เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปร่วมฟังเสวนาในงานเปิดตัวนิทรรศการDramathais
ที่จัดขึ้น ณ แอดเลอร์ศุภโชค แกลอรี่ มาค่ะ โดยแนวคิดของงานน่าสนใจ อีกทั้งชมฟรี แถมชื่นชอบในตัวศิลปินเป็นพิเศษ 5555++ (แอบหัวเราะ) ด้วยแนวคิดที่ตั้ง แอดเลอร์ นิทรรศการครั้งนี้ จะสะท้อนสังคมในปัจจุบัน ผ่านปลายพู่กันของ สามศิลปินไทย คือ ปาล์ม-ปรียวิศว์ นิลจุลกะ, ซาโต้- ฑีฆวุฒิ บุญวิจิตร และ จอร์ช-ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล โดยผลงานของทั้งสามคน ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานพิธีเปิดอย่างเป็นทางการค่ะ ผลงานงามงดมากๆ
โดยบรรยากาศในงานเปิดนิทรรศการครั้งนี้ เริ่มจากการตั้งวงเสวนาเล็กๆ ร่วมพูดคุยกันถึงที่มาของแนวคิด Dramathais (ดรามาไทส์) กับ คุณเอิง-จงสุวัฒน์ อังคสุวรรณศิริ ผู้อำนวยการ แอดเลอร์ ศุภโชค แกลอรี่ ศิลปินที่แสดงผลงานทั้ง 3 คน คือ และมีผู้กำกับละครโทรทัศน์จากค่ายเอ็กแซ็กท์ คือคุณอาร์ต-จาริวัฒน์ อุปการไชยพัฒน์
การเสวนาเต็มไปด้วยเรื่องของ แนวคิดของผลงานแต่ละชิ้นว่ามีที่ไปที่มาอย่างไร ชอบค่ะ ปกติเมื่อก่อนไปชมงานศิลปะ เราก็ได้แต่มองว่าสวยจัง อ่านชื่อภาพแนวคิดศิลปิน แล้วก็กลับ แต่มางานนี้เรารู้สึกได้ถึงการมองศิลปะที่เปลี่ยนไป
เราเข้าใจกว่าทุกครั้งที่ได้ชมงาน เข้าใจว่าศิลปินมองแบบไหนต้องการสื่อสารอะไรกับเรา ต้องการหะเราเห็นอะไร แต่ไม่ใช่การตีกรอบ ว่าต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น เราคิดได้หลากหลาย แต่แค่เข้าใจง่ายเท่านั้นเอง ทั้งการวางคอนเซ็ปท์เสียดสีสังคมยุคใหม่อย่างดรามาไทส์ ก็ทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ศิลปินที่เสวนาก็ตีแผ่ความคิดของตนเองสะท้อนออกมาได้หลากหลาย อย่างพี่ปาล์มนักร้องนำขวัญใจวัยรุ่นจากวงอินสติงค์ (Instinct) เล่าถึงผลงานของตัวเองว่า

“เมื่อก่อนมักจะเล่าเรื่องเสียดสีสังคมในเรื่องของเซ็กส์ แต่สำหรับงานชุดนี้เกิดจากการสอดส่องเรื่องราวที่เกิดขึ้นบน Social Media เป็นดราม่าบนสังคมออนไลน์ที่ขยายผลจนถึงสังคมปัจจุบัน เรื่องราวที่ผมหยิบมาสื่อสารล้วนมาจากสิ่งที่ได้พบเจอในช่วงจังหวะเวลาที่คนทำงานกลางคืนอย่างอาชีพนักดนตรีอย่างผมมักมีโอกาสได้เจอบ่อยๆ รวมถึงข่าวสารที่ถูกตีแผ่ผ่านสื่ออยู่ทุกวัน ทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าของเครื่องแบบที่แต่ละอาชีพสวมใส่ เช่น แพทย์กับพยาบาล กัปตันกับแอร์โฮสเตส ตำรวจกับส่วย หรือแม้แต่พระสงฆ์กับเรื่องผู้หญิง ซึ่งผมมองว่าบางความสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องปกติ ในขณะที่บางความสัมพันธ์นั้นกลับสะท้อนให้เห็นถึงสังคมไทยที่กำลังป่วย”
