(ผมคิดว่าไม่มีสปอยล์นะ แต่ถ้ากลัวจะมีสปอยล์ก็รอไปดูก่อนค่อยกลับมาอ่านก็ได้นะครับ)
ภาพๆหนึ่งแม้เราจะตีความในแนวทางของเรา แต่ในอีกมุมหนึ่งหรือในอีกระยะห่างของภาพที่ต่างกันอาจจะมีคนอื่นมองในอีกมุมมองหนึ้ง แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าภาพที่เจ้าของภาพตั้งใจจะนำเสนอเค้าได้วางแผนหรือจัดภาพเอาไว้เพื่อให้เรามองเห็นในสิ่งที่เค้า จงใจ อยากจะให้เราเห็นหรือเปล่า
Gone Girl คือหนังดราม่าแนวสืบสวนสอบสวนเรื่องล่าสุดของ David Fincher ผู้กำกับฝีมือระดับพระกาฬคนนึงในวงการ เพราะหนังทุกเรื่องของ David Fincher มักจะมีไอเดียใหม่ๆในการนำเสนอแต่ก้ยังไม่ทิ้งสไตล์ของตัวเองที่มักดดดเด่นในด้านการคุมโทนและดนตรีประกอบหนังที่ดดดเด่นและสร้างอารมณ์ในหนังได้อย่างลงตัวเสมอ แม้แต่เรื่อง Gone Girl นี่ก็ตาม ถือเป็นผลงานที่น่าจะอยู่ฟร้อนท์โรวืบนเวทีออสการ์อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในสาขานักแสดงนำฝ่ายหญิง Rosamund Pike ที่การแสดงของเธอในเรื่องนี้โดดเด่นและเชื่อมากว่า เอมี่ จะกลายเป็นตัวละครคลาสสิคขึ้นหิ้งในวงการฮอลลีวู้ดไปอีกนับสิบปี
Gone girl เอาเรื่องราวของชีวิตคู่มาเล่น ซึ่งแน่นอนว่ามันเริ่มต้นด้วยความสวยงาม ความรักของพระเอกกับนางเอกในเรื่องหวานเหมือนละอองน้ำตาลที่โปรยปราย เค้าสองคนคือคุ่รักที่ลงตัวที่สุด มีชีวิตมีฐานะที่ค่อนข้างดี ฝ่ายหญิงคือเจ้าของแคแรคเตอร์ เอมี่หนูน้อยมหัศจรรย์ ในหนังสือนิทานสำหรับเด็กที่มีแฟนๆหนังสือทั่วอเมริการู้จักนับล้าน ผู้ชายคือนักเขียนคอลัมน์สำหรับผู้ชายในนิตยสาร ชีวิตคู่ของเค้าสองคนไปได้ดีแบบผัวหนุ่มเมียสาว แต่วันนึงก็ต้องเปลี่ยนเมื่อมีเหตุให้ทั้งคู่ต้องย้ายจากนิวยอร์คมาอยู่ใภรรยาที่เขียนบรรยายถึงความน่ากลัวของสามีโดยเธอบอกว่าเธอกลัวถูกสามีฆ่าตาย
นั่นคือเรื่องย่อจากที่เห็นในตัวอย่าง จะไม่ขอเล่าต่อจากนี้ แต่อยากจะบอกว่า Gone Girl คือหนังที่มีความยาวถึง 2 ชม 29 นาที หรือ 149 นาที นับเป็นหนังที่ยาวมากเรื่องนึง แต่ตัวหนังกลับทำออกมาได้สนุกตื่นเต้นชวนติดตามตลอดตั้งแต่เริ่มเรื่องไปจนจบเรื่อง บรรยากาศของหนังสะพรึงมาก เร่งเร้าให้ชวนติดตามด้วยโทนแสงในหนังที่ไม่ค่อยสว่างนัก เดวิด ฟินเชอร์ ถนัดในการเล่นแสงสลัวๆในหนังของตัวเองเสมอๆและมันก็เข้ากับโทนของหนังเรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยความอึมครึม มาพร้อมกับสกอร์ของหนังที่เร้าอารมณ์และแอบกระตุกหัวใจคนดูตลอดเวลาโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว อันนี้ชื่นชมแบบอาเศียรวาทเลยว่า เทคนิคในการใช้ภาพแสงและเสียงของหนังเรื่องนี้ขั้นเทพ บันทึกเสียง ถ่ายภาพ ดนตรีประกอบของหนังอยู่ในระดับดีเยี่ยมที่สุด รวมไปถึงการตัดต่อและความต่อเนื่องของหนังเรื่องนี้เรียกได้ว่าเล่าเรื่องได้ดี เพราะด้วยไทม์ไลน์ในหนังที่กินเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หนังจะมีการเล่าย้อนไปย้อนมาผ่านการบอกเล่าของตัวละครทั้งสองฝ่าย มันไม่ง่ายเลยในการที่จะเล่าเรื่อง ตัดต่อตลอดไปจนถึงการควบคุมความต่อเนื่องของหนัง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ทรงผม อารมณ์ของตัวละคร มันไม่ง่ายเลยที่จะเอามาตัดสลับไปสลับมาให้คนดูดูได้อย่างโคตรจะเข้าใจ เนื้อหาชวนสับสนแต่ดันเล่าเรื่องออกมาให้ดูโคตรจะง่าย อาจจะเพราะด้วยเจ้าของบทประพันธ์คือ จิลเลียน ฟลินท์ ลงทุนมาเป็นคนดัดแปลงบทภาพยนตร์ด้วยตัวเองก็ได้ อันนี้ถามจากคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว เค้าบอกว่า เร้าอารมณืและสนุกกว่าหนังสิอเสียอีก ขนาดว่าหนังสือนี่ก็สนุกจนวางไม่ลงแล้ว
แม้งานโปรดักชั่นทางด้านภาพเสีย,ดนตรีประกอบจะยอดเยี่ยมเพียงใด ตัวหนังจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลย ถ้านักแสดงทำได้ไม่ถึง Gone Girl นี้ในด้านนักแสดงคงต้องยกความดีให้กับ Rosamund Pike นางเอกของเรื่องเลย การแสดงของเธอชวนสะพรึงและมันดูน่ามหัศจรรย์มาก สำหรับนักแสดงที่สวยจัดขนาดนี้ คือไม่น่าเชื่อว่าเธอสวยมากกและแสดงหนังเก่งมากก อะไรมันจะทำได้ขนาดนี้ แคแรคเตอร์ของเอมี่ถูกออกแบบมาให้เป็นตัวละครที่มีมิติมากมีความสับสนทางอารมณ์และแน่นอน เราเดาเธอไม่ถูกเลยว่าข้างในลึกๆเธอคิดอะไร คาดว่า 1 ใน 5 ผู้เข้าชิงออสการ์ไม่พลาดแน่นอน เพราะเธอมีออสการ์แฟคเตอรืหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแปลงโฉมเดี๋ยวอ้วนเดี๋ยวผอม รวมไปถึงการไปัดพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกาของเธอด้วย ทั้งๆที่เธอเป็นชาวอังกฤษ
รวมไปถึงตัวละครเกือบทุกตัวในเรื่อง ที่แม้จะเป็นตัวละครที่สร้างมาจากนิยายมีมิติทุกตัว อันนี้ต้องกราบ จิลเลียน ฟลินท์ เจ้าของบทประพันธ์จริงๆ ที่ดีไซน์ตัวละครออกมากลมมากมีมิติไม่แบน และอ่านตัวละครยากมาก ตลอดเวลาที่ดูเราแทบเดาไม่ออกเลยว่าใครดีใครเลว ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลในการรองรับการกระทำของตัวเองหมด นี่คือเสน่ห์ของบทประพันธ์ที่ดี นี่คือเสน่ห์ของบทหนังที่ดี ที่ตัวละครจะต้องดูจับต้องได้ ไม่ดูเป็นนางฟ้า ไม่ดุเป็นปีศาจไปเสียทั้งหมด ส่วนนักแสดงอีกคนที่ขอพูดถึงคือ เบน เอฟเฟลค จะว่าด้วยตัวบทเองที่เน้นการแสดงออกมาแนวนี้ เบน เอฟเฟลค เองก็เรียกว่าเหมาะสมกับบทแหละ การแสดงอยู่ในระดับค่อนข้างโอเค แต่ก็ยังไม่เรียกว่าดีเยี่ยม ออร่าการแสดงโดนนางเอกและนักแสดงสมทบคนอื่นๆฆ่าตายหมด ไม่ว่าจะเป็นบทน้องสาวพระเอกกับบทนักสืบหยิงในเรื่องสองคนนี้แสดงดีมากกกกรวมถึงทนายความ และอีกคนนึงที่โผล่มาน้อยมาก แต่แสดงได้โคตรสะพรึงเลยคือ นีล แพททริค แฮรีส (ว่าที่พิธีกรออสการืปีหน้า) คนนี้มีลุ้นบทนักแสดงสมทบชายในบทเดวี่ เพื่อนชายคนสนิทของนางเอกสมัยเรียนมัธยม
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าหนังจะไม่มีจุดบอดเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้"ฉากตอนนางเอกเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ตัวเองสร้างนั้นไม่น่าเชื่อว่าตำรวจและ FBI จะไม่สามารถขุดคุ้ยได้เลย เพราะดูแล้วกล้องวงจรปิดในบ้านนั่นแหละน่าจะมัดตัวนางเอกเอง แม้นางจะสร้างสถานการณ์เองได้ แต่มันก็แค่ไม่กี่ซีน" รวมไปถึงการแปลงโฉมของนางเอกเองก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้เนียนเท่าไหร่นัก แต่ทั้งสิ่งทั้งปวงในหนังแทบจะกลายเป็นจุดเล็กๆไปเลยเมื่อเทียบกับว่ามันเป็นหนังที่ทำออกมาได้สนุกและชวนติดตามขนาดนี้
หลังจากดูหนังจบ สิ่งที่เราได้คิดก็คือการใช้ชีวิตคู่ ผมเชื่อมากว่าหลายๆคนน่าจะเคยผ่านช่วงเวลาที่ชีวิตคู่พังทลาย บ้านช่องไม่อยากกลับ คนรัก สามีเรา ภรรยาเรา อย่าว่าแต่จะมี sex ด้วยเลย ตัวยังไม่อยากแตะเลย นั่นคือเวลาที่เราหมดรัก(อันนี้ไม่สปอยล์นะเพราะในตัวอย่างมันมีชัดเจน) แต่สังคมและคนรอบข้างคาดหวังให้เราเป็นแบบไหน รวมถึงบางครั้งการใช้ชีวิตแบบผัวเมียของคนสองคนบางทีมันก็ต้องดีไซน์ออกแบบออกมาให้คนรอบข้างมองเราไปในแนวทางที่เราอยากให้เค้าเห็น ด้วยความจำเป็นรอบด้าน ทั้งสังคมรวมไปถึงหน้าที่การงานด้วย
David Fincher นอกจากจะถ่ายทอด Gone Girl ออกมาเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมแล้ว ตัวหนังยังเป็นหนังที่ดุสนุกที่สุดในปีนี้แล้ว ส่วนตัวให้ไปเลย 4 ดาวเต็ม และแนะนำให้หาโอกาสไปดูรอบ Sneak Preview ให้เร็วที่สุด เพราะเชื่อว่าคนที่ดูก่อนคงคันอยากจะเล่าน่าดู
