[CR] เที่ยวอินเดียลุยๆ สไตล์เด็กศิลป์ Part 1

ก่อนอื่น ขอแนะนำตัวก่อนเลยละกัน  เป็นผู้หญิงคะ  ชื่อ ลูกตาล ตอนนี้เรียนอยู่ที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ชื่อจะยาวไปไหน!!  เป็นคนชื่นชอบ และหลงไหลในการท่องเที่ยวแบบบ้าคลั่ง ชอบเดินทางคนเดียว เพราะมีความเชื่อว่า ไม่มีใครตามใจเราได้ เท่าตัวเองอีกแล้ว ชอบคุยกับคนแปลกหน้า แปลกถิ่น แปลกภาษา เพราะทำให้ได้เรียนรู้ และซึบซับวัฒนธรรมมาได้ในไม่กี่ นาที หรือชั่วโมง  เป็นคนง่ายๆ คุยง่าย กินง่าย อยู่ง่าย นอนที่ไหนก็ได้ (แต่ไม่ใจง่ายนะ ฮิ้ววว!!)

-ทำไมถึงเลือกไปประเทศอินเดีย?
เป็นคนชอบถ่ายรูปมาาาาาาาก  และชอบสิ่งที่ยังคงความเป็นวัฒนธรรม และพื้นถิ่นไว้ ยังคงความเป็นธรรมชาติ และความดิบในแบบบ้านๆ ซึ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้น อินเดีย เป็นประเทศที่แสนจะน่าหลงไหลในความคิดเรา

-เริ่มวางแผน และด้วยความบังเอิญ และโชคดี!!!!!!
     วันหนึ่ง ในขณะที่เรากำลังยืนซื้อกาแฟให้พี่ชาย อยู่ที่น้ำตกไทรโยคน้อย จ.กาญ (นะจ๊ะ) บุรี เห้ยยย กาญจนบุรี  จะพิมพ์หลายรอบทำไมว่ะ  ก็มีเสียงดังมาจากข้างหลัง sorry!! Can you speak English? (ขอโทษนะ คุณพูดอังกฤษได้ไหม) ในขณะที่หันไปตอบว่า yes (ได้คะ) ภาพตรงหน้าก็เป็นผู้ชายในตาเขียวคนหนึ่ง  ถามว่า  How do you say chicken fried in Thailand? (คุณเรียกไก่ทอดว่าอย่างไร ในภาษาไทย) ห่ะ!!!!! ด้วยความที่งงๆ และตื่นเต้น จึงตอบกลับไปว่า ไก่ย่าง!! (หรอว่ะ) แล้วก็ได้เริ่มพูดคุยกันหลายประโยค จนทราบว่า อีตานี้เขาจะเดินทางไปอินเดีย วันพรุ่งนี้แล้ว!!  เห้ยเดี่ยวนะ  อินเดีย ชื่อคุ้นๆ อะไรมันจะบังเอิญขนานนั้น เลยได้ทำการขออีเมลล์ เพื่อเอาไว้ติดต่อ และสอบถามข้อมูลหลายๆอย่างเกี่ยวกับอินเดีย

-เวลาผ่านไป ไวเหมือนโกหก!!
     เราก็คุย และถามข้อมูลเค้าเยอะพอสมควร และเขาก็ยินดีที่จะตอบ และบอกว่ายินดีที่จะช่วยไม่เป็นไร พอได้ยินอย่างนี้ก็ใส่ยับเลย ถามยับ จนวันที่เราพร้อม เก็บตังได้ และตัดสินใจเริ่มออกเดินทาง ซื้อตั๋วเครื่องบิน ทำวีซ่า (เรื่องการทำวีซ่าอะไร ยังไงลองเสิร์ซหาในกูเกิลได้เลยนะคะ ทำไม่ยากเลยคะ )
เราได้ตัดสินใจไปคนเดียว แบบแบ็คแพ็คเกอร์ ซึ่งตอนนั้นก็คุยกับหนุ่มเมกาไว้แล้ว ว่าจะเจอกันอะไร ยังไง  แต่ก็อย่างว่าแหละคนเรารู้จักกันครั้งเดียวจะให้ไว้ใจกันได้ง่ายๆยังไง ใช่ไหม  เราก็ต้องมีแผนสำรองของเราเตรียมไว้ด้วย เผื่อว่ามันไม่เป็นอย่างที่คาดคิด เดินทางคนเดียวเรื่องที่สำคัญมาก คือต้องรอบครอบไว้มากๆ