ส่วนผลงานของ จอร์ช-ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล ศิลปินที่คลุกคลีอยู่ในวงการจิตรกรรมฝาผนังซึ่งมักผสมผสานจิตรกรรมไทยเอาไว้ในผลงานเสมอ โดยงานชุดนี้ได้หยิบเอาความเชื่อทางพุทธศาสนามาบอกเล่าถึงสังคมไทยในปัจจุบัน จอร์ชเล่าว่า ‘กิน กาม และเกียรติ’ คือสามสิ่งที่เข้าครอบงำร่างกายและจิตใจ จนทำให้มนุษย์ขาดอิสรภาพไปโดยไม่รู้ตัว “ผมเลือกหยิบเอาคำว่ากิเลสในตัวมนุษย์มาถ่ายทอดเป็นงานศิลปะ โดยใช้ภาพแนวจิตรกรรมฝาผนัง มาผสมผสานกับภาพแบบเหมือนจริง หรือ Realistic ในบริบทของสังคมปัจจุบันที่ผู้คนมีความอยาก ความต้องการในด้านวัตถุโดยไม่รู้ตัว เช่น ข้าวของเครื่องใช้ กระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้าเครื่องประดับ หรือแม้แต่การบริโภคอาหาร ถ้าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เข้าครอบงำมากๆ จะทำให้มนุษย์ขาดการไตร่ตรองที่ถูกต้อง กลายเป็นคนขาดศีลธรรม อยากได้อยากมี โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือตามมา” ในขณะที่เรื่องราวในสังคมกำลังถูกตีแผ่และถ่ายทอดโดยศิลปินทั้งสองคน

แต่กับ ซาโต้ ศิลปินมือรางวัลกลับเลือกที่จะสะบัดปลายพู่กันเล่าเรื่องราวความซับซ้อนในจิตใจของตน ให้ออกมาในรูปแบบแฟนตาซี “ผมเลือกเอาความรู้สึกภายในของตัวเองออกมาถ่ายทอด ซึ่งมีทั้งความเหงา อ้างว้าง และโดดเดี่ยวอยู่ภายในจิตใจ งานจึงออกมาในรูปแบบแฟนตาซี เหนือจริง แต่ในความเหนือจริงก็อ้างอิงจากโลกปัจจุบันด้วย ผมสะท้อนอารมณ์ออกมาในรูปร่างของมนุษย์หัวกระต่าย มีกล้ามเนื้อ มีสรีระเหมือนจริง ส่วนหัวกระต่ายเป็นตัวแทนของโลกแฟนตาซี ซึ่งผลงานในครั้งนี้มีความเป็นตัวเองมากขึ้น รวมทั้งมีความรู้สึกที่อินไปกับสังคมมากขึ้นด้วย ส่วนคุณอาร์ต อาร์ต-จาริวัฒน์ อุปการไชยพัฒน์ ที่มาบอกเล่าเรื่องราวในบทบาทของผู้ที่รับหน้าที่กำกับผู้อื่น กับบทบาทความเป็นมนุษย์ในแบบดรามาไทส์ที่ถูกกำกับจากสังคม โดยคุณอาร์ตได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการถูกกำกับ ประมาณว่า“ชีวิตของมนุษย์ ไม่ควรให้อะไรมากำหนด ควรมีสติการใช้ชีวิตอยู่เสมอ สำหรับคำพูดที่ว่า ละครสะท้อนสังคมนั้น ก็มีส่วนจริง แท้จริงแล้วในสังคมมีความดราม่ายิ่งกว่าในละครมากนัก ละครเองก็เลือกสรรส่วนที่สำคัญมาถ่ายทอด เช่นเดียวกับศิลปินที่คัดสรรเรื่องราวสำคัญในชีวิตมาถ่ายทอดสำหรับนิทรรศการศิลปะในครั้งนี้” นับว่าเป็นช่วงเสวนาที่เข้มข้นสนุกสนานมากค่ะ ตอนฟังๆอาจจะงง แต่พอเห็นผลงานภาพวาดของทั้งสามท่านเราก็ร้อง อ๋อ ทันทีค่ะ ช่วงเย็นมี ปาร์ตี้ต่อด้วยมี พี่จีน-กษิดิษ มาเป็นดีเจ แต่เราไม่ได้อยู่ ฟังแค่ช่วงเสวนาแล้วก็กลับ
จริงๆส่วนตัวเราคิดว่า การชมงานศิลปะ คล้ายๆการอ่านหนังสือ เรามองภาพแล้วเราก็คิดตาม แต่มันสนุกตรงที่ เราจินตนาการเองได้ว่า ตอนจบมันจะเป็นยังๆไงไม่มีเฉลยไม่มีถูกผิด ศิลปินเองก็คงอยากให้เป็นอย่างนั้นต้องการสื่อสารให้คนคิดหลายๆแบบ เป็นงานศิลปะงานแรกที่เรารู้สึกว่าโอเคมากๆ ถ้าหากใครสนใจจะไปชมนิทรรศการนี้ยังจัดอยู่นะคะ ถึง 30 พฤศจิกายน 2557 ณ แอดเลอร์ ศุภโชค แกลอรี่ สุขุมวิท 39 ได้ข่าวว่าถูกจองไปเกือบหมดแล้วแต่ยังเปิดให้ชมผลงงานรู้สึกว่าไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ


ไปชม นิทรรศการงานศิลปะแนวสะท้อนสังคมมาไม่ผิดหวังค่ะ ชื่องาน Dramathais แถวสุขุมวิท 39
ที่จัดขึ้น ณ แอดเลอร์ศุภโชค แกลอรี่ มาค่ะ โดยแนวคิดของงานน่าสนใจ อีกทั้งชมฟรี แถมชื่นชอบในตัวศิลปินเป็นพิเศษ 5555++ (แอบหัวเราะ) ด้วยแนวคิดที่ตั้ง แอดเลอร์ นิทรรศการครั้งนี้ จะสะท้อนสังคมในปัจจุบัน ผ่านปลายพู่กันของ สามศิลปินไทย คือ ปาล์ม-ปรียวิศว์ นิลจุลกะ, ซาโต้- ฑีฆวุฒิ บุญวิจิตร และ จอร์ช-ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล โดยผลงานของทั้งสามคน ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ยังไม่เริ่มงานพิธีเปิดอย่างเป็นทางการค่ะ ผลงานงามงดมากๆ
โดยบรรยากาศในงานเปิดนิทรรศการครั้งนี้ เริ่มจากการตั้งวงเสวนาเล็กๆ ร่วมพูดคุยกันถึงที่มาของแนวคิด Dramathais (ดรามาไทส์) กับ คุณเอิง-จงสุวัฒน์ อังคสุวรรณศิริ ผู้อำนวยการ แอดเลอร์ ศุภโชค แกลอรี่ ศิลปินที่แสดงผลงานทั้ง 3 คน คือ และมีผู้กำกับละครโทรทัศน์จากค่ายเอ็กแซ็กท์ คือคุณอาร์ต-จาริวัฒน์ อุปการไชยพัฒน์