ปล.บ่ายนี้แอดมินในเพจผมจะมาชวนสมาชิกเมาส์มอย Gone Girl ในเพจนะครับ ยังไงถ้าสนใจแวะไปอ่านกันได้นะครับ ที่เพจผมเอง
https://www.facebook.com/overhyp
รีวิว(ยาวหน่อย) Gone Girl หนังสะพรึงและทรงพลังมาก นี่คือหนังที่ไม่ควรพลาดจริงๆ
ภาพๆหนึ่งแม้เราจะตีความในแนวทางของเรา แต่ในอีกมุมหนึ่งหรือในอีกระยะห่างของภาพที่ต่างกันอาจจะมีคนอื่นมองในอีกมุมมองหนึ้ง แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่าภาพที่เจ้าของภาพตั้งใจจะนำเสนอเค้าได้วางแผนหรือจัดภาพเอาไว้เพื่อให้เรามองเห็นในสิ่งที่เค้า จงใจ อยากจะให้เราเห็นหรือเปล่า
Gone Girl คือหนังดราม่าแนวสืบสวนสอบสวนเรื่องล่าสุดของ David Fincher ผู้กำกับฝีมือระดับพระกาฬคนนึงในวงการ เพราะหนังทุกเรื่องของ David Fincher มักจะมีไอเดียใหม่ๆในการนำเสนอแต่ก้ยังไม่ทิ้งสไตล์ของตัวเองที่มักดดดเด่นในด้านการคุมโทนและดนตรีประกอบหนังที่ดดดเด่นและสร้างอารมณ์ในหนังได้อย่างลงตัวเสมอ แม้แต่เรื่อง Gone Girl นี่ก็ตาม ถือเป็นผลงานที่น่าจะอยู่ฟร้อนท์โรวืบนเวทีออสการ์อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในสาขานักแสดงนำฝ่ายหญิง Rosamund Pike ที่การแสดงของเธอในเรื่องนี้โดดเด่นและเชื่อมากว่า เอมี่ จะกลายเป็นตัวละครคลาสสิคขึ้นหิ้งในวงการฮอลลีวู้ดไปอีกนับสิบปี
Gone girl เอาเรื่องราวของชีวิตคู่มาเล่น ซึ่งแน่นอนว่ามันเริ่มต้นด้วยความสวยงาม ความรักของพระเอกกับนางเอกในเรื่องหวานเหมือนละอองน้ำตาลที่โปรยปราย เค้าสองคนคือคุ่รักที่ลงตัวที่สุด มีชีวิตมีฐานะที่ค่อนข้างดี ฝ่ายหญิงคือเจ้าของแคแรคเตอร์ เอมี่หนูน้อยมหัศจรรย์ ในหนังสือนิทานสำหรับเด็กที่มีแฟนๆหนังสือทั่วอเมริการู้จักนับล้าน ผู้ชายคือนักเขียนคอลัมน์สำหรับผู้ชายในนิตยสาร ชีวิตคู่ของเค้าสองคนไปได้ดีแบบผัวหนุ่มเมียสาว แต่วันนึงก็ต้องเปลี่ยนเมื่อมีเหตุให้ทั้งคู่ต้องย้ายจากนิวยอร์คมาอยู่ใภรรยาที่เขียนบรรยายถึงความน่ากลัวของสามีโดยเธอบอกว่าเธอกลัวถูกสามีฆ่าตาย
