[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 1
http://ppantip.com/topic/32689616
[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 2 Around Sapa
http://ppantip.com/topic/32689912
[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 3 175 km to Mù Cang Chai
http://ppantip.com/topic/32692814
[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 4 Comeback to Sapa Again
http://ppantip.com/topic/32706898
[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 5 Walk Hard in Hanoi
http://ppantip.com/topic/32720701
______________________________________________
มาถึงตอนสุดท้ายของทริปฮานอยซาปาแล้วครับ เบ็ดเสร็จก็ 5 ตอนพอดิบพอดี ในตอนนี้ผมกลับเข้าไปยังฮานอยอีกครั้งและก็มีโอกาสได้ถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ รวมไปถึงที่ช้อปปิ้งเด็ดๆ และการเจอร้านกาแฟรสชาติดีบวกกับบรรยากาศที่เจ๋งสุดๆ ไปเลย เอาเป็นว่าตอนสุดท้ายนี้น่าจะพอให้คลายความเลี่ยนจากการเห็นแต่นาขั้นบันไดไปได้บ้างนะ
เข้านี้ยังอยู่ในซาปาแต่ต้องขึ้นรถไฟช่วงหนึ่งทุ่ม ดังนั้นผมจึงตื่นแต่เช้ารีบมาที่ริมทะเลสาบก่อนเพราะอยากจะมาเก็บภาพเงา สะท้อนน้ำ เป็นอีกมุมที่เล็งไว้ตั้งแต่มาถึงวันแรกๆ
จากนั้นก็ไปเดินในตลาดก่อนจะมานั่งร้านกาแฟและเห็นว่ามีการเวียดนามเองก็มีเครื่องชงอันเป็นเอกลักษณ์แบบของเขาอยู่เหมือนกัน เนื่องจากคนในประเทศนิยมดื่มกาแฟไม่แพ้คนไทย และนี่คือหน้าตาเครื่องชงกาแฟเวียดนามสไตล์ครับ สำหรับหลักการชงก็ง่ายมากคือนำกาแฟบดหยาบมาใส่ในที่กรองและเทน้ำร้อนไปทีละนิด ตัวน้ำกาแฟสดจะหยดลงแก้วไปเรื่อยๆ เมื่อน้ำแห้งก็เทน้ำเข้าไปเพิ่ม ส่วนก้นแก้วที่เห็นเป็นสีขาวๆ คือนมขึ้นหวาน
นั่งรอเวลากลับจากซาปาไปฮานอยในช่วงบ่ายด้วยการนั่งรถของโรงแรม
ในกลุ่มนี้มีแต่คนไทยครับ เรียกว่าขึ้นไปแล้วพูดคุยกันสนุกปาก
พอมาถึงที่สถานีรถไฟลาวไกแล้วก็รีบขึ้นไปยังโบกี้เลยครับเพราะรถไฟที่เวียดนามออกค่อนข้างตรงเวลา ว่าแล้วเพื่อนผมก็เอาโน๊ตบุ๊คขึ้นมาแต่งภาพชิวๆ ซะเลย มันบอกว่าชักจะเริ่มคุ้นเคยกับโบกี้แบบนี้ซะแล้วสิ
ตี 5 กว่าๆ เรามาถึงฮานอยเร็วกว่ากำหนด ก็รีบเข้าที่พัก The Sinh Cafe Travel ห้องที่ได้เป็นห้องแบบนอนรวม ราคาค่านอนอยู่ที่คืนละ 5 เหรียญเท่านั้น สภาพห้องนอนก็ตามภาพ แอบรกตามภาษานักเดินทาง
