ยุคนี้ทุกคนรู้ว่าภาษาอังกฤษ เป็นเรื่องสำคัญ ใคร ๆ ก็พูดถึง AEC พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และเกือบทุกคนที่อยากจะให้ลูกพูดได้ 2 ภาษา คือ ภาษาไทย และภาษาอังกฤษแบบสำเนียงดี ดี เหมือนลูกฝรั่งอะไรประมาณนี้
แต่ส่วนใหญ่กว่าจะมาคิดได้หรือกว่าจะเริ่ม ก็เลยช่วงทองของลูกที่จะเรียนรู้ด้านภาษาซะแล้ว จริง ๆ แล้ว การสอนให้ลูกเป็นเด็ก 2 ภาษา จากประสบการณ์ว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยากมากมายอะไรนัก จนเรา (พ่อแม่ที่บอกว่ารักลูกเหลือเกิน) จะทำไม่สำเร็จ จากประสบการณ์ส่วนตัวสิ่งสำคัญที่สุด คือ พ่อ แม่ ควรจะตกลงกันเองก่อน ว่าเราจะสอนลูกมาในแนวทาง 2 ภาษา หลังจากนั้น ก็ต้องวางแผนการสอนลูกให้เป็นไปตามวัยของเด็ก เรื่องการวางแผนการสอนลูกเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งถ้าพ่อแม่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ก็ต้องยิ่งวางแผนการสอนให้มากค่ะ
การที่จะให้ลูกพูดได้ 2 ภาษา ไม่จำเป็นที่พ่อแม่ ต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ดีลูกถึงจะพูดได้ อยากย้ำว่าไม่จริงเลยค่ะ ลูกสามารถพูดภาษาอังกฤษสำเนียงใกล้เคียงกับลูกฝรั่งได้เลย อยู่ที่พรสวรรค์ หรือความสามารถพิเศษของเด็กในการเรียนรู้เรื่องภาษา แต่ที่สำคัญพ่อแม่บางคนไม่รู้ว่าลูกตัวเองมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ พรแสวงของพ่อแม่ต่างหาก ความตั้งใจ มุ่งมั่นที่แน่วแน่ และทำความเข้าใจกันเองให้ดีซะก่อน ว่าเราจะเลือกระบบการสอนลูกแบบไหน และมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะไม่งั้นนอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้ว เด็กยังไม่แข็งแรงสักภาษาด้วยค่ะ
แต่ที่เขียนมาข้างต้น ต้องขอบอกก่อนนะค่ะ ครอบครัวเราก็ไม่ได้ใช้ระบบ 2 ภาษานะค่ะ เราสอนลูกด้วยภาษาเดียว คือ ภาษาอังกฤษ (สอนแบบสำเนียงไทย ไทย) สิ่งที่ครอบครัวเราให้ความสำคัญที่สุดคือ การวางแผนที่จะให้ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ ต้องมีการเตรียมการอย่างดี เช่น อาทิตย์หน้าเรามีแผนที่จะไปเที่ยวทะเล เรารู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง จะต้องพูดอะไรกับลูกบ้าง เราก็เตรียมการได้ก่อน หรืออาจจะสอนก่อนล่วงหน้าด้วยการหาภาพให้ดู พอถึงเวลาจริง ลูกได้เห็นของจริง ก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง นี่คือการวางแผนสำหรับครอบครัวที่ไม่แข็งแรงด้านภาษาอังกฤษนะค่ะ
สื่อที่จะช่วยพัฒนาด้าน”การฟัง”ภาษาอังกฤษของน้องเป็นอย่างดี ที่ครอบครัวเราใช้ คือการเลือกหนังการ์ตูนภาคภาษาอังกฤษ ที่มีเนื้อหาเหมาะสมกับวัยของลูก เพราะนั่นจะทำให้เด็กๆ สนใจที่จะดู และจะดูซ้ำไป ซ้ำมา จนเด็กบางคนสามารถที่จะจำบทสนทนาของตัวการ์ตูนที่ตัวเองชื่นชอบได้ แต่สิ่งที่มหัศจรรย์ไปกว่านั้นคือ เด็กจะเลียนแบบสำเนียงนั้นๆ ถ้าพ่อแม่ที่สนทนากับลูกด้วยภาษาอังกฤษ จะสามารถเห็นพัฒนาการตรงนี้ชัดมากๆ ค่ะ