การเสวนาเต็มไปด้วยเรื่องของ แนวคิดของผลงานแต่ละชิ้นว่ามีที่ไปที่มาอย่างไร ชอบค่ะ ปกติเมื่อก่อนไปชมงานศิลปะ เราก็ได้แต่มองว่าสวยจัง อ่านชื่อภาพแนวคิดศิลปิน แล้วก็กลับ แต่มางานนี้เรารู้สึกได้ถึงการมองศิลปะที่เปลี่ยนไป
เราเข้าใจกว่าทุกครั้งที่ได้ชมงาน เข้าใจว่าศิลปินมองแบบไหนต้องการสื่อสารอะไรกับเรา ต้องการหะเราเห็นอะไร แต่ไม่ใช่การตีกรอบ ว่าต้องเป็นแบบนี้ แบบนั้น เราคิดได้หลากหลาย แต่แค่เข้าใจง่ายเท่านั้นเอง ทั้งการวางคอนเซ็ปท์เสียดสีสังคมยุคใหม่อย่างดรามาไทส์ ก็ทำให้เราเข้าใจอะไรได้มากขึ้น ศิลปินที่เสวนาก็ตีแผ่ความคิดของตนเองสะท้อนออกมาได้หลากหลาย อย่างพี่ปาล์มนักร้องนำขวัญใจวัยรุ่นจากวงอินสติงค์ (Instinct) เล่าถึงผลงานของตัวเองว่า
“เมื่อก่อนมักจะเล่าเรื่องเสียดสีสังคมในเรื่องของเซ็กส์ แต่สำหรับงานชุดนี้เกิดจากการสอดส่องเรื่องราวที่เกิดขึ้นบน Social Media เป็นดราม่าบนสังคมออนไลน์ที่ขยายผลจนถึงสังคมปัจจุบัน เรื่องราวที่ผมหยิบมาสื่อสารล้วนมาจากสิ่งที่ได้พบเจอในช่วงจังหวะเวลาที่คนทำงานกลางคืนอย่างอาชีพนักดนตรีอย่างผมมักมีโอกาสได้เจอบ่อยๆ รวมถึงข่าวสารที่ถูกตีแผ่ผ่านสื่ออยู่ทุกวัน ทำให้ผมเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ฉากหน้าของเครื่องแบบที่แต่ละอาชีพสวมใส่ เช่น แพทย์กับพยาบาล กัปตันกับแอร์โฮสเตส ตำรวจกับส่วย หรือแม้แต่พระสงฆ์กับเรื่องผู้หญิง ซึ่งผมมองว่าบางความสัมพันธ์ก็เป็นเรื่องปกติ ในขณะที่บางความสัมพันธ์นั้นกลับสะท้อนให้เห็นถึงสังคมไทยที่กำลังป่วย”
ส่วนผลงานของ จอร์ช-ธีรวัฒน์ นุชเจริญผล ศิลปินที่คลุกคลีอยู่ในวงการจิตรกรรมฝาผนังซึ่งมักผสมผสานจิตรกรรมไทยเอาไว้ในผลงานเสมอ โดยงานชุดนี้ได้หยิบเอาความเชื่อทางพุทธศาสนามาบอกเล่าถึงสังคมไทยในปัจจุบัน จอร์ชเล่าว่า ‘กิน กาม และเกียรติ’ คือสามสิ่งที่เข้าครอบงำร่างกายและจิตใจ จนทำให้มนุษย์ขาดอิสรภาพไปโดยไม่รู้ตัว “ผมเลือกหยิบเอาคำว่ากิเลสในตัวมนุษย์มาถ่ายทอดเป็นงานศิลปะ โดยใช้ภาพแนวจิตรกรรมฝาผนัง มาผสมผสานกับภาพแบบเหมือนจริง หรือ Realistic ในบริบทของสังคมปัจจุบันที่ผู้คนมีความอยาก ความต้องการในด้านวัตถุโดยไม่รู้ตัว เช่น ข้าวของเครื่องใช้ กระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้าเครื่องประดับ หรือแม้แต่การบริโภคอาหาร ถ้าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เข้าครอบงำมากๆ จะทำให้มนุษย์ขาดการไตร่ตรองที่ถูกต้อง กลายเป็นคนขาดศีลธรรม อยากได้อยากมี โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือตามมา” ในขณะที่เรื่องราวในสังคมกำลังถูกตีแผ่และถ่ายทอดโดยศิลปินทั้งสองคน