ราคา 5 เหรียญต่อคืน (160 บาท) ก็ถือว่าโคตรถูกแล้วแต่เขายังมีอาหารเช้าให้อีกด้วย เป็นขนมปังฝรั่งเศสทานคู่กับไข่เจียว พออิ่มท้องแล้วเห็นบนโต๊ะผมมั้ยว่ามีแผนที่กางอยู่ วันนี้เราจะไปทั้งสถานที่เที่ยวหลักๆ แถวๆ นี้กัน
จากจุดที่มาร์คเอาไว้จะเห็นได้ว่าบริเวณรอบๆ ที่พักเต็มไปด้วยสถานที่เที่ยวและช้อปปิ้ง ซึ่งสะดวกมากในการเดินทางโดยแต่ละที่สามารถใช้การเดินได้ทั้งหมด ไม่ต้องเปลืองค่าแท็กซี่
ที่แรกที่พามาอยู่ใกล้ที่พักที่สุดคือโบสถ์เซนต์โจเซฟ จากที่เราไปมาในวันแรกฟ้าเน่ายังไง วันนี้ฟ้าก็เน่าอย่างนั้น แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีเพราะวันอาทิตย์ตัวโบสถ์เขาเปิดให้คนเข้าไปได้ซึ่งภายในมีการประกอบพิธีทางศาสนา
ตอนเข้าไปในตัวโบสถ์เห็นมีป้ายบอกว่าไม่ห้ามเรื่องการถ่ายภาพแต่ห้ามใช้แฟลชอย่างเดียว ผมเลยรีบกางขาตั้งกล้องตรงทางเดิน รีบเก็บภาพอย่างเงียบๆ และเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เสร็จจากการชมโบสถ์แล้วก็เป็นช่วงเที่ยงพอดี ได้ยินมาว่าที่ฮานอยมีห้างสรรพสินค้าสุดหรูที่ประเทศเกาหลีได้มาเปิดเอาไว้ ชักอยากจะเห็นกับตาแล้วสิว่าเป็นยังไง ว่าแล้วก็ต้องไปชมกันสักหน่อย
ห้าง Lotte เป็นห้างจากประเทศเกาหลีที่ได้มาตีตลาดการค้าในประเทศเวียดนามโดยภายในตัวห้างมีความหรูหราและสินค้าที่ขายก็เต็มไปด้วยแบรนด์เกาหลีมากมาย
ชั้นบนมีร้านอาหารไทยอยู่ชื่อว่า Thai Express ราคาแรงกว่าบ้านเราเยอะแต่ดูท่าจะเป็นที่นิยมของคนเวียดนามเพราะเห็นคนมากกว่าร้านอื่นๆ
เรื่องเที่ยวห้างไม่ค่อยฟินเท่าไหร่ มาต่อกันที่วัดหง็อกเซินหรือวัดเนินหยก (Ngoc Son Temple) วัดดังของฮานอยดีกว่า ใครที่อยากมาวัดนี้ไม่ยากเลยเพราะตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Hồ Hoàn Kiếm) โดยเราจะเห็นสะพานสีแดงแต่ไกลนั่นแสดงว่าเรามาถูกที่แล้ว
ราคาค่าเข้าวัดหง็อกเซินอยู่ที่ 20,000 ดอง
วันที่ผมไปเหมือนจะมีกิจกรรมอะไรสักอย่าง มีการร้องเพลงเล่นดนตรีสร้างความบันเทิงแก่ผู้ที่มาเยือน
ภายในวัดไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดก็คือเต่าขนาดใหญ่ที่สต๊าฟเอาไว้ โดยมีตำนานเล่าว่าเป็นเต่าศักดิ์สิทธิ์ในทะเลสาบแห่งนี้เป็นผู้มอบดาบวิเศษให้แก่พระเจ้าเลไท่โต่ (Lý Thái Tổ) นำไปต่อสู้กับกองทัพจีนจนสามารถปลดปล่อยเวียดนามเป็นอิสระ จากนั้นพระองค์จึงกลับมาที่ทะเลสาบเพื่อคืนดาบแก่เต่าบ้างก็ว่าในขณะที่พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ เต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วหายไปในทะเลสาบอันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า ทะเลสาบคืนดาบ