ถ้าพ่อแม่ฝึกลูกมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าได้ชะล่าใจและอย่างช้า ที่จะวางแผนอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดด้านภาษาอังกฤษนะค่ะ สำคัญมากนะค่ะตรงนี้ เราควรจะพาน้องไปเรียนรู้ภาษาอังกฤษ กับครูต่างชาติ (เน้นว่าต้องเป็นเจ้าของภาษาเท่านั้น)นะคะ เพื่อสร้างความคุ้นเคย และขอแนะนำว่าเด็กยิ่งเล็ก ยิ่งดีค่ะ อาจจะประมาณ 2 ขวบขึ้นไป แล้วแต่ความพร้อมของเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนมีความพร้อมไม่เหมือนกันค่ะ
ครอบครัวเราพาน้องไปเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อน้องแฝดอายุประมาณ 3 ขวบ เราจะพาไปทุกวันเสาร์ และวันอาทิตย์ (วันละ 2 ชม.) ช่วงแรก ๆ น้องก็ร้องไห้ ไม่ค่อยยอม แต่ไม่นานก็คุ้นเคยกับครูต่างชาติ น้องแฝดจึงมีพัฒนาการด้านการสนทนาได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเด็กวัยนี้กำลังจำ ถ้าเราให้ไปเรียนรู้กับครูที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา หรือสำเนียงที่ไม่ถูกต้อง เด็กจะจำสำเนียงที่ผิด ๆ มาค่ะ จึงขอแนะนำ ถ้าใครมีลูกเล็ก การเรียนรู้เรื่องการออกเสียงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะนั่นเป็นการปูพื้นฐานด้านภาษาที่ถูกต้อง เมื่อลูกออกเสียงได้ชัด นั่นหมายถึงเค้าจะสามารถเขียนได้ถูกต้องด้วยค่ะ จะทำให้เด็กไม่ต้องใช้ความจำอย่างเดียว และยังเป็นการต่อยอดให้เด็กเกิดความมั่นใจ เพราะถ้าเค้าพูดไม่ถูกต้อง และมีใครมาทัก อาจจะทำให้เด็กไม่กล้าที่จะพูดได้ค่ะ
แต่ทุกอย่าง ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไปนะค่ะ เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้ที่จะสอนเค้าก็ต้องเหมาะสมไปตามวัย ถ้าเราพูดภาษาไทยจะไม่มีปัญหามาก เพราะเราพูด และสอนได้อย่างลึกซึ้ง แต่พอเป็นภาษาอังกฤษทำให้ต้องทำการบ้านหนักมากขึ้น เพราะไม่ใช่การพูดสนทนาโต้ตอบธรรมดา แต่เป็นการสอนที่ต้องให้ทั้งความรู้ ให้แนวคิดต่าง ๆ มากมาย
ดังนั้น จากประสบการณ์ของครอบครัวเรา ถ้าพ่อแม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษไม่ดีก็ไม่ต้องกังวลนะค่ะ ขอแนะนำสิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ
• ตกลงกันก่อนว่าเราจะสอนลูกแบบ 2 ภาษา (คือพ่อ หรือแม่ คนใดคนหนึ่งต้องเลือกพูดภาษาเดียว) หรือจะเป็นแบบครอบครัวเรา ใช้ภาษาอังกฤษภาษาเดียว
• ควรจะเริ่มพูดภาษาอังกฤษกับน้อง ตั้งแต่แรกคลอดถ้าเป็นไปได้นะค่ะ ถึงน้องจะยังไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบใด ๆ แต่เป็นการฝึกความเคยชินด้านภาษาค่ะ