นั่นคือเรื่องย่อจากที่เห็นในตัวอย่าง จะไม่ขอเล่าต่อจากนี้ แต่อยากจะบอกว่า Gone Girl คือหนังที่มีความยาวถึง 2 ชม 29 นาที หรือ 149 นาที นับเป็นหนังที่ยาวมากเรื่องนึง แต่ตัวหนังกลับทำออกมาได้สนุกตื่นเต้นชวนติดตามตลอดตั้งแต่เริ่มเรื่องไปจนจบเรื่อง บรรยากาศของหนังสะพรึงมาก เร่งเร้าให้ชวนติดตามด้วยโทนแสงในหนังที่ไม่ค่อยสว่างนัก เดวิด ฟินเชอร์ ถนัดในการเล่นแสงสลัวๆในหนังของตัวเองเสมอๆและมันก็เข้ากับโทนของหนังเรื่องนี้ที่เต็มไปด้วยความอึมครึม มาพร้อมกับสกอร์ของหนังที่เร้าอารมณ์และแอบกระตุกหัวใจคนดูตลอดเวลาโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว อันนี้ชื่นชมแบบอาเศียรวาทเลยว่า เทคนิคในการใช้ภาพแสงและเสียงของหนังเรื่องนี้ขั้นเทพ บันทึกเสียง ถ่ายภาพ ดนตรีประกอบของหนังอยู่ในระดับดีเยี่ยมที่สุด รวมไปถึงการตัดต่อและความต่อเนื่องของหนังเรื่องนี้เรียกได้ว่าเล่าเรื่องได้ดี เพราะด้วยไทม์ไลน์ในหนังที่กินเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ หนังจะมีการเล่าย้อนไปย้อนมาผ่านการบอกเล่าของตัวละครทั้งสองฝ่าย มันไม่ง่ายเลยในการที่จะเล่าเรื่อง ตัดต่อตลอดไปจนถึงการควบคุมความต่อเนื่องของหนัง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ทรงผม อารมณ์ของตัวละคร มันไม่ง่ายเลยที่จะเอามาตัดสลับไปสลับมาให้คนดูดูได้อย่างโคตรจะเข้าใจ เนื้อหาชวนสับสนแต่ดันเล่าเรื่องออกมาให้ดูโคตรจะง่าย อาจจะเพราะด้วยเจ้าของบทประพันธ์คือ จิลเลียน ฟลินท์ ลงทุนมาเป็นคนดัดแปลงบทภาพยนตร์ด้วยตัวเองก็ได้ อันนี้ถามจากคนที่อ่านหนังสือมาแล้ว เค้าบอกว่า เร้าอารมณืและสนุกกว่าหนังสิอเสียอีก ขนาดว่าหนังสือนี่ก็สนุกจนวางไม่ลงแล้ว
แม้งานโปรดักชั่นทางด้านภาพเสีย,ดนตรีประกอบจะยอดเยี่ยมเพียงใด ตัวหนังจะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้เลย ถ้านักแสดงทำได้ไม่ถึง Gone Girl นี้ในด้านนักแสดงคงต้องยกความดีให้กับ Rosamund Pike นางเอกของเรื่องเลย การแสดงของเธอชวนสะพรึงและมันดูน่ามหัศจรรย์มาก สำหรับนักแสดงที่สวยจัดขนาดนี้ คือไม่น่าเชื่อว่าเธอสวยมากกและแสดงหนังเก่งมากก อะไรมันจะทำได้ขนาดนี้ แคแรคเตอร์ของเอมี่ถูกออกแบบมาให้เป็นตัวละครที่มีมิติมากมีความสับสนทางอารมณ์และแน่นอน เราเดาเธอไม่ถูกเลยว่าข้างในลึกๆเธอคิดอะไร คาดว่า 1 ใน 5 ผู้เข้าชิงออสการ์ไม่พลาดแน่นอน เพราะเธอมีออสการ์แฟคเตอรืหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแปลงโฉมเดี๋ยวอ้วนเดี๋ยวผอม รวมไปถึงการไปัดพูดภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกาของเธอด้วย ทั้งๆที่เธอเป็นชาวอังกฤษ