ก็เป็นหนึ่งในตำนานที่เล่าขานกันมาจนปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างแวะมาเยื่ยมเยือนกันมากมายจนเป็นสถานที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาด
พอเดินออกมากำลังจะไปชมที่อื่นกันต่อ โอ้ว เห็นสามล้อถีบพอดี เกือบลืมไปว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งสีสันที่เจอได้แต่ในเวียดนามเท่านั้น เจ้าสามล้อถีบเรียกว่า “แซบาแบ้ง” หรือที่นิยมเรียกว่า “ซิโคล่” (Cyclo) เป็นอีกตัวเลือกสำหรับการนั่งเที่ยวชมเมือง โดยผู้โดยสารจะนั่งอยู่ด้านหน้าและด้วยขนาดที่ค่อนข้างกว้างผู้โดยสารจึง สามารถขยับตัวไปมาเพื่อถ่ายภาพได้อย่างสบายๆ รถซิโคล่นี้นอกจากจะใช้รับคนแล้วยังเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการขนสินค้าอีกด้วย
บริเวณทะเลสาบถ้าเดินมาเรื่อยๆ จะเจอกับวงเวียน Đài phun nước เป็นที่รวมวัยรุ่นอีกแห่งหนึ่งและรวมร้านช้อปปิ้งต่างๆ มากมาย ที่สำคัญใครที่รับอาหารท้องถิ่นของเวียดนามไม่ได้แถวนี้มี KFC ที่คุ้นเคยไว้เป็นตัวเลือกด้วยนะ
สินค้าที่เห็นขายกันเยอะที่สุดคงไม่พ้นกระเป๋ายี่ห้อดังคุ้นตาหลายรุ่น บอกเลยว่ามีทั้งของดีและไม่ดี ใครที่มาต้องเลือกเองให้ดีๆ รับรองได้ของดีราคาถูกกลับไปอย่างแน่นอน
ใกล้ช่วงฤดูหนาวขึ้นทุกทีใครที่อยากได้เสื้อกันหนาวเท่ห์ๆ ยี่ห้อ North Face ก็มาหาดูได้ในย่านนี้
เป็น ไงล่ะ พอเดินดูของมากๆ ความเสี้ยนความอยากก็บังเกิด เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างเสียเงินกันถ้วนหน้ารวมไปถึงตัวผมเองด้วยที่จัดทั้งกระเป๋าและเสื้อกันหนาวของ North Face มาอย่างละชิ้นในภาพคนที่สองจากซ้ายคือแม่ค้าของร้านหน้าตาบ๊องแบ๊วคุยสนุก ต่อราคาก็ง่าย ><
หลังจากได้ของแล้วระหว่างเดินไปเห็นร้านนึงสะดุดตาเข้า ดูภายนอกเผินๆ อย่างกับไปรษณีย์ แต่พออ่านดีๆ นี่มันร้านกาแฟนี่หว่า ชื่อว่าร้าน The Note Coffee ดูน่าสนใจดี
ภายในร้านมีการจัดแต่งเรียบๆ แต่กิมมิคของร้านอยู่ตรงที่ใครมาทานที่ร้านสามารถเขียนความในใจลงกระดาษโน๊ตและนำไปแปะไว้ตรงไหนของร้านก็ได้ อันนี้เป็นแค่มุมนึงของร้านเท่านั้น
หน้าตาเบเกอรี่เห็นบ้านๆ แบบนี้รสชาติโอเคเลย
และที่ขาดไม่ได้เลยคือพนักงานของร้านน่ารักคาวาอิมาก เพื่อนที่ไปด้วยถึงขั้นเพ้ออยากมาซ้ำบ่อยๆ
ผมเดินวนเวียนอยู่ในย่านขายของจนถึงพระอาทิตย์ตกเพื่อรอช่วงที่หอคอยเต่าเปิดไฟซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะสวยจริงๆ
ช่วงดึกถ้าใครอยากจะมาดูรองเท้าเกรด A++ ก็ต้องมาแถวถนน Đinh Tiên Hoàng ตามซอยต่างๆ ตรงข้ามวัดวัดหง็อกเซินในนั้นมีร้านเพียบ
เอาตรงๆ ตัวงานไม่ค่อยเนี๊ยบเท่าไหร่ แต่ราคาถูกมาก ถ้าซื้อมาใส่ดูเผินๆ ก็เหมือนของจริงแต่ราคาถูกกว่าประมาณ 70% ได้
นอกจากรองเท้าแล้วเสื้อยืดสีแดงธงชาติก็เป็นที่ป๊อบปูล่าเหมาะแก่การควักเงินจ่ายมาเป็นเจ้าของสักตัว
ปิดท้ายด้วยการไปเจอร้านกาแฟน่านั่งอีกหนึ่งร้านชื่อว่า Kodo Cafe ตั้งอยู่บนถนน Hàng Bông เป็นร้านที่ดูหรูสุดตั้งแต่มาเวียดนามละ
ภายในร้านมีการตกแต่งด้วยสีสันมากมาย พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็แจ่ม บร้ะ มาร้านกาแฟรอบนี้พวกพนักงานร้านกาแฟน่ารักๆ ทั้งนั้นเลยวุ้ย
พอๆ มาดูที่เมนูเด่นๆ กันบ้าง ผมสั่งน้ำปั่น มากัน 4 คนก็สั่งคนละอย่างเลย ทั้งกาแฟมิ้นท์ บลูเบอร์รี่ปั่น สตรอว์เบอร์รี โรสแมรี่ปั่น อร่อยทุกแก้ว ถ้าซื้อแบบ Take Away ก็ลดราคาอีก 20%
หลังจากทานกาแฟที่ Kodo เสร็จก็ได้เวลากลับห้องนอนเพราะเช้าอีกวันก็ถึงเวลาที่ต้องกลับประเทศไทยกัน แล้วเป็นอันจบทริปฮานอย – ซาปา ครั้งแรกอย่างสมบูรณ์แบบซึ่งผมก็เชื่อว่าใครที่ได้เห็นการเดินทางทริปนี้ก็ คงจะได้รับข้อมูลต่างๆ มากขึ้นโดยเฉพาะที่เที่ยวในซาปาและมุกางจ่ายอันเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวใน ฝันของใครหลายๆ คน
[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 5 Walk Hard in Hanoi
[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 2 Around Sapa http://ppantip.com/topic/32689912
[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 3 175 km to Mù Cang Chai http://ppantip.com/topic/32692814
[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 4 Comeback to Sapa Again http://ppantip.com/topic/32706898
[CR] ครั้งแรกที่ฮานอย - ซาปา ตอน 5 Walk Hard in Hanoi http://ppantip.com/topic/32720701
______________________________________________
มาถึงตอนสุดท้ายของทริปฮานอยซาปาแล้วครับ เบ็ดเสร็จก็ 5 ตอนพอดิบพอดี ในตอนนี้ผมกลับเข้าไปยังฮานอยอีกครั้งและก็มีโอกาสได้ถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ รวมไปถึงที่ช้อปปิ้งเด็ดๆ และการเจอร้านกาแฟรสชาติดีบวกกับบรรยากาศที่เจ๋งสุดๆ ไปเลย เอาเป็นว่าตอนสุดท้ายนี้น่าจะพอให้คลายความเลี่ยนจากการเห็นแต่นาขั้นบันไดไปได้บ้างนะ
เข้านี้ยังอยู่ในซาปาแต่ต้องขึ้นรถไฟช่วงหนึ่งทุ่ม ดังนั้นผมจึงตื่นแต่เช้ารีบมาที่ริมทะเลสาบก่อนเพราะอยากจะมาเก็บภาพเงา สะท้อนน้ำ เป็นอีกมุมที่เล็งไว้ตั้งแต่มาถึงวันแรกๆ