• และเมื่อน้องอายุสัก 2 ขวบ ก็ควรพาน้องไปคลุกคลีกับครูต่างชาติเพื่อฝึกสนทนา เป็นการสร้างความคุ้นเคย แต่ที่สำคัญต้องเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพ เพราะโรงเรียนที่สอนโดยตรงสำหรับเด็กเล็ก เค้าจะคัดเลือกครูต่างชาติที่มีประสบการณ์ในการสอนเด็กเล็ก เพราะจะต้องสอนผ่านการเล่นเกมส์ เด็กก็จะสนุก และอยากมาโรงเรียนค่ะ ควรจะเลือกโรงเรียนที่เน้นเรื่องการออกเสียง(Phonic)นะค่ะ เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ค่ะ อย่างที่บอก ออกเสียงถูกต้องจะทำให้เด็กมั่นใจที่จะพูด และลดการจำคำศัพท์เพราะถ้าออกเสียงถูก เด็กก็สามารถที่จะเขียนได้ถูกต้องค่ะ
อย่างตอนนี้น้องโตขึ้นมาก (7 ขวบแล้วค่ะ ^^) ก็เริ่มจะกังวลว่าลูกจะออกเสียภาษาอังกฤษแบบไทยๆ หรือเปล่า จึงเน้นไปที่เรียนสอนภาษาหลักสูตรโฟนิคส์ โดยครอบครัวของเราเลือกสถาบันสอนภาษาอังกฤษ Phonics 1st ค่ะ ที่ชอบเพราะตอบโจทย์ได้ครบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักสูตรการสอน ที่เน้นสอนออกเสียง โดยครูต่างชาติที่มีประสบการณ์ รวมทั้งบรรยากาศในห้องเรียน และเจ้าหน้าที่โฟนิคส์เฟิร์สให้ความชัดเจนในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งโดยภาพรวมทั้งหมด ทำให้เป็นแรงจูงใจให้ลูกชายฝาแฝด ชอบที่จะไปเรียนที่นี่มาก ครอบครัวเราจึงขอแนะนำ และขออนุญาต Review ส่วนต่าง ๆ ให้คุณพ่อ คุณแม่ ที่สนใจเก็บไว้เป็นข้อมูลนะคะ สำหรับโรงเรียนอื่นๆ คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นสามารถรีวิวไว้ได้เช่นกันนะคะ แบ่งปันข้อมูลกันคะ
หลักสูตรการสอนของ Phonic 1st (โฟนิคส์เฟิร์ส) จะเน้นสอนเรื่องการออกเสียงที่ถูกต้อง ชัดเจน และครูต่างชาติที่สอนมีประสบการณ์ในการสอนเด็ก โดยสอนผ่านการเล่นเกมส์ ลูกจึงได้ทั้งการสนทนา คำศัพท์ และการออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกวิธี พ่อแม่หลายท่านอาจจะงงๆ สำหรับการเรียนผ่านโฟนิคส์ การเรียนแบบโฟนิคส์เฟิร์สนั้นเด็กๆ จะเน้นที่การอ่านและทำความเข้าใจกับเสียงของพยัญชนะ มากกว่ารูปของพยัญชนะ ครูยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คำว่า CAT วัยเราจะสะกดว่า ซี เอ ที แคท แต่การเรียนแบบโฟนิคส์เฟิร์สเค้าจะสอนตามเสียงเป็น เคอะ แอะ เทอะ แคท เด็กจะอ่านได้ถูกต้องเหมือนเจ้าของภาษาที่สุดค่ะ
ครั้งแรกที่ลูกชายได้เข้าไปเรียน ทางสถาบันโฟนิคส์เฟิร์สก็ให้ไปเรียนร่วมกับเด็กในวัยเดียวกัน เพื่อทดสอบความรู้พื้นฐานทางภาษาอังกฤษก่อน โดยเรียนผ่านการเล่นเกมส์ต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน และที่เด็ก ๆ ตื่นเต้นคือ ได้เล่นเกมส์หาคำศัพท์ต่าง ๆ ผ่านจอ Touch Screen นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกที่ประทับใจสำหรับโฟนิคส์เฟิร์ส (เจ้าหน้าที่โฟนิคส์เฟิร์สและคุณครูจะสังเกตเด็กตามความสามารถก่อนค่ะ)
