บั้งไฟขอฝนนี่ไม่เข้าข่ายวัตถุระเบิดตาม พรบ อาวุธปืน พ.ศ. 2490 เหรอครับ? ถึงทำกันเป็นล่ำเป็นสันเลย

ผมว่าหลังๆ นี่มันเข้าข่ายอาวุธสงครามได้เลยง่ายๆ นะครับ แล้วก็ยิ่งทำยิ่งต้องทำใหญ่มาแข่งกัน แต่ก่อนมีแค่บั้งไฟพัน หมื่น นี่ตอนนี้บั้งไฟล้านก็น่าจะเอาไม่อยู่แล้ว น่าจะมีการควบคุมการผลิตอย่างจริงจังได้แล้วนะครับ ทั้งเพื่อความปลอดภัยของผู้ทำเอง (ไม่ระเบิดระหว่างทำ ไม่ระเบิดที่ฐานตอนจุด) และคนอื่น (ไม่บินไปชนเครื่องบิน ไม่บินไปตกใส่หลังคาบ้านชาวบ้าน) ไอ้พวกที่ทำจากท่อ PVC ก็เลิกได้แล้ว ไม้ไผ่ก็น่าจะเอาอยู่ ควรมีการจำกัดความยาวและปริมาณดินปืนด้วยว่าห้ามใช้เกินเท่าไหร่ ใส่ยาวเกินเท่าไหร่ ไม่งั้นเดี๋ยว 12,000 ฟุตเอาไม่อยู่ อาจจะไปถึง 15,000 หรือ 20,000 กันง่ายๆ  เลยนะครับ

ความหมายของวัตถุระเบิดและดอกไม้เพลิงตาม พรบ. อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490

(๓) “วัตถุระเบิด” คือ วัตถุที่สามารถส่งกำลังดันอย่างแรงต่อสิ่งห้อมล้อมโดยฉับพลันในเมื่อระเบิดขึ้น โดยมีสิ่งเหมาะมาทำให้เกิดกำลังดัน หรือโดยการสลายตัวของวัตถุระเบิดนั้นทำให้มีแรงทำลายหรือแรงประหาร กับหมายความรวมตลอดถึงเชื้อประทุต่างๆ หรือวัตถุอื่นใดอันมีสภาพคล้ายคลึงกันซึ่งใช้ หรือทำขึ้นเพื่อให้เกิดการระเบิดซึ่งรัฐมนตรีจะได้ประกาศระบุไว้ในราชกิจจานุเบกษา
(๔) “ดอกไม้เพลิง” หมายความรวมตลอดถึงพลุ ประทัดไฟ ประทัดลม และวัตถุอื่นใด อันมีสภาพคล้ายคลึงกัน

มาตรา ๓๘ ห้ามมิให้ผู้ใด ทำ ซื้อ มี ใช้ สั่ง นำเข้า ค้า หรือจำหน่ายด้วยประการใดๆ ซึ่งวัตถุระเบิด เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่
นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากรัฐมนตรี

มาตรา ๔๗ ห้ามมิให้ผู้ใดทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิง เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่

มาตรา ๗๔ ผู้ใดฝ่าฝืนบทบัญญัติเกี่ยวกับวัตถุระเบิดตามมาตรา ๑๖ วรรคหนึ่ง หรือวรรคสาม ซึ่งได้นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๔๑ หรือฝ่าฝืนมาตรา ๓๘ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสี่หมื่นบาท