จากนั้นก็ไปเดินในตลาดก่อนจะมานั่งร้านกาแฟและเห็นว่ามีการเวียดนามเองก็มีเครื่องชงอันเป็นเอกลักษณ์แบบของเขาอยู่เหมือนกัน เนื่องจากคนในประเทศนิยมดื่มกาแฟไม่แพ้คนไทย และนี่คือหน้าตาเครื่องชงกาแฟเวียดนามสไตล์ครับ สำหรับหลักการชงก็ง่ายมากคือนำกาแฟบดหยาบมาใส่ในที่กรองและเทน้ำร้อนไปทีละนิด ตัวน้ำกาแฟสดจะหยดลงแก้วไปเรื่อยๆ เมื่อน้ำแห้งก็เทน้ำเข้าไปเพิ่ม ส่วนก้นแก้วที่เห็นเป็นสีขาวๆ คือนมขึ้นหวาน
นั่งรอเวลากลับจากซาปาไปฮานอยในช่วงบ่ายด้วยการนั่งรถของโรงแรม
ในกลุ่มนี้มีแต่คนไทยครับ เรียกว่าขึ้นไปแล้วพูดคุยกันสนุกปาก
พอมาถึงที่สถานีรถไฟลาวไกแล้วก็รีบขึ้นไปยังโบกี้เลยครับเพราะรถไฟที่เวียดนามออกค่อนข้างตรงเวลา ว่าแล้วเพื่อนผมก็เอาโน๊ตบุ๊คขึ้นมาแต่งภาพชิวๆ ซะเลย มันบอกว่าชักจะเริ่มคุ้นเคยกับโบกี้แบบนี้ซะแล้วสิ
ตี 5 กว่าๆ เรามาถึงฮานอยเร็วกว่ากำหนด ก็รีบเข้าที่พัก The Sinh Cafe Travel ห้องที่ได้เป็นห้องแบบนอนรวม ราคาค่านอนอยู่ที่คืนละ 5 เหรียญเท่านั้น สภาพห้องนอนก็ตามภาพ แอบรกตามภาษานักเดินทาง
ราคา 5 เหรียญต่อคืน (160 บาท) ก็ถือว่าโคตรถูกแล้วแต่เขายังมีอาหารเช้าให้อีกด้วย เป็นขนมปังฝรั่งเศสทานคู่กับไข่เจียว พออิ่มท้องแล้วเห็นบนโต๊ะผมมั้ยว่ามีแผนที่กางอยู่ วันนี้เราจะไปทั้งสถานที่เที่ยวหลักๆ แถวๆ นี้กัน
จากจุดที่มาร์คเอาไว้จะเห็นได้ว่าบริเวณรอบๆ ที่พักเต็มไปด้วยสถานที่เที่ยวและช้อปปิ้ง ซึ่งสะดวกมากในการเดินทางโดยแต่ละที่สามารถใช้การเดินได้ทั้งหมด ไม่ต้องเปลืองค่าแท็กซี่
ที่แรกที่พามาอยู่ใกล้ที่พักที่สุดคือโบสถ์เซนต์โจเซฟ จากที่เราไปมาในวันแรกฟ้าเน่ายังไง วันนี้ฟ้าก็เน่าอย่างนั้น แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีเพราะวันอาทิตย์ตัวโบสถ์เขาเปิดให้คนเข้าไปได้ซึ่งภายในมีการประกอบพิธีทางศาสนา
ตอนเข้าไปในตัวโบสถ์เห็นมีป้ายบอกว่าไม่ห้ามเรื่องการถ่ายภาพแต่ห้ามใช้แฟลชอย่างเดียว ผมเลยรีบกางขาตั้งกล้องตรงทางเดิน รีบเก็บภาพอย่างเงียบๆ และเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เสร็จจากการชมโบสถ์แล้วก็เป็นช่วงเที่ยงพอดี ได้ยินมาว่าที่ฮานอยมีห้างสรรพสินค้าสุดหรูที่ประเทศเกาหลีได้มาเปิดเอาไว้ ชักอยากจะเห็นกับตาแล้วสิว่าเป็นยังไง ว่าแล้วก็ต้องไปชมกันสักหน่อย
ห้าง Lotte เป็นห้างจากประเทศเกาหลีที่ได้มาตีตลาดการค้าในประเทศเวียดนามโดยภายในตัวห้างมีความหรูหราและสินค้าที่ขายก็เต็มไปด้วยแบรนด์เกาหลีมากมาย
