Nissan รุกโปรโมท March รุ่นพิเศษในเดือนนี้
และ Swift ที่จะเปิดตัวรุ่น cruise control เดือนหน้า
ส่วน Mirage ก็มีปรับ option ไปแล้วก่อนหน้า และ Yaris ก็มีแคมเปญไปบ้างแล้ว
น่าจะหมายความว่าทุกฝ่ายกำลังจับจ้องว่าภายในเดือนหน้านี้นั้น ผลจะออกมาว่า
Mazda 2 hatchback และ sedan ใหม่จะเป็น eco car เฟส 2 รุ่นแรกของค่าย Mazda หรือไม่
หรือว่า คนญี่ปุ่นด้วยกันย่อมรู้กันอยู่แล้วว่าค่ายคู่แข่งกำลังเดินหมากมายังไง
ภาคหนึ่งเริ่มฉายต้นเดือนที่ผ่านมา โปรโมท March สีฟ้า (มันสวยขนาดนั้นเลยเหรอ)
ภาคสองเริ่มฉายกลางเดือน ตัวนี้ทีเด็ด March Limited Edition (ที่เอา Bolero มาเปลี่ยนกระจังใหม่ขาย)
ธีมโฆษณา ถ้าไม่คิดอะไร มันก็คือการเอา March มาวิ่งวนไปวนมาในลานจอดที่มีรถนิสสันถูกดองเต็มไปหมด เพราะขายไม่ออก (ฮา)
คาดว่าน่าจะถ่ายทำกันตรงลานเก็บรถของนิสสันตรงย่านริมถนนบางนา-ตราดน่ะแหล่ะ (เดานะครับ)
แต่ถ้าเป็นคนมีประสบการณ์แย่กับการแย่งชิงที่จอดรถมาเยอะ ก็พาลจะไม่ชอบว่าเป็นโฆษณาที่ไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย เพราะเอารถมา
แย่ที่จอดรถกัน แต่ผมกลับเห็นว่าเอา March มาวิ่งไล่กันแบบเก้าอี้ดนตรีมากกว่า
คนที่ชอบรุ่น Bolero มากๆ ต้องบอกก่อนว่า กระจังหน้าของรุ่น limited editionนั้น น่าจะไม่
เหมือนกับ Bolero ซะทีเดียวนะครับ
1) มันจะไม่ใช่โครเมี่ยมทั้งชิ้นแบบของญี่ปุ่น ทรงตาข่ายจะเป็นสีออกเทาดำๆ
2) มีโลโก้แปะมาให้ตรงกลางซึ่งน่าจะถอดได้ นิสสันคงไม่ได้ทำโมลด์ใหม่ให้เปลือง
คงใช้กระจังหน้า Bolero มาขายนี่แหล่ะ แต่คนล่ะสี ส่วนโลโก้ก็คงติดไปดื้อๆ ยังงั้น
ขาย limited แค่ 600 คัน แต่แปลว่ายังไง แปลว่า รุ่นไหนก็ได้ที่เป็นนิสสันมาร์ชเราสามารถเข้าศูนย์แล้วไปเบิกกับฝ่ายอะไหล่
เอากันชนกับกระจังหน้าตัวนี้ได้เลยตลอดเวลา และอย่างน้อยก็ 10 ปีอัพ ใครใช้รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ก็ต้องไปเบิกไฟหน้าไมเนอร์มาด้วย
นะครับ
แต่เดิมมีคนแต่ง Bolero กันเยอะ แต่งานเข้ากันตรงที่ มักไม่ได้ที่ปิดหูลากมาด้วยบ้างล่ะ ตอนชนกันชนพัง ประกันก็หามาเปลี่ยน
ให้ไม่ได้บ้างล่ะ เพราะมันเป็นของมือสองจากญี่ปุ่น ทีนี้ล่ะ สามารถเบิกจากศูนย์ได้ซะที
กระจังหน้าไม่ได้ชุบโครเมี่ยมมาให้ อาจจะลำบาก เพราะมันจะไม่เหมือน Bolero
ต้องไปหาที่ชุบเพราะมันพ่นสีเอาไม่ได้ หรืออาจจะมีร้านของแต่งเอามาทำขายก็ได้
ที่น่าสังเกตุคือราคาเพิ่มจากรุ่นปกติ 9,000 บาท
ลองคำนวณคร่าวๆ ถ้าไปเบิก part เอง ทำสีเองที่อู่ดีๆ ราคาก็คงเกือบๆ เท่านี้ล่ะมั้ง
สรุปคือนิสสันก็คงอยากให้คนเข้าไปเบิกอะไหล่เค้าเอาไปทำเองเหมือนกันน่ะแหล่ะ (เดาเอา)
สำหรับความแตกต่างจาก Bolero ให้สังเกตุที่กระจังในวีดีโอนี้ครับ เป็นโครเมี่ยมแวววาวหรูมาก
เค้าคนนี้กำลังจะมาแล้วประมาทไม่ได้เลยทีเดียวเชียว
ช่วงแรกที่เป็นเครื่องดีเซล ราคาคงไม่ชน น่าจะห่างจาก eco car ทั่วไป
ระดับ 60,000-100,000 (เดานะครับ)
แต่หลังจากนั้น (เมื่อไหร่ไม่รู้) รุ่น 1.3 ที่จะออกมา จะชนกับกลุ่ม eco car เดิมตรงๆ
ของสดใหม่ใครๆ ก็ชอบ ดังนั้นก็น่าจะจับตาดูดีๆ
