สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิพทุกท่าน
ก่อนอื่นผมขอขอบพระคุณ
1.คุณพ่อคุณแม่ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ
2.พี่ชายแท้ๆของผมเอง
Kosmo flyer ที่ช่วยให้คำปรึกษา และจอง Business Class ให้ผมนะครับ (สามารถติดตามผลงานการท่องเที่ยวของพี่ผมได้ที่
http://www.kosmoflyer.com/ หรือ Facebook ชื่อว่า
KOSMO FLYER นะครับ)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Part 1 : • จุดเริ่มต้น • Hong Kong • Macau • -----------------
http://ppantip.com/topic/32705254
Part 2 : • Work 'n Travel in Bismarck • ----------------------
http://ppantip.com/topic/32708860
Part 3 : • Paris • Barcelona • ----------------------------------
http://ppantip.com/topic/32732736
Part 4 : • Budapest • Istanbul • -------------------------------
http://ppantip.com/topic/32740828
Part 5 : • 7 Nights on Cruise • ---------------------------------
Part 6 : • Rome • Florence • Pisa • Venice • ----------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่เคย Review อะไรมาก่อนเลย กระทู้แรกของผม ยินดีน้อมรับคำติชมนะครับ ^_^
ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี ขอเริ่มต้นจาก
เริ่มแรกเลยก่อนผมจะสมัครเข้าร่วมโครงการ WAT ผมกำลังเรียนอยู่ปี 4 เลยคิดอยากจะไปต่างประเทศ เพื่อฉลองให้กับตัวเองกับแฟนที่เรียนมาตั้งไม่รู้ตั้งกี่ปี และที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัว (ผมคิดแล้วว่ายังไงผมจบปี 4 แล้วก็ต้องกลับบ้านไปช่วยที่บ้านทำธุรกิจอยู่ดี) เลยวางแผนกับแฟนว่าจะไปต่างประเทศด้วยกัน ตอนแรกก็ลังเลไม่รู้จะไปโครงการไหนดีระหว่าง Work and Travel USA กับ คอร์สเรียนภาษาที่ Australia สุดท้ายตัดสินใจไป WAT ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน งานที่เลือกไปเป็นงาน Fast Food - ND ที่เลือกเพราะอยากไปล่าเงินจะได้เก็บเงินกลับมาเยอะๆ จุดประสงค์เดียวเลยคือเงิน เพราะรู้สึกจะเป็นรัฐที่ได้ Rate น่าจะเยอะที่สุด และ Tax น้อย พอสัมภาษณ์งานอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว และรู้แล้วว่าได้ไปที่ ND แน่ๆ เลยเริ่มวางแผนตั๋วเครื่องบินคราวๆ ไว้ว่าจะออกเดินทางวันไหนจากไหนไปไหน เพราะว่าผมกับแฟนผมเรียนคนละที่ วันและเวลาสอบ ไม่ตรงกันเลยต้องรีบวางแผนกันตั้งแต่เนิ่นๆ ผมได้ปรึกษาพี่ชายผมเรื่องการเดินทาง พี่ชายผมค้นหาตั๋วราคาถูกและถามผมว่า อยากไปเที่ยวยุโรปด้วยมั้ย? ผมตอบทันทีว่า "ไปสิ" และตั๋วที่ได้ออกมาเป็นดังนี้
รายละเอียดตั๋วนะครับ ค่าใช้จ่ายประมาณ 72,000 บาท ไป-กลับ
1.HKG(Hong Kong) - BKK(Thailand) Business Class - Thai Airways
2.BKK(Thailand) - AMS(Amsterdam, Netherlands) Business Class - Eva Air
3.AMS(Amsterdam, Netherlands) - EWR(Newark, USA) Business Class - United Airlines
4.EWR(Newark, USA) - DEN(Denver, USA) Business Class - United Airlines
5.DEN(Denver, USA) - DIK(Dickinson, USA) Economy Class - United Airlines
6.DIK(Dickinson, USA) - DEN(Denver, USA) Economy Class - United Airlines
7.DEN(Denver, USA) - YYZ(Toronto, Canada) Economy Class - United Airlines
8.YYZ(Toronto, Canada) - CPH(Copenhagen, Denmark) Business Class - Air Canada
9.CPH(Copenhagen, Denmark) - BKK(Thailand) Business Class - Thai Airways