หลังจากนั้น ทางเจ้าหน้าที่ของโฟนิคส์เฟิร์สก็ได้แจ้งกับเราว่า ลูกชายฝาแฝดควรจะปรับระดับการเรียนขึ้นไปอีก เพื่อให้น้อง ๆ ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียน เนื่องจากน้อง ๆ มีความรู้พื้นฐานด้านภาษาอังกฤษเลยคลาสในระดับเดียวกัน เจ้าหน้าที่โฟนิคส์เฟิร์สแจ้งว่าน้อง ๆ ควรจะเรียนเรื่องแกรมม่า แต่เจ้าหน้าที่ก็แอบหนักใจนิดหน่อย ว่าน้องจะสนุกมั๊ย เพราะอายุน้องอาจจะเด็กกว่ากลุ่มที่เริ่มเรียนแกรมม่า และคลาสนี้ก็เป็นเด็กโต ก็เลยตกลงกันว่าลองให้น้องเรียนดูก่อน ซึ่งพอเรียนจริง ๆ ผลลัพธ์กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราหนักใจ ที่กลัวน้องจะไม่ชอบ เพราะอาจจะไม่สนุกเหมือนคลาสครั้งแรกนั้น น้อง ๆ กลับสนุกสนาน และสามารถนั่งเรียน โต้ตอบครูผู้สอนได้เป็นอย่างดี เบาใจจริงๆ ค่ะ
ที่ชอบอีกเรื่องบรรยากาศของโฟนิคส์เฟิร์สโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน หรือด้านนอกสีสันสดใส สวยงาม อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการสอนเป็นระบบ Touch Screen ที่ทันสมัย ตื่นตา ตื่นใจสำหรับเด็ก ๆ มากด้วย มีกิจกรรม Art & Craft ซึ่งไม่เหมือนยุคเราที่การเรียนภาษาเป็นเรื่องเครียด แต่เด็กๆ ที่นี่ดูมีความสุขกันมาก
เขียนไปเขียนมาสงสัยยาวไป คนเป็นแม่ดีเทลก็เยอะอย่างนี้ล่ะค่ะ แต่อย่างที่บอกว่านี่เป็นเพียงการบอกเล่าประสบการณ์ตรงของครอบครัวเราเท่านั้น ที่เน้นให้ลูกเก่งภาษาตั้งแต่เด็กๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ต้องลูกด้วย เพื่อนๆ มีเทคนิควิธีการสอนภาษาอังกฤษลูกอย่างไรบ้าง เรายินดีเปิดรับนะคะ เดี๋ยวจะยาวไปเรื่อยๆ แค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ ไว้วันหลังจะลงเทคนิคต่างๆ ต่อค่ะ
[CR] สอนภาษาอังกฤษลูก ยากจริงไหม ประสบการณ์ตรงค่ะ
แต่ส่วนใหญ่กว่าจะมาคิดได้หรือกว่าจะเริ่ม ก็เลยช่วงทองของลูกที่จะเรียนรู้ด้านภาษาซะแล้ว จริง ๆ แล้ว การสอนให้ลูกเป็นเด็ก 2 ภาษา จากประสบการณ์ว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่จะยากมากมายอะไรนัก จนเรา (พ่อแม่ที่บอกว่ารักลูกเหลือเกิน) จะทำไม่สำเร็จ จากประสบการณ์ส่วนตัวสิ่งสำคัญที่สุด คือ พ่อ แม่ ควรจะตกลงกันเองก่อน ว่าเราจะสอนลูกมาในแนวทาง 2 ภาษา หลังจากนั้น ก็ต้องวางแผนการสอนลูกให้เป็นไปตามวัยของเด็ก เรื่องการวางแผนการสอนลูกเป็นเรื่องสำคัญมาก ยิ่งถ้าพ่อแม่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ก็ต้องยิ่งวางแผนการสอนให้มากค่ะ
การที่จะให้ลูกพูดได้ 2 ภาษา ไม่จำเป็นที่พ่อแม่ ต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้ดีลูกถึงจะพูดได้ อยากย้ำว่าไม่จริงเลยค่ะ ลูกสามารถพูดภาษาอังกฤษสำเนียงใกล้เคียงกับลูกฝรั่งได้เลย อยู่ที่พรสวรรค์ หรือความสามารถพิเศษของเด็กในการเรียนรู้เรื่องภาษา แต่ที่สำคัญพ่อแม่บางคนไม่รู้ว่าลูกตัวเองมีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ พรแสวงของพ่อแม่ต่างหาก ความตั้งใจ มุ่งมั่นที่แน่วแน่ และทำความเข้าใจกันเองให้ดีซะก่อน ว่าเราจะเลือกระบบการสอนลูกแบบไหน และมุ่งมั่นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะไม่งั้นนอกจากจะไม่ประสบความสำเร็จแล้ว เด็กยังไม่แข็งแรงสักภาษาด้วยค่ะ