-การเตรียมตัว แบ็คของ และสิ่งที่เราคิดว่ามันสำคัญ และช่วยชีวิตเราได้ (สำหรับคนที่อยากเดินทางไปอินเดียจริงๆ แบบลุยๆ นะคะ)
1. ยารักษาโรค  ยาทุกอย่างคะ ที่คุณคิดว่ามันจำเป็นกับชีวิตของคุณ (เพราะแต่ละคน มันไม่เหมือนกันแน่นอน) แต่หลักๆที่อยากให้เตรียมคือ ยาแก้ท้องเสีย ยาฆ่าเชื้อต่างๆ และเกลือแร่คะ อย่าได้คิดว่าตัวเองท้องแข็ง ภูมิดีแค่ไหน ก็กันไว้ดีกว่าแก้คะ
2.ยาดม  นี่โครตสำคัญเลยนะ บอกตรงๆ ห้ามลืมเด็ดขาด ช่วยชีวิตเราไว้แล้ว ด้วยความที่เดินทางแบบแบ็คแพ็คเกอร์ คุณจะหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยกับการที่ต้องนั้งรถนานๆ เป็นวันๆ และทางก็ไม่ได้สวยหรูแน่นอน ยาดม จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสาวๆ ที่เดินทางคนเดียวคะ
3.มีดพก,ไฟฉาย,ไฟแช็ค,กรรไกร,ปลั๊กไฟ,ผ้าอนามัย คล้องจองกันดีเนอะ!! อย่าลืมนะคะ ของพวกนี้มันช่วยชีวิตคุยได้แน่ๆ อย่าชะล่าใจเรื่องผ้าอนามัยเด็ดขาด เพราะอยู่ดีๆ มันเกิดติสจะมา มันก็มาแบบไม่ทันตั้งตัวนะคะ
4.พวกเสื้อผ้า ของใช่ส่วนตัว ก็สไตล์ใคร สไตล์มันเลยคะ พยายามอย่าเอาไปเยอะมากนะ เท่าที่จำเป็นพอ  เอาตัวที่คิดว่ากล้าที่จะทื้งมันได้ด้วยนะ  ส่วนถ้าขาดอะไรไปหาซื้อเอาดาบหน้าได้  พวกเสื้อผ้าที่นั้นถูกคะ และที่สำคัญฮิปปี้มากกกก ชอบมากๆๆ อยากซื้อๆๆๆ(แต่ความเป็นจริงคือ ทุกอย่างต้องอยู่ในงบ และความสามารถในการแบกกระเป๋า)
5.ข้อนี้สำคัญสุดคะ ฟิตร่างกาย ออกกำลังกาย และเตรียมใจดีๆ ทำใจดีๆนะคะ สำหรับประเทศอินเดีย ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ แผนทุกอย่างอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา คนที่เจอในแต่ละวัน มาแบบไม่ซ้ำกันหลอกคะ มีแต่คนเพี้ยนๆทั้งนั้น (เหมือนคนเพี้ยน เจอคนเพี้ยน) ดูดีๆละกันว่าเค้าจะเข้ามาหาเราในทางไหน เราค่อนข้างเป็นคนมีเซนต์สูง เป็นคนเดินทางคนเดียวบ่อยมาก แต่โชคดีที่เกิดมาไม่เคยถูกหลอกเลยสักครั้ง ไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่มีคนมาหลอกเลย (ส่วนใหญ่ไปหลอกคนอื่น ซะมากกว่า ล้อเล่นน่ะ)