ผม capture ภาพโฆษณา March Bolero มาให้ครับ
และ Swift ที่จะเปิดตัวรุ่น cruise control เดือนหน้า
ส่วน Mirage ก็มีปรับ option ไปแล้วก่อนหน้า และ Yaris ก็มีแคมเปญไปบ้างแล้ว
น่าจะหมายความว่าทุกฝ่ายกำลังจับจ้องว่าภายในเดือนหน้านี้นั้น ผลจะออกมาว่า
Mazda 2 hatchback และ sedan ใหม่จะเป็น eco car เฟส 2 รุ่นแรกของค่าย Mazda หรือไม่
หรือว่า คนญี่ปุ่นด้วยกันย่อมรู้กันอยู่แล้วว่าค่ายคู่แข่งกำลังเดินหมากมายังไง
ภาคหนึ่งเริ่มฉายต้นเดือนที่ผ่านมา โปรโมท March สีฟ้า (มันสวยขนาดนั้นเลยเหรอ)
ภาคสองเริ่มฉายกลางเดือน ตัวนี้ทีเด็ด March Limited Edition (ที่เอา Bolero มาเปลี่ยนกระจังใหม่ขาย)
ธีมโฆษณา ถ้าไม่คิดอะไร มันก็คือการเอา March มาวิ่งวนไปวนมาในลานจอดที่มีรถนิสสันถูกดองเต็มไปหมด เพราะขายไม่ออก (ฮา)
คาดว่าน่าจะถ่ายทำกันตรงลานเก็บรถของนิสสันตรงย่านริมถนนบางนา-ตราดน่ะแหล่ะ (เดานะครับ)
แต่ถ้าเป็นคนมีประสบการณ์แย่กับการแย่งชิงที่จอดรถมาเยอะ ก็พาลจะไม่ชอบว่าเป็นโฆษณาที่ไม่สร้างสรรค์เอาซะเลย เพราะเอารถมา
แย่ที่จอดรถกัน แต่ผมกลับเห็นว่าเอา March มาวิ่งไล่กันแบบเก้าอี้ดนตรีมากกว่า
คนที่ชอบรุ่น Bolero มากๆ ต้องบอกก่อนว่า กระจังหน้าของรุ่น limited editionนั้น น่าจะไม่
เหมือนกับ Bolero ซะทีเดียวนะครับ
1) มันจะไม่ใช่โครเมี่ยมทั้งชิ้นแบบของญี่ปุ่น ทรงตาข่ายจะเป็นสีออกเทาดำๆ
2) มีโลโก้แปะมาให้ตรงกลางซึ่งน่าจะถอดได้ นิสสันคงไม่ได้ทำโมลด์ใหม่ให้เปลือง
คงใช้กระจังหน้า Bolero มาขายนี่แหล่ะ แต่คนล่ะสี ส่วนโลโก้ก็คงติดไปดื้อๆ ยังงั้น
ขาย limited แค่ 600 คัน แต่แปลว่ายังไง แปลว่า รุ่นไหนก็ได้ที่เป็นนิสสันมาร์ชเราสามารถเข้าศูนย์แล้วไปเบิกกับฝ่ายอะไหล่
เอากันชนกับกระจังหน้าตัวนี้ได้เลยตลอดเวลา และอย่างน้อยก็ 10 ปีอัพ ใครใช้รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ ก็ต้องไปเบิกไฟหน้าไมเนอร์มาด้วย
นะครับ
แต่เดิมมีคนแต่ง Bolero กันเยอะ แต่งานเข้ากันตรงที่ มักไม่ได้ที่ปิดหูลากมาด้วยบ้างล่ะ ตอนชนกันชนพัง ประกันก็หามาเปลี่ยน
ให้ไม่ได้บ้างล่ะ เพราะมันเป็นของมือสองจากญี่ปุ่น ทีนี้ล่ะ สามารถเบิกจากศูนย์ได้ซะที
กระจังหน้าไม่ได้ชุบโครเมี่ยมมาให้ อาจจะลำบาก เพราะมันจะไม่เหมือน Bolero
ต้องไปหาที่ชุบเพราะมันพ่นสีเอาไม่ได้ หรืออาจจะมีร้านของแต่งเอามาทำขายก็ได้
ที่น่าสังเกตุคือราคาเพิ่มจากรุ่นปกติ 9,000 บาท
ลองคำนวณคร่าวๆ ถ้าไปเบิก part เอง ทำสีเองที่อู่ดีๆ ราคาก็คงเกือบๆ เท่านี้ล่ะมั้ง
สรุปคือนิสสันก็คงอยากให้คนเข้าไปเบิกอะไหล่เค้าเอาไปทำเองเหมือนกันน่ะแหล่ะ (เดาเอา)
สำหรับความแตกต่างจาก Bolero ให้สังเกตุที่กระจังในวีดีโอนี้ครับ เป็นโครเมี่ยมแวววาวหรูมาก
เค้าคนนี้กำลังจะมาแล้วประมาทไม่ได้เลยทีเดียวเชียว
ช่วงแรกที่เป็นเครื่องดีเซล ราคาคงไม่ชน น่าจะห่างจาก eco car ทั่วไป
ระดับ 60,000-100,000 (เดานะครับ)
แต่หลังจากนั้น (เมื่อไหร่ไม่รู้) รุ่น 1.3 ที่จะออกมา จะชนกับกลุ่ม eco car เดิมตรงๆ
ของสดใหม่ใครๆ ก็ชอบ ดังนั้นก็น่าจะจับตาดูดีๆ