รวมไปถึงตัวละครเกือบทุกตัวในเรื่อง ที่แม้จะเป็นตัวละครที่สร้างมาจากนิยายมีมิติทุกตัว อันนี้ต้องกราบ จิลเลียน ฟลินท์ เจ้าของบทประพันธ์จริงๆ ที่ดีไซน์ตัวละครออกมากลมมากมีมิติไม่แบน และอ่านตัวละครยากมาก ตลอดเวลาที่ดูเราแทบเดาไม่ออกเลยว่าใครดีใครเลว ตัวละครทุกตัวมีเหตุผลในการรองรับการกระทำของตัวเองหมด นี่คือเสน่ห์ของบทประพันธ์ที่ดี นี่คือเสน่ห์ของบทหนังที่ดี ที่ตัวละครจะต้องดูจับต้องได้ ไม่ดูเป็นนางฟ้า ไม่ดุเป็นปีศาจไปเสียทั้งหมด ส่วนนักแสดงอีกคนที่ขอพูดถึงคือ เบน เอฟเฟลค จะว่าด้วยตัวบทเองที่เน้นการแสดงออกมาแนวนี้ เบน เอฟเฟลค เองก็เรียกว่าเหมาะสมกับบทแหละ การแสดงอยู่ในระดับค่อนข้างโอเค แต่ก็ยังไม่เรียกว่าดีเยี่ยม ออร่าการแสดงโดนนางเอกและนักแสดงสมทบคนอื่นๆฆ่าตายหมด ไม่ว่าจะเป็นบทน้องสาวพระเอกกับบทนักสืบหยิงในเรื่องสองคนนี้แสดงดีมากกกกรวมถึงทนายความ และอีกคนนึงที่โผล่มาน้อยมาก แต่แสดงได้โคตรสะพรึงเลยคือ นีล แพททริค แฮรีส (ว่าที่พิธีกรออสการืปีหน้า) คนนี้มีลุ้นบทนักแสดงสมทบชายในบทเดวี่ เพื่อนชายคนสนิทของนางเอกสมัยเรียนมัธยม
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าหนังจะไม่มีจุดบอดเลย [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ แต่ทั้งสิ่งทั้งปวงในหนังแทบจะกลายเป็นจุดเล็กๆไปเลยเมื่อเทียบกับว่ามันเป็นหนังที่ทำออกมาได้สนุกและชวนติดตามขนาดนี้
หลังจากดูหนังจบ สิ่งที่เราได้คิดก็คือการใช้ชีวิตคู่ ผมเชื่อมากว่าหลายๆคนน่าจะเคยผ่านช่วงเวลาที่ชีวิตคู่พังทลาย บ้านช่องไม่อยากกลับ คนรัก สามีเรา ภรรยาเรา อย่าว่าแต่จะมี sex ด้วยเลย ตัวยังไม่อยากแตะเลย นั่นคือเวลาที่เราหมดรัก(อันนี้ไม่สปอยล์นะเพราะในตัวอย่างมันมีชัดเจน) แต่สังคมและคนรอบข้างคาดหวังให้เราเป็นแบบไหน รวมถึงบางครั้งการใช้ชีวิตแบบผัวเมียของคนสองคนบางทีมันก็ต้องดีไซน์ออกแบบออกมาให้คนรอบข้างมองเราไปในแนวทางที่เราอยากให้เค้าเห็น ด้วยความจำเป็นรอบด้าน ทั้งสังคมรวมไปถึงหน้าที่การงานด้วย
David Fincher นอกจากจะถ่ายทอด Gone Girl ออกมาเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมแล้ว ตัวหนังยังเป็นหนังที่ดุสนุกที่สุดในปีนี้แล้ว ส่วนตัวให้ไปเลย 4 ดาวเต็ม และแนะนำให้หาโอกาสไปดูรอบ Sneak Preview ให้เร็วที่สุด เพราะเชื่อว่าคนที่ดูก่อนคงคันอยากจะเล่าน่าดู
ปล.บ่ายนี้แอดมินในเพจผมจะมาชวนสมาชิกเมาส์มอย Gone Girl ในเพจนะครับ ยังไงถ้าสนใจแวะไปอ่านกันได้นะครับ ที่เพจผมเอง
https://www.facebook.com/overhyp