**แผนคร่าวๆ**  (ทั้งหมดนี้ มาจากสมุดบันทึก ระหว่างการเดินทางของเราเอง)
20-Delhi
21-Delhi>Agra (Taj Mahal) Agra>Delhi
22-Delhi in the morning and night bus to Manali/Vashisht
23-Manali/Vashisht (early morning arrival)
............
25-Manali/Vashisht in the morning and bus or taxi to Leh Ladahk
26-halfway point/all day and night travel
....... start journey Leh Ladahk 3-4 days and have no more plane ........
5-Delhi>Bangkok

อันนี้คือแผนคร่าวๆในการเดินทางตอนนั้นของเรา ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นไปตามนี้เปะหรอก เรามีเวลาเดินทางไม่มาก เพราะติดใกล้จะเปิดเทอมจึงมีเวลากลับที่ตายตัว มีเวลาเดินทางทั้งหมด แค่ 17 วัน จึงต้องเอาให้คุ้มค่า เท่าที่จะเป็นไปได้

**แผนการเดินทาง และเมืองที่เป็นเป่าหมายสำคัญในการเดินทาง**
      สำหรับเมืองที่เป็นเป่าหมายสำคัญในการเดินทางครั้งนี้ของเราคือ เมือง LEH LADAHK เมืองแห่งสวงสวรรค์ อ้อมล้อมไปด้วยภูเขา และวิวทิวทัศน์เกินว่าจะพรรณาถึงความสวยงามของธรรมชาติ โอ้ยย ตื่นนนๆๆ ตอนนั้นคือคิดไว้ว่า จะไปยังไง โดยอะไรก็ช่าง แต่เป่าหมายของเราคือเมืองนี้เท่านั้น ห้ามไหล
      การเดินทางแบบแบ็คแพ็คในความคิดเราคือ ไปเรื่อยๆ อยากแวะไหนก็แวะ อยากพักไหนก็พัก ไม่รีบไม่ร้อนอะไร แต่อย่างหนึ่งที่อยากให้เพื่อนๆคิดคือ เป่าหมายในการเดินทางคะ คนเราทำอะไรต้องมีเป่าหมายนะคะ อย่าทำลอยๆ อย่าเมาเกินไป อย่าไหลมากไป จนไปสู้จุดหมายไม่ถึง ซึ่งในความอิสระทั้งหลายทั้งมวล มันก็มักจะมีขอบเขตในตัวของมันอยู่แล้ว ซึ่งคนที่กล้าเดินทางแบบนี้ได้ เราเชื่อว่า ต้องเป็นคนที่โลกส่วนตัวสูง ติส และค่อนข้างจะรักในอิสระเหมือนกับเราแน่นอน

-เอาล่ะ เริ่มออกเดินทางซะที  Let's go to the point ยิ้ม
วันแรกของการเดินทาง วันที่ 20-ก.ค-57 โครตจะตื่นเต้นกับวันแรก แทบไม่ได้นอน และเอ๊อมากๆ (ที่จริงควรจะพักผ่อนให้เพียงพอ) เพราะวันแรกไม่รู้จะเจออะไรบ้าง  (เออนี่ ควรจะแรกตังเป็นดอลล่าเอาไว้ก็จะดีนะ เพราะมันเอาไปแลกเป็นเงินสกุลรูปีจะดีกว่า) และแล้วเครื่องของเราก็ลงจอดที่ New Delhi อย่างปลอดภัย และได้พบหน้ากับเจค หนุ่มในตาเขียวคนนั้น ซึ่งก็กลายมาเป็นเพื่อนที่ดีคนนึง นอกจากเขาจะให้ข้อมูลที่ดีกับเราแล้ว เขายังมาเดินทางกับเราด้วย มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีอย่างบอกไม่ถูก แบบอย่างน้อยก็มีคนพูดด้วยสักคนล่ะว่ะ (ถึงแม้จะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ฮ่าๆๆ) แต่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนเรานะ เรื่องสำคัญและขอย้ำบ่อยๆคือ การระมัดระวังตัว ไม่ให้ถูกหลอก เพราะคนอินเดียเขาหลอกกันง่ายๆเลย ยิ่งทำหน้าโง่ๆ เอ๊อแบบเรานะ เสร็จแน่
เลือกเดินทางมาที่นี่แล้ว ต้องใจแข็ง ใจสู้ อย่าคล้อยตามคนอินเดียง่ายๆ ใช้เซนต์เยอะๆ เราก็ไม่รู้จะบอกยังไงอ่ะ สู้ๆละกันนะทุกคน