ชั้นบนมีร้านอาหารไทยอยู่ชื่อว่า Thai Express ราคาแรงกว่าบ้านเราเยอะแต่ดูท่าจะเป็นที่นิยมของคนเวียดนามเพราะเห็นคนมากกว่าร้านอื่นๆ
เรื่องเที่ยวห้างไม่ค่อยฟินเท่าไหร่ มาต่อกันที่วัดหง็อกเซินหรือวัดเนินหยก (Ngoc Son Temple) วัดดังของฮานอยดีกว่า ใครที่อยากมาวัดนี้ไม่ยากเลยเพราะตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม (Hồ Hoàn Kiếm) โดยเราจะเห็นสะพานสีแดงแต่ไกลนั่นแสดงว่าเรามาถูกที่แล้ว
ราคาค่าเข้าวัดหง็อกเซินอยู่ที่ 20,000 ดอง
วันที่ผมไปเหมือนจะมีกิจกรรมอะไรสักอย่าง มีการร้องเพลงเล่นดนตรีสร้างความบันเทิงแก่ผู้ที่มาเยือน
ภายในวัดไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดก็คือเต่าขนาดใหญ่ที่สต๊าฟเอาไว้ โดยมีตำนานเล่าว่าเป็นเต่าศักดิ์สิทธิ์ในทะเลสาบแห่งนี้เป็นผู้มอบดาบวิเศษให้แก่พระเจ้าเลไท่โต่ (Lý Thái Tổ) นำไปต่อสู้กับกองทัพจีนจนสามารถปลดปล่อยเวียดนามเป็นอิสระ จากนั้นพระองค์จึงกลับมาที่ทะเลสาบเพื่อคืนดาบแก่เต่าบ้างก็ว่าในขณะที่พระองค์ทรงเรือไปกลางทะเลสาบเพื่อคืนดาบวิเศษให้กับเต่าศักดิ์สิทธิ์ เต่าได้ขึ้นมาฉกดาบไปจักพระหัตถ์ของพระองค์ แล้วหายไปในทะเลสาบอันเป็นเหตุให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อว่า ทะเลสาบคืนดาบ
ก็เป็นหนึ่งในตำนานที่เล่าขานกันมาจนปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวต่างแวะมาเยื่ยมเยือนกันมากมายจนเป็นสถานที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาด
พอเดินออกมากำลังจะไปชมที่อื่นกันต่อ โอ้ว เห็นสามล้อถีบพอดี เกือบลืมไปว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งสีสันที่เจอได้แต่ในเวียดนามเท่านั้น เจ้าสามล้อถีบเรียกว่า “แซบาแบ้ง” หรือที่นิยมเรียกว่า “ซิโคล่” (Cyclo) เป็นอีกตัวเลือกสำหรับการนั่งเที่ยวชมเมือง โดยผู้โดยสารจะนั่งอยู่ด้านหน้าและด้วยขนาดที่ค่อนข้างกว้างผู้โดยสารจึง สามารถขยับตัวไปมาเพื่อถ่ายภาพได้อย่างสบายๆ รถซิโคล่นี้นอกจากจะใช้รับคนแล้วยังเป็นยานพาหนะที่ใช้ในการขนสินค้าอีกด้วย
บริเวณทะเลสาบถ้าเดินมาเรื่อยๆ จะเจอกับวงเวียน Đài phun nước เป็นที่รวมวัยรุ่นอีกแห่งหนึ่งและรวมร้านช้อปปิ้งต่างๆ มากมาย ที่สำคัญใครที่รับอาหารท้องถิ่นของเวียดนามไม่ได้แถวนี้มี KFC ที่คุ้นเคยไว้เป็นตัวเลือกด้วยนะ
สินค้าที่เห็นขายกันเยอะที่สุดคงไม่พ้นกระเป๋ายี่ห้อดังคุ้นตาหลายรุ่น บอกเลยว่ามีทั้งของดีและไม่ดี ใครที่มาต้องเลือกเองให้ดีๆ รับรองได้ของดีราคาถูกกลับไปอย่างแน่นอน