แต่กับ ซาโต้ ศิลปินมือรางวัลกลับเลือกที่จะสะบัดปลายพู่กันเล่าเรื่องราวความซับซ้อนในจิตใจของตน ให้ออกมาในรูปแบบแฟนตาซี “ผมเลือกเอาความรู้สึกภายในของตัวเองออกมาถ่ายทอด ซึ่งมีทั้งความเหงา อ้างว้าง และโดดเดี่ยวอยู่ภายในจิตใจ งานจึงออกมาในรูปแบบแฟนตาซี เหนือจริง แต่ในความเหนือจริงก็อ้างอิงจากโลกปัจจุบันด้วย ผมสะท้อนอารมณ์ออกมาในรูปร่างของมนุษย์หัวกระต่าย มีกล้ามเนื้อ มีสรีระเหมือนจริง ส่วนหัวกระต่ายเป็นตัวแทนของโลกแฟนตาซี ซึ่งผลงานในครั้งนี้มีความเป็นตัวเองมากขึ้น รวมทั้งมีความรู้สึกที่อินไปกับสังคมมากขึ้นด้วย ส่วนคุณอาร์ต อาร์ต-จาริวัฒน์ อุปการไชยพัฒน์ ที่มาบอกเล่าเรื่องราวในบทบาทของผู้ที่รับหน้าที่กำกับผู้อื่น กับบทบาทความเป็นมนุษย์ในแบบดรามาไทส์ที่ถูกกำกับจากสังคม โดยคุณอาร์ตได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการถูกกำกับ ประมาณว่า“ชีวิตของมนุษย์ ไม่ควรให้อะไรมากำหนด ควรมีสติการใช้ชีวิตอยู่เสมอ สำหรับคำพูดที่ว่า ละครสะท้อนสังคมนั้น ก็มีส่วนจริง แท้จริงแล้วในสังคมมีความดราม่ายิ่งกว่าในละครมากนัก ละครเองก็เลือกสรรส่วนที่สำคัญมาถ่ายทอด เช่นเดียวกับศิลปินที่คัดสรรเรื่องราวสำคัญในชีวิตมาถ่ายทอดสำหรับนิทรรศการศิลปะในครั้งนี้” นับว่าเป็นช่วงเสวนาที่เข้มข้นสนุกสนานมากค่ะ ตอนฟังๆอาจจะงง แต่พอเห็นผลงานภาพวาดของทั้งสามท่านเราก็ร้อง อ๋อ ทันทีค่ะ ช่วงเย็นมี ปาร์ตี้ต่อด้วยมี พี่จีน-กษิดิษ มาเป็นดีเจ แต่เราไม่ได้อยู่ ฟังแค่ช่วงเสวนาแล้วก็กลับ
จริงๆส่วนตัวเราคิดว่า การชมงานศิลปะ คล้ายๆการอ่านหนังสือ เรามองภาพแล้วเราก็คิดตาม แต่มันสนุกตรงที่ เราจินตนาการเองได้ว่า ตอนจบมันจะเป็นยังๆไงไม่มีเฉลยไม่มีถูกผิด ศิลปินเองก็คงอยากให้เป็นอย่างนั้นต้องการสื่อสารให้คนคิดหลายๆแบบ เป็นงานศิลปะงานแรกที่เรารู้สึกว่าโอเคมากๆ ถ้าหากใครสนใจจะไปชมนิทรรศการนี้ยังจัดอยู่นะคะ ถึง 30 พฤศจิกายน 2557 ณ แอดเลอร์ ศุภโชค แกลอรี่ สุขุมวิท 39 ได้ข่าวว่าถูกจองไปเกือบหมดแล้วแต่ยังเปิดให้ชมผลงงานรู้สึกว่าไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