-Started my journey (NEW DELHI) มาเริ่มกันตั้งแต่ที่พักเลยละกัน
      ถ้าจะให้เราแนะนำเรื่องที่พักนะคะ  เราอยากแนะนำให้ไปพักที่นี่เลยคะ เป็นย้านของกลุ่มคนทิเบตที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ใน Delhi  ชื่อย่าน  “Majna ka tilla” ค่อนข้างจะปลอดภัย และราคาถูกมากคะ  ส่วนมากนักท่องเที่ยวแบ็คแพ็คหลากหลายชาติ เขาก็มาพักกันที่นี่นะ เท่าที่เราสังเกต   ที่นี่เราจะได้พบกับกลุ่มคนทิเบต และ พระทิเบตจำนวนมาก  ทำให้ได้ซึมซับวัฒนธรรม และอาหารการกินของเขา  แต่ตอนมาแรกๆอาจจะงงกับเส้นทางหน่อย เพราะมันเป็นตรอกซอกซอยลึกลับเหมือนกัน  ตอนเรามาครั้งแรก เราคิด  (จะพากูมาฆ่าป่าวว่ะ ) ฮ่าๆๆๆ  แต่เดินไปเรื่อยๆเดี่ยวก็ชิน

(ชุมชน majna ka tilla)

ส่วนโรงแรมที่เราพักคืนแรก และคืนสุดท้ายของทริปนี้คือ  Wongdhan  House  ที่นี่มีห้องหลายสตายนะคะ
ทั้งแบบสองเตียง  เตียงเดียว  ราคาห้องราวๆ 800 รูปีคะ เป็นเงินไทยก็ประมาณ 400 บาท  ซึ่งเราคิดว่าไม่แพงนะ
วิวก็พอใช้ได้คะ  ด้านหลังโรงแรมจะมองไปเห็นแม่น้ำ  Jamuna  นั้งชมวิวตอนเย็นๆ ก็ได้ฟิวส์อยู่เหมือนกันนะ อากาสดีคะ
นั้งดูอีกาบินไปมา  ( ที่อินเดียมีนกอีกาเยอะคะ มีเกือบทุกที่เลย) หรือจะลองดูโรงแรมอื่นก็ได้ แถวนี้มีหลายโรงแรมให้เลือก
ส่วนราคาเราก็ไม่รู้หรอก ลองเดินถามดูอาจได้ที่ถูกกว่าเรา (เราเน้นความถูกเป็นหลัก อยู่แบบไหนเราก็อยู่ได้หมด)

(วิวด้านหลัง ชั้นดาดฟ้า ของโรงแรม  Wongdhen  House)

-วิธีการเดินทางมาที่นี่
      เริ่มตั้งแต่ แอร์พอตเลยนะคะ  แนะนำให้นั้ง  Metro คะ ที่แนะนำให้นั้งเพราะถูก ประหยัดเราได้เยอะกว่าไปนั้งพวกแท็กซี่ หรือตุ๊กๆ มันก็เหมือนแอร์พอตลิ้งบ้านเราแหละคะ  นั้งตั้งแต่แอร์พอตเลยมาลงที่สถานนี  Airo city metro station และนั้งต่อมาลงที่  Vidhan subha station คะ จากนั้นก็นั้งสามล้อถีบต่อไปที่ Majna ka tilla เลยคะ (เวลานั้งรถอะไรก็ตาม ต่อให้ขาดอย่าใจอ่อนเด็ดขาดนะ จะโดนโกงให้จ่ายแพงกว่าที่ควรจะเป็น)