ใกล้ช่วงฤดูหนาวขึ้นทุกทีใครที่อยากได้เสื้อกันหนาวเท่ห์ๆ ยี่ห้อ North Face ก็มาหาดูได้ในย่านนี้
เป็น ไงล่ะ พอเดินดูของมากๆ ความเสี้ยนความอยากก็บังเกิด เพื่อนๆ ในกลุ่มต่างเสียเงินกันถ้วนหน้ารวมไปถึงตัวผมเองด้วยที่จัดทั้งกระเป๋าและเสื้อกันหนาวของ North Face มาอย่างละชิ้นในภาพคนที่สองจากซ้ายคือแม่ค้าของร้านหน้าตาบ๊องแบ๊วคุยสนุก ต่อราคาก็ง่าย ><
หลังจากได้ของแล้วระหว่างเดินไปเห็นร้านนึงสะดุดตาเข้า ดูภายนอกเผินๆ อย่างกับไปรษณีย์ แต่พออ่านดีๆ นี่มันร้านกาแฟนี่หว่า ชื่อว่าร้าน The Note Coffee ดูน่าสนใจดี
ภายในร้านมีการจัดแต่งเรียบๆ แต่กิมมิคของร้านอยู่ตรงที่ใครมาทานที่ร้านสามารถเขียนความในใจลงกระดาษโน๊ตและนำไปแปะไว้ตรงไหนของร้านก็ได้ อันนี้เป็นแค่มุมนึงของร้านเท่านั้น
หน้าตาเบเกอรี่เห็นบ้านๆ แบบนี้รสชาติโอเคเลย
และที่ขาดไม่ได้เลยคือพนักงานของร้านน่ารักคาวาอิมาก เพื่อนที่ไปด้วยถึงขั้นเพ้ออยากมาซ้ำบ่อยๆ
ผมเดินวนเวียนอยู่ในย่านขายของจนถึงพระอาทิตย์ตกเพื่อรอช่วงที่หอคอยเต่าเปิดไฟซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะสวยจริงๆ
ช่วงดึกถ้าใครอยากจะมาดูรองเท้าเกรด A++ ก็ต้องมาแถวถนน Đinh Tiên Hoàng ตามซอยต่างๆ ตรงข้ามวัดวัดหง็อกเซินในนั้นมีร้านเพียบ
เอาตรงๆ ตัวงานไม่ค่อยเนี๊ยบเท่าไหร่ แต่ราคาถูกมาก ถ้าซื้อมาใส่ดูเผินๆ ก็เหมือนของจริงแต่ราคาถูกกว่าประมาณ 70% ได้
นอกจากรองเท้าแล้วเสื้อยืดสีแดงธงชาติก็เป็นที่ป๊อบปูล่าเหมาะแก่การควักเงินจ่ายมาเป็นเจ้าของสักตัว
ปิดท้ายด้วยการไปเจอร้านกาแฟน่านั่งอีกหนึ่งร้านชื่อว่า Kodo Cafe ตั้งอยู่บนถนน Hàng Bông เป็นร้านที่ดูหรูสุดตั้งแต่มาเวียดนามละ
ภายในร้านมีการตกแต่งด้วยสีสันมากมาย พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็แจ่ม บร้ะ มาร้านกาแฟรอบนี้พวกพนักงานร้านกาแฟน่ารักๆ ทั้งนั้นเลยวุ้ย
พอๆ มาดูที่เมนูเด่นๆ กันบ้าง ผมสั่งน้ำปั่น มากัน 4 คนก็สั่งคนละอย่างเลย ทั้งกาแฟมิ้นท์ บลูเบอร์รี่ปั่น สตรอว์เบอร์รี โรสแมรี่ปั่น อร่อยทุกแก้ว ถ้าซื้อแบบ Take Away ก็ลดราคาอีก 20%
หลังจากทานกาแฟที่ Kodo เสร็จก็ได้เวลากลับห้องนอนเพราะเช้าอีกวันก็ถึงเวลาที่ต้องกลับประเทศไทยกัน แล้วเป็นอันจบทริปฮานอย – ซาปา ครั้งแรกอย่างสมบูรณ์แบบซึ่งผมก็เชื่อว่าใครที่ได้เห็นการเดินทางทริปนี้ก็ คงจะได้รับข้อมูลต่างๆ มากขึ้นโดยเฉพาะที่เที่ยวในซาปาและมุกางจ่ายอันเป็นหนึ่งในสถานที่เที่ยวใน ฝันของใครหลายๆ คน