แต่ที่เขียนมาข้างต้น ต้องขอบอกก่อนนะค่ะ ครอบครัวเราก็ไม่ได้ใช้ระบบ 2 ภาษานะค่ะ เราสอนลูกด้วยภาษาเดียว คือ ภาษาอังกฤษ (สอนแบบสำเนียงไทย ไทย) สิ่งที่ครอบครัวเราให้ความสำคัญที่สุดคือ การวางแผนที่จะให้ความรู้ด้านภาษาอังกฤษ ต้องมีการเตรียมการอย่างดี เช่น อาทิตย์หน้าเรามีแผนที่จะไปเที่ยวทะเล เรารู้ว่าเราจะต้องเจอกับอะไรบ้าง จะต้องพูดอะไรกับลูกบ้าง เราก็เตรียมการได้ก่อน หรืออาจจะสอนก่อนล่วงหน้าด้วยการหาภาพให้ดู พอถึงเวลาจริง ลูกได้เห็นของจริง ก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง นี่คือการวางแผนสำหรับครอบครัวที่ไม่แข็งแรงด้านภาษาอังกฤษนะค่ะ
สื่อที่จะช่วยพัฒนาด้าน”การฟัง”ภาษาอังกฤษของน้องเป็นอย่างดี ที่ครอบครัวเราใช้ คือการเลือกหนังการ์ตูนภาคภาษาอังกฤษ ที่มีเนื้อหาเหมาะสมกับวัยของลูก เพราะนั่นจะทำให้เด็กๆ สนใจที่จะดู และจะดูซ้ำไป ซ้ำมา จนเด็กบางคนสามารถที่จะจำบทสนทนาของตัวการ์ตูนที่ตัวเองชื่นชอบได้ แต่สิ่งที่มหัศจรรย์ไปกว่านั้นคือ เด็กจะเลียนแบบสำเนียงนั้นๆ ถ้าพ่อแม่ที่สนทนากับลูกด้วยภาษาอังกฤษ จะสามารถเห็นพัฒนาการตรงนี้ชัดมากๆ ค่ะ
ถ้าพ่อแม่ฝึกลูกมาถึงขั้นนี้แล้ว อย่าได้ชะล่าใจและอย่างช้า ที่จะวางแผนอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดด้านภาษาอังกฤษนะค่ะ สำคัญมากนะค่ะตรงนี้ เราควรจะพาน้องไปเรียนรู้ภาษาอังกฤษ กับครูต่างชาติ (เน้นว่าต้องเป็นเจ้าของภาษาเท่านั้น)นะคะ เพื่อสร้างความคุ้นเคย และขอแนะนำว่าเด็กยิ่งเล็ก ยิ่งดีค่ะ อาจจะประมาณ 2 ขวบขึ้นไป แล้วแต่ความพร้อมของเด็ก ซึ่งเด็กแต่ละคนมีความพร้อมไม่เหมือนกันค่ะ
ครอบครัวเราพาน้องไปเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อน้องแฝดอายุประมาณ 3 ขวบ เราจะพาไปทุกวันเสาร์ และวันอาทิตย์ (วันละ 2 ชม.) ช่วงแรก ๆ น้องก็ร้องไห้ ไม่ค่อยยอม แต่ไม่นานก็คุ้นเคยกับครูต่างชาติ น้องแฝดจึงมีพัฒนาการด้านการสนทนาได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเด็กวัยนี้กำลังจำ ถ้าเราให้ไปเรียนรู้กับครูที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา หรือสำเนียงที่ไม่ถูกต้อง เด็กจะจำสำเนียงที่ผิด ๆ มาค่ะ จึงขอแนะนำ ถ้าใครมีลูกเล็ก การเรียนรู้เรื่องการออกเสียงเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะนั่นเป็นการปูพื้นฐานด้านภาษาที่ถูกต้อง เมื่อลูกออกเสียงได้ชัด นั่นหมายถึงเค้าจะสามารถเขียนได้ถูกต้องด้วยค่ะ จะทำให้เด็กไม่ต้องใช้ความจำอย่างเดียว และยังเป็นการต่อยอดให้เด็กเกิดความมั่นใจ เพราะถ้าเค้าพูดไม่ถูกต้อง และมีใครมาทัก อาจจะทำให้เด็กไม่กล้าที่จะพูดได้ค่ะ
