ >[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราเลือกสายการบินสีแดงค่ะ ด้วยช้อยส์ที่ว่าต้องถูกนะจ๊ะ 55555+
ท้องฟ้าโปร่งในเดือนเมษา แสงแดดจัดตัดผ่านเมฆ ประกายวิบวับแยงเข้าตาผู้โดยสารโซนซ้ายแทบทุกราย..
เมนูในราคาสุดประหยัด โอเค ก็..อร่อยนะ ของร้านสีฟ้า (แต่น้ำเติมไม่ได้จ่ะ ไม่มี ต้องซื้อขวดใหม่only แล้วไงละ เผลอซื้อไปแล้ว ราคานี่.. เห็นแล้วอยากจะกินขวดประชดแอร์ 555)[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เดินทางไม่กี่ ชม กินข้าวเพิ่งเสร็จ ห้องน้ำเพิ่งเข้า ยังเหล่สจ๊วตไม่ครบทุกคน
ปุบปับก็ถึงที่หมาย...
- ท่าอากาศยานนานาชาติฉงชิ่งเจียงเป่ย์ - //ฝนเพิ่งหยุดอากาศชื้นเล็กน้อย กลิ่นแมกไม้และฝนปรายๆ
...สวัสดี ฉงชิ่ง...
เมืองสีเอิร์ทโทนที่รวมวัฒนธรรมกับอาคารไว้ด้วยกันอย่างเนียนๆ
ตึกแฟลตเรียงรายเป็นทิวคล้ายรังผึ้ง มนุษย์ทั้งหลายเริ่มออกมาทำงาน
อาซ้อก็ออกมาจ้อกกิ้งอย่างนอยๆแต่เช้า
แท็กซี่...#ทำไมต้องเปิดกระจกทำหน้าเหงาใส่ด้วยก็ไม่รู้~
ถึงร้านอาหารแรกแล้วค่ะ #อะไรนะกินเลยหรอ
เป็นภัตตาคารอาหารจีนแบบสไตล์ฉงชิ่ง ไม่ไกลมากจากแอร์พอร์ต เพราะคือตอนนี้ทุกคนเหมือนปอบลง ไม่สามารถกลั้นหิวไปได้มากกว่านี้แล้ว
มื้อแรก ผัดผักปริมาณจุใจ หมูผัดถั่ว และเปรี้ยวหวาน
กินเสร็จ ไม่ต้องนั่งย่งนั่งย่อยมันละ ลุกไปต่อเลยจ่ะ..
วันแรกไม่ทำไรมาก...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
-ถ้ำฝูหยงต้ง (มรดกโลกทางธรรมชาติระดับ4A) -
บริเวณนี้เรียกว่าเป็น1ในตัวหลักของถ้ำ มีความเชื่อว่าเป็นเถาว์หินของยมโลก
ถ่ายไปถ่ายมา ก็แอบคิดนะ ว่ามันจะมีนางเงือกหรือสัตว์ประหลาดอะไรในนี้ไหม #งานมโนต้องมา
อันนี้เป็นตัวหลักของถ้ำค่ะ (ขออภัยถ่ายไม่ชัด) เป็นหินที่เมื่อถ่ายมุมด้านข้างแล้ว จะเหมือนกับรูปทรงของพระพุทธเจ้าบรรทม คนจีนเข้ามาไหว้ขอพรกันมาก สังเกตจากร่องรอยแป้งพวงมาลัยเจ็ดสี เอ้ยย ธูปปักประปราย เหรียญเงินและสายประคำ ค่ะ ...
จบทัวร์ถ้ำหิน ไปพักกันที่โรงแรม เมืองที่อยู่นี่ คือเมืองอู่หลง (ใช้เวลาเดินทาง 2.30 ชั่วโมง) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ เมืองฉงชิ่ง เป็นเมืองที่อยู่ท่ามกลางหุบเขาโอบล้อมด้วยภูเขาสูง ทำให้เมืองนี้มีป่าไม้และพื้นที่สีเขียวเยอะแลพอากาศดี มีแม่น้ำอู่เจียงไหลตัดผ่านกลางเมือง โรงแรมแรกที่ไปพักชื่อ Wulong Evian Hotel ระดับ4ดาว
พักรวมกับครอบครัว เลยเป็นห้องสูทใหญ่ มีระเบียงและทางเชื่อมติดกันกับอีกห้องญาติ
ตกค่ำ ไปดูโชว์ IMPRESSION WULONG
ผลงานของผู้กำกับจางอวี้โหมว ซึ่งเนรมิตหุบเขาของเมืองอู่หลงทั้งเขาให้กลายเป็นฉาก ที่บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตและประวัตศาสตร์ของผู้คนโชว์ มีผู้แสดงกว่า 500 คนและชมระบบแสง สี เสียง อันยิ่งใหญ่ ตระการตามากๆค่ะ
ทางเข้าที่บอกเล่าเรื่องราวของคนลากเรือ ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชาวเมืองในอดีต
ช่างเป็นวิถีชีวิตที่น่าเร้าใจจริงๆ(...)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตระการตาท่ามกลางละอองหมอก และแสงสีกลางหุบเขา
เรื่องราวของหญิงสาวที่ต้องพรากจากหนุ่มชาวเรือที่รัก ที่ต้องออกเดินทางเพื่อทำงานไกล
และการคิดถึงครอบครัวฝั่งแม่ของตน (เพราะว่าตามประเพณี ลูกสาวที่แต่งออกไปแล้วจะแทบไม่มีโอกาสกลับมาดูแลครอบครัวตัวเองเลย การจากลาจึงเหมือนกับส่งลูกสาวเข้าสู่สนามรบที่เธอแทบไม่มีวันกลับมา)
กลับมาที่พักก็หลับเป็นตายค่ะ หนาวมาก น้ำเนิ้มแทบไม่อาบ
อรุณสวัสดิ์เช้าวันที่สองค่ะ วันนี้หมอกลงจัด แต่อากาศไม่หนาวสะท้านมาก
หมอกหนาไม่หนาแค่ไหน จากภาพแทบจะกลืนโรงแรมหายไปอยู่รอมร่อ...