มาตรา ๗๗ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๔๗ หรือมาตรา ๕๒ หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนายทะเบียนท้องที่ตามมาตรา ๕๑ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สรุปคือผมอยากเห็นพวกที่ทำบั้งไฟโดยไม่ได้รับอนุญาตโดนจับติดคุก 20 ปีครับ จะได้เบาๆ เพลาๆ มือกันบ้าง พับผ่าสิ แต่ก็อย่างที่ท่านๆ ทราบ พี่ตำหนวดเราก็ดันไปนั่งอยู่ตรงที่เขาจุดนั่นแหละ จะเคลียร์กันเรียบร้อยหรือเปล่าอันนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกันไม่มีหลักฐาน ฮ่าๆ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 15
เห็นเม้นต์กันเกี่ยวกับประเพณีบุญบั้งไฟผมเคยอ่านหนังสือเจอที่มาประเพณีบุญบั้งไฟ ของชาวอีสาน
ท่านผู้ที่เขียนหนังสือนี้ท่านได้รับการนับถือว่าเป็นนักปราชญ์   ท่านศึกษาประวัติความเป็นมาของวัฒนธรรมประเพณีชาวอีสานมามากมาย   ท่านรู้ประวัติการตั้งบ้านตั้งเมืองของเมืองต่างๆในภาคอีสานดีมากเรียกว่ารู้ประวัติแทบทุกเมืองเลยทีเดียว  (แต่ผมจำชื่อท่านไม่ได้)      

ท่านบอกว่าสมัยก่อนแถวภาคอีสานจะมีโจรป่าเป็นกองโจรขนาดใหญ่มีกำลังคนมากมาย และมีหลายกองโจร    กองโจรจะตะเวนปล้นหมู่บ้านต่างๆ ปล้นทั้งหมู่บ้านในลักษณะปิดหมู่บ้านปล้นกันเลยทีเดียว      การปล้นของโจรจะเอาทรัพย์สินเงินทองของมีค่าต่างๆไปทั้งหมด  ช้าง ม้า วัว ควาย  โจรก็จะกวาดต้อนไปทั้งหมดไม่มีเหลือ   วัวควายที่ปล้นมาได้ตัวไหนใช้งานได้(เรียกว่าเป็นไถ หรือเป็นนา)ก็จะเอาไปขายเอาเงินมาแบ่งกันซึ่งจะขายได้ราคากว่าวัว ควาย ที่ไม่เป็นนา    ดังนั้นฤดูกาลที่โจรชุมที่สุดคือช่วงก่อนหน้าฝนประมาณเดือนหกซึ่งเป็นช่วงเดือนที่วัว ควายที่เป็นนาแล้วจะขายได้ราคาดีที่สุด    เมื่อเป็นเช่นนี้ชาวอีสานยุคก่อนจึงคิดกุศโลบายขึ้นมาจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟในเดือนหก เมื่อบั้งไฟเมื่อถูกจุดขึ้นสู่ท้องฟ้าจะมองเห็นได้ไกลหลายสิบกิโลเมตร  เมื่อหมู่บ้านใดจุดบั้งไฟขึ้นสู่ฟ้าเยอะๆ จะเป็นการป่าวประกาศบอกโจรไปในตัวว่า หมู่บ้านแห่งนี้มีดินปืนเยอะแยะมากมาย  หากโจรจะมาปล้นจะต้องมีการต่อสู้กันแน่ซึ่งหมู่บ้านที่ดินปืนเยอะขนาดนี้จะสามารถปักหลักสู้กับโจรได้เป็นเดือนๆดินปืนก็ยังไม่หมดโจรจึงไม่กล้ามาปล้นหมู่บ้านนั้น

เมื่อวันเวลาผ่านไปกองโจรเหล่านี้ก็สลายตัวกันไปไม่มีโจรป่าอีกแล้วคงเหลือไว้แต่ประเพณีบุญบั้งไฟในเดือนหกซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูฝน    ประกอบกับภาคอีสานเป็นภาคที่ฝนตกน้อยมีสภาพแห้งแล้งเมื่อบั้งไฟมาจุดในช่วงต้นฤดูฝนผู้คนยุคหลังจึงเชื่อว่าประเพณีบุญบั้งไฟมีขึ้นเพื่อขอฝน

ความเห็นส่วนตัวของผมเชื่อว่าแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ถูกต้องไม่งมงายไร้สาระเหมือนแนวคิดจุดบั้งไฟขอฝนตรงๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่