แต่ทุกอย่าง ก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไปนะค่ะ เพราะเมื่อเด็กโตขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้ที่จะสอนเค้าก็ต้องเหมาะสมไปตามวัย ถ้าเราพูดภาษาไทยจะไม่มีปัญหามาก เพราะเราพูด และสอนได้อย่างลึกซึ้ง แต่พอเป็นภาษาอังกฤษทำให้ต้องทำการบ้านหนักมากขึ้น เพราะไม่ใช่การพูดสนทนาโต้ตอบธรรมดา แต่เป็นการสอนที่ต้องให้ทั้งความรู้ ให้แนวคิดต่าง ๆ มากมาย
ดังนั้น จากประสบการณ์ของครอบครัวเรา ถ้าพ่อแม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษไม่ดีก็ไม่ต้องกังวลนะค่ะ ขอแนะนำสิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ
• ตกลงกันก่อนว่าเราจะสอนลูกแบบ 2 ภาษา (คือพ่อ หรือแม่ คนใดคนหนึ่งต้องเลือกพูดภาษาเดียว) หรือจะเป็นแบบครอบครัวเรา ใช้ภาษาอังกฤษภาษาเดียว
• ควรจะเริ่มพูดภาษาอังกฤษกับน้อง ตั้งแต่แรกคลอดถ้าเป็นไปได้นะค่ะ ถึงน้องจะยังไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบใด ๆ แต่เป็นการฝึกความเคยชินด้านภาษาค่ะ
• และเมื่อน้องอายุสัก 2 ขวบ ก็ควรพาน้องไปคลุกคลีกับครูต่างชาติเพื่อฝึกสนทนา เป็นการสร้างความคุ้นเคย แต่ที่สำคัญต้องเลือกโรงเรียนที่มีคุณภาพ เพราะโรงเรียนที่สอนโดยตรงสำหรับเด็กเล็ก เค้าจะคัดเลือกครูต่างชาติที่มีประสบการณ์ในการสอนเด็กเล็ก เพราะจะต้องสอนผ่านการเล่นเกมส์ เด็กก็จะสนุก และอยากมาโรงเรียนค่ะ ควรจะเลือกโรงเรียนที่เน้นเรื่องการออกเสียง(Phonic)นะค่ะ เพราะเป็นเรื่องสำคัญมาก ๆ ค่ะ อย่างที่บอก ออกเสียงถูกต้องจะทำให้เด็กมั่นใจที่จะพูด และลดการจำคำศัพท์เพราะถ้าออกเสียงถูก เด็กก็สามารถที่จะเขียนได้ถูกต้องค่ะ
อย่างตอนนี้น้องโตขึ้นมาก (7 ขวบแล้วค่ะ ^^) ก็เริ่มจะกังวลว่าลูกจะออกเสียภาษาอังกฤษแบบไทยๆ หรือเปล่า จึงเน้นไปที่เรียนสอนภาษาหลักสูตรโฟนิคส์ โดยครอบครัวของเราเลือกสถาบันสอนภาษาอังกฤษ Phonics 1st ค่ะ ที่ชอบเพราะตอบโจทย์ได้ครบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหลักสูตรการสอน ที่เน้นสอนออกเสียง โดยครูต่างชาติที่มีประสบการณ์ รวมทั้งบรรยากาศในห้องเรียน และเจ้าหน้าที่โฟนิคส์เฟิร์สให้ความชัดเจนในเรื่องต่าง ๆ ซึ่งโดยภาพรวมทั้งหมด ทำให้เป็นแรงจูงใจให้ลูกชายฝาแฝด ชอบที่จะไปเรียนที่นี่มาก ครอบครัวเราจึงขอแนะนำ และขออนุญาต Review ส่วนต่าง ๆ ให้คุณพ่อ คุณแม่ ที่สนใจเก็บไว้เป็นข้อมูลนะคะ สำหรับโรงเรียนอื่นๆ คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นสามารถรีวิวไว้ได้เช่นกันนะคะ แบ่งปันข้อมูลกันคะ