วันนี้เราไปกันที่...
" หลุมฟ้า 3 สะพานสวรรค์"
เป็นสถานที่ๆเกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลก ทำให้เกิดเป็นบ่อหลุมขนาดใหญ่ที่ลึกประมาณ 300-500 เมตร และมีบางส่วนเป็นโพรงทะลุเหมือนกับสะพานทอดข้ามระหว่างภูเขา ที่นี่มีโรงเตี๊ยมเก่าๆซึ่งเป็นจุดแวะพักของคนเดินทางในสมัยก่อนตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ถัง
และที่นี่เอง ก็ถูกใช้เป็นฉากการถ่ายทำหนังเรื่อง"ศึกโค่นบันลังก์วังทอง" และ "Transformers ภาค4" ง่อววว~
ทางขึ้นเดี๋ยวนี้เป็นลิฟท์แก้วแล้วนะจ๊ะ ไม่ต้องปีนบันไดกันให้เมื่อยตุ้ม เดี๋ยวค่อยเอาแรงไปเดินสวยๆต่อในอุทยานดีกว่า
ตือดึง~ โผล่มาก็บ๊ะกับพี่มังกือ จากตรงนี้ก็จะมีเจ้าหน้าที่มาอธิบายบลาๆๆ ว่าควรเดินตามเส้นทางและต้องปฎิบัติตัวยังไง
เดินลัดเลาะลงบันไดไปอีกนิด ก็มาพบกับพี่มังกือสลักตัวจริงเสียงจริง
ยินดีต้อนรับสู่หุบเขามังกร...
เผลอแหงนหน้ามองขึ้นมา เข้าใจแล้วทำไมถึงเรียก ปากทางสู่สวรรค์
ฝีมือถ่ายรูป จขกท อยู่ในโหมดที่...เก็บความงามมาได้เท่านี้ มันไม่สามารถเก็บความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นมาได้ครบ .. U U
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ส่วนนี้เรียกว่า ช่องแคบดาบสวรรค์ค่ะ เป็นไฮไลค์ของการไปเซลฟี่คู่มาก แต่เสียดายที่จขกท มัวแต่ถ่ายวิว(กะถ่ายให้ชาวบ้าน) เลยพลาดจุดนี้ไป TT
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บรรยากาศภายในโรงเตี๊ยมโบราณ (มีชุดให้ใส่คอสเพลย์ถ่ายรูปเป็นองค์หญิงองค์ชายฮองเฮาด้วยนะเออ ราคาตกประมาณ400-600 บาท)
กล้องเก็บรอบไม่ไหว ขอใช้แอปพาโนรามายาวๆ
คาถาแยกร่าง หั้ยย่ะ!
เวลาเกือบเที่ยงแล้ว แต่ที่นี่ยังคงมีหมอกปกคลุมอยู่เบาบาง น้ำค้าง ละอองฟ้า ของป่าฝน ทำให้ได้สูดโอโซนเข้าไปในปอดอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรก
เราสามารถพบน้ำตกสายเล็กสายน้อยได้ในทุกๆที่ น้ำที่นี่สะอาดจนสามารถตักดื่มได้
ทางเดินผ่านทางราบผ่านสะพาน พาไปสู่ช่องทางเดินในหุบเขาแล้วหุบเขาเล่า
แปปๆ เราก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด...
ที่นี่จะมีรถบริการลงเขาฟรีค่ะ แค่อย่าทำตั๋วเข้าหายก็พอ 55
ขอพักไปทำธุระก่อนนะคะ เดี๋ยวต่อไปจะพาไปชมตลาด