-ถ้าอยากดูชีวิตแบบอินเดียนๆ ต้องไป Old city
        ไปเที่ยวเมืองไหน ก็ต้องไป Old city ของเมืองนั้นๆด้วยนะคะ ถึงจะเรียกได้ว่าไปถึง  วิธีไปก็ไม่ยากคะ นั้ง Metro เหมือนเดิมจาก Vidha subha station to Chandni chowk station คะ หลังจากนั้นจะเดิน หรือ นั้งสามล้อ ดูตลาดเมืองเก่า ดูการใช้ชีวิตของผู้คนแบบอินเดียๆ ก็เพลินไปอีกแบบ  มาถึงนี่แล้วอย่าลืมเข้าชม  Jama Masjid นะคะ เป็นมัสยิดที่สวยมาก  และถ้าขึ้นไปบนหอคอยจะมองเห็น วิวเมืองทั้งเมืองเลยคะ  ค่าเข้าชมก็ 300 รูปี แต่จะมีค่าขึ้นบนหอคอยอีก 100 รูปีนะคะ  แนะนำให้แต่งตัวสุภาพขายาวโดยเฉพาะผู้หญิง ไม่งั้นก็จะโดนชาร์จค่าชุดคุมอีก ราวๆ 300 รูปีเลย  เราโดนมาแล้ว ชุดยังกับกิโมโนของญี่ปุ่นอ่ะ

(วิวบนสุดของหอคอยกับหนุ่มอินเดียนสองคน  JAMA MASJID)

หลังจากซึมซับบรรยากาศ  ชาวอินเดียแบบมุสลิมแล้ว สามารถไปเดินเล่นตลาดได้เลย เพียงแค่เดินออกมาจากมัสยิดก็จะเจอตลาดเลย  ตลาดค่อนข้างจะวุ่นวายๆแบบสไตล์อินเดียๆ  เราชอบมากๆ รู้สึกว่ามันอินเดียดี  เราชอบนั้งดูพฤติกรรมของคนต่างถิ่นนานๆ ลองซื้อบุรี่ใบไม้ของอินเดียมาดูด  แล้วเดินตลาดไปด้วยนะ โหววววว อย่างเพลินเลย  ปกติเราไม่ได้เป็นคนดูดบุรี่เลย  แต่เราคิดว่า การที่เรามาสัมผัสอะไรแบบนี้  มันจะเป็นไม่กี่ครั้งในชีวิตหรอก  ถ้าเวลาผ่านเลยไปแล้ว  มันก็กลับมาฟิวส์แบบนี้ไม่ได้แล้ว  เราเลยชอบลองอะไรใหม่ๆตลอด  เวลาเข้าร้านอาหารก็หลับตาจิ่มเลย เชื่อเรา  เดี่ยวก็รู้ว่าจะกินได้  จะชอบหรือไม่ชอบ  วันทั้งวันเอาให้คุ้ม เดินให้มันรอบ หลงทางบ้างไม่เป็นไร  เดินไปเรื่อยๆ เดี่ยวก็เจอทางออก  

(Old city market)

สำหรับวันแรก กับเมืองแรกของเราก็เท่านี้แหละคะ  เดี่ยวครั้งหน้ามาต่อกันกับเมืองต่อไปเลยนะคะ (ขอบคุณมากๆคะที่เข้ามาอ่าน หัวใจ)
>สถานีต่อไปของเรา  คือเมือง  Agra  ซึ่งเป็นที่ตั้งของ  “Taj Mahal”  ที่โด่งดังนั้นเอง  ยิ้ม
ชื่อสินค้า:   เที่ยวอินเดีย Delhi,Agra,Manali,Leh Ladahk,Srinaga
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่