10.BKK(Thailand) - HKG(Hong Kong) Business Class - Thai Airways
หลายคนแปลกใจว่าทำไมไป WAT ต้องมี Hong kong ด้วย เพราะจองจาก BKK ไป มันแพงกว่าจองจาก HKG ตามสูตรของ KOSMO
แต่ถ้าได้จองแล้ว จะเปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนวันที่ จะต้องเสียค่าธรรมเนียมประมาณ $1000 ซึ่งแน่นอนภาวนาอย่าให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
ผมต้องจองตั๋วเครื่องบินจากไทยไปฮ่องกงเองต่างหาก แต่ทะว่าไปทั้งทีเอาให้คุ้มผมเลยจอง Airasia จาก DMK(Thailand) - MFM(Macau) มีโปรตอนนั้นดีที่สุดคือ ลด 20% ทุกเที่ยว ทุกรอบ
ตั๋วเครื่องบินพร้อมแล้ว เหลือ Visa ผมให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกินไม่ได้ นอนไม่หลับอยู่เป็นเดือนๆ ทรมานใจสุดๆ
ประเด็นมันมีอยู่ว่าใน Trip นี้ผมจะต้องได้วีซ่าทั้งหมด 2 ประเทศ ก็คือ J-1 Visa USA และ Schengen Visa ถ้าคนไหนที่เคยทำ Visa ทั้ง 2 ประเภทนี้มาก่อนแล้วอาจจะรู้ว่ามันเป็นยังไง ขออธิบายเงื่อนไขของวีซ่าทั้งสองก่อนนะครับ 1. J-1 Visa ขอแค่ให้มี Application form, DS-2019 และ SEVIS ก็สามารถทำ J-1 Visa ได้เลย 2. Schengen Visa ขอแบบ Multi City(เนื่องจากขาไปผมต้องออกไปนอนนอกสนามบิน 1 คืนที่ Amsterdam,Netherlands เพื่อรอเปลี่ยนเครื่องในรุ่งเช้า และเลือกขากลับ Stop over ที่ Copenhagen,Denmark 1 เดือน ผมเลยต้องขอแบบ Multi city) และเงื่อนไขของการขอแบบ Multi city คือ จะต้องได้วีซ่าของประเทศอื่นให้ครบก่อนถึงจะสามารถขอ Schengen Visa ได้นะครับ แต่เมื่อเวลาที่ต้องทำ Visa ทั้งสองให้เสร็จพร้อมภายใน 1 เดือนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เด็ก WAT หลายคนเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาแล้ว ที่ต้องรอ DS2019 เพื่อสัมภาษณ์ J-1 Visa ต้องรอให้ Job offer มาก่อนแล้วให้เรา sign และส่งกลับไป ต้องรอประมาณ 1 อาทิตย์ถึงจะได้ DS-2019 แล้วกว่าผมจะได้ DS-2019 ก็เหลือเวลาอีกแค่ 1 หนึ่งเดือนก่อนเดินทางตามตั๋วที่ได้จองเอาไว้แล้ว ผมมีเวลา 30 วันก็จริง แต่ในความเป็นจริงผมเหลือ 20 วันทำการ (วันเสาร์อาทิตย์ไม่มีประโยชน์เพราะสถานทูตปิด)
ผมต้องเดินทางวันที่ 14 มีนาคม 2554 ผมจำได้ขึ้นใจเลยว่าวันนัดสอบสัมภาษณ์ J-1 Visa ของผมคือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554 (พี่เอเจนซี่บอกว่าทำวีซ่าประมาณ 1 อาทิตย์ได้ Passport คืน) ผมนับได้วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ผมจะต้องได้ Passport คืนแน่ๆ ผมเลยทำการนัดหมายทำ Schengen Visa ที่สถานทูตฝรั่งเศสไว้ (เงื่อนไขในการเลือกสถานทูตว่าจะต้องทำที่สถานทูตประเทศอะไรนั้นขึ้นอยู่กับ 1.ถ้าไปประเทศเดียวให้เลือกทำกับสถานทูตประเทศนั้น 2.ถ้าไปหลายๆ ประเทศให้เลือกสถานทูตประเทศที่เราจะพำนักอยู่นานที่สุด ตามแผนที่ผมทำไปผมพำนักที่ฝรั่งเศสนานที่สุด) พอถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ผมได้ Passport คืนโดยได้รับ J-1 Visa เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอถึงวันนัดสัมภาษณ์ Schengen Visa ที่บริษัทตัวแทนของสถานทูตฝรั่งเศสเป็นผู้รับเรื่อง ผมจำได้ว่าวันนั้นผมตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำวีซ่า และแล้วผมก็โดนปฎิเสธในการทำ Schengen Visa โดยทางบริษัทตัวแทนของสถานทูตฝรั่งเศสบอกว่า "คุณไม่สามารถทำวีซ่าได้เนื่องจากคุณไม่เข้าเงื่อนไขในการทำวีซ่า" (เงื่อนไขที่ว่าคือจะสามารถทำ Schengen Visa ได้จะต้องเดินทางเข้าเขต Schengen ภายใน 90 วันก่อนเดินทาง) ผมพยายามอธิบายว่าผมก็เข้าอยู่นะตั๋วของผมเข้าเขต Schengen ที่ Amsterdam ตอนขาไป(ตามเงื่อนไข 90 วันก่อนเดินทาง) ทางสถานทูตบอกต่อว่า "ตามแผนคุณไม่ใช่การพำนักแต่เป็นการ Transit เฉยๆ ต้องขออภัยด้วย" ผมพยายามอ้อนวอน แต่ไม่เป็นผล ทางผู้รับเรื่องเลยบอกว่า ถ้าคุณ Transit ที่ Amsterdam แนะนำให้ไปขอที่สถานทูต Netherlands (การจองคิวสัมภาษณ์วีซ่าแต่ละสถานทูตใช่เรื่องง่ายนะครับ ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ อันนี้ผมเหลือเวลาอีกแค่ 2 อาทิตย์กว่าก่อนเดินทาง) หลังนั้นผมกับแฟนผมไปนั่งกินที่ Burger King สาขา Mercury Chidlom และคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ ถ้าไม่ได้ Schengen Visa ก็อดเที่ยวยุโรป แถมต้องเสียเงินเพิ่มอีกคนละเกือบ 3 หมื่นเพื่อเปลี่ยนตั๋วเครื่องบิน ในขณะที่นั่งกินอยู่ ผมก็เลยค้นหาว่าจะนัดสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูต Netherlands ได้ยังไง พอรู้ข้อมูลแล้วก็รีบจัดการทันที ลงทะเบียน และชำระค่าจองคิวสัมภาษณ์ที่ธนาคารเลย และก็ต้องรอไปอีก 1 วันถัดไปถึงสามารถจองคิดได้ ผมลองเข้าไปดูคิว เข้ คิดสัมภาษณ์เร็วสุดวันที่ 23 มีนาคม (กูบินไปเมกาแล้ว) ผมยิ่งท้อใจมากๆ กลัวจะไม่ได้ไป ผมจึงโทรไปหาบริษัทที่รับเรื่องทำวีซ่าของสถานทูต Netherlands เล่าเรื่องว่ามันเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ อ้อนวอน ต่างๆนาๆ ทาง Call center เลยบอกว่าเร็วสุดคือวันพรุ่งนี้ เอกสารคุณพร้อมแล้วใช่มั้ย ผมตอบทันทีว่า "พร้อมครับ" (ทั้งๆที่ไม่พร้อม เพราะเอกสารที่มียังเป็นเอกสารที่ยื่นกับตัวแทนสถานทูตฝรั่งเศสอยู่เลย) คืนนั้นคืนเดียวผมกับพี่ชายผมรีบทำเอกสารให้เสร็จ พอวันรุ่งขึ้นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 ผมไปที่สถานทูต Netherlands เพื่อสัมภาษณ์ตามนัดหมาย เจ้าหน้าที่รับเรื่องครับ แต่กว่าจะรับเรื่องก็เหมือนจะโดนปฎิเสธอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นเคสที่แปลกมากๆ คุณไป Work and Travel แล้วคุณมาทำอะไรที่ สถาทูต Netherlands ผมค่อยๆ อธิบายว่ามันเป็นอย่างงี้ครับ เจ้าหน้าที่เข้าใจและรับเรื่องไว้ แต่ทิ้งท้ายว่าต้องให้สถานทูตพิจารณาอีกครั้งหนึ่งนะค่ะ และก็จะได้รับหนังสือเดินทางคืน 15 วันทำการ (ตรงนี้แหละ ทำให้ผมกินข้าวไม่ลง นอนไม่เต็มตื่น เพราะนับ 15 วันทำการจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ มันเกินกำหนด วันเดินทางออกจากไทยในวันที่ 14 มีนาคม ถ้าไม่มี Passport กูจะไปฮ่องกงยังไงละ?) สุดท้ายวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ผมได้รับ Passport คืน โคตรลุ้นเลยว่าจะโดน Reject มั้ยเพราะว่าเจ้าหน้าทีบอกว่า 15 วันทำการ แต่ผ่านไปแค่ 3 วันทำการเอง พอแกะซองจดหมายเท่านั้นแหละ Passport มีหน้า Schengen Visa แบบ Multi city ระยะเวลา 1 ปี พำนักได้ 90 วัน ผมกับแฟนดีใจกันจนทำอะไรไม่ถูก ถึงขึ้นเป็นบ้าเลย เห็นคนเดินผ่านยังกลัวว่าเขาจะขโมยกระเป๋าไปรึเปล่า เราจำทำตกมั้ย? ทุกๆ 1 นาที ผมจะคล่ำกระเป๋าตลอด ระแวงตลอดเวลา จนเป็นบ้าเลยนะ
และแล้วก็เริ่มออกเดินทางกันเลยงับ
*****หมายเหตุ การตัดสินใจทุกขั้นตอนมีความเสี่ยง ถ้าคิดว่าตัวเองไม่กล้าพอและดวงไม่ดี ควรได้รับคำแนะนำนะครับ *****
Trip แรกขอเริ่มต