หลักสูตรการสอนของ Phonic 1st (โฟนิคส์เฟิร์ส) จะเน้นสอนเรื่องการออกเสียงที่ถูกต้อง ชัดเจน และครูต่างชาติที่สอนมีประสบการณ์ในการสอนเด็ก โดยสอนผ่านการเล่นเกมส์ ลูกจึงได้ทั้งการสนทนา คำศัพท์ และการออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกวิธี พ่อแม่หลายท่านอาจจะงงๆ สำหรับการเรียนผ่านโฟนิคส์ การเรียนแบบโฟนิคส์เฟิร์สนั้นเด็กๆ จะเน้นที่การอ่านและทำความเข้าใจกับเสียงของพยัญชนะ มากกว่ารูปของพยัญชนะ ครูยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คำว่า CAT วัยเราจะสะกดว่า ซี เอ ที แคท แต่การเรียนแบบโฟนิคส์เฟิร์สเค้าจะสอนตามเสียงเป็น เคอะ แอะ เทอะ แคท เด็กจะอ่านได้ถูกต้องเหมือนเจ้าของภาษาที่สุดค่ะ
ครั้งแรกที่ลูกชายได้เข้าไปเรียน ทางสถาบันโฟนิคส์เฟิร์สก็ให้ไปเรียนร่วมกับเด็กในวัยเดียวกัน เพื่อทดสอบความรู้พื้นฐานทางภาษาอังกฤษก่อน โดยเรียนผ่านการเล่นเกมส์ต่าง ๆ อย่างสนุกสนาน และที่เด็ก ๆ ตื่นเต้นคือ ได้เล่นเกมส์หาคำศัพท์ต่าง ๆ ผ่านจอ Touch Screen นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกที่ประทับใจสำหรับโฟนิคส์เฟิร์ส (เจ้าหน้าที่โฟนิคส์เฟิร์สและคุณครูจะสังเกตเด็กตามความสามารถก่อนค่ะ)
หลังจากนั้น ทางเจ้าหน้าที่ของโฟนิคส์เฟิร์สก็ได้แจ้งกับเราว่า ลูกชายฝาแฝดควรจะปรับระดับการเรียนขึ้นไปอีก เพื่อให้น้อง ๆ ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเรียน เนื่องจากน้อง ๆ มีความรู้พื้นฐานด้านภาษาอังกฤษเลยคลาสในระดับเดียวกัน เจ้าหน้าที่โฟนิคส์เฟิร์สแจ้งว่าน้อง ๆ ควรจะเรียนเรื่องแกรมม่า แต่เจ้าหน้าที่ก็แอบหนักใจนิดหน่อย ว่าน้องจะสนุกมั๊ย เพราะอายุน้องอาจจะเด็กกว่ากลุ่มที่เริ่มเรียนแกรมม่า และคลาสนี้ก็เป็นเด็กโต ก็เลยตกลงกันว่าลองให้น้องเรียนดูก่อน ซึ่งพอเรียนจริง ๆ ผลลัพธ์กลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราหนักใจ ที่กลัวน้องจะไม่ชอบ เพราะอาจจะไม่สนุกเหมือนคลาสครั้งแรกนั้น น้อง ๆ กลับสนุกสนาน และสามารถนั่งเรียน โต้ตอบครูผู้สอนได้เป็นอย่างดี เบาใจจริงๆ ค่ะ
ที่ชอบอีกเรื่องบรรยากาศของโฟนิคส์เฟิร์สโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียน หรือด้านนอกสีสันสดใส สวยงาม อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการสอนเป็นระบบ Touch Screen ที่ทันสมัย ตื่นตา ตื่นใจสำหรับเด็ก ๆ มากด้วย มีกิจกรรม Art & Craft ซึ่งไม่เหมือนยุคเราที่การเรียนภาษาเป็นเรื่องเครียด แต่เด็กๆ ที่นี่ดูมีความสุขกันมาก
เขียนไปเขียนมาสงสัยยาวไป คนเป็นแม่ดีเทลก็เยอะอย่างนี้ล่ะค่ะ แต่อย่างที่บอกว่านี่เป็นเพียงการบอกเล่าประสบการณ์ตรงของครอบครัวเราเท่านั้น ที่เน้นให้ลูกเก่งภาษาตั้งแต่เด็กๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้ด้านอื่นๆ ต้องลูกด้วย เพื่อนๆ มีเทคนิควิธีการสอนภาษาอังกฤษลูกอย่างไรบ้าง เรายินดีเปิดรับนะคะ เดี๋ยวจะยาวไปเรื่อยๆ แค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ ไว้วันหลังจะลงเทคนิคต่างๆ ต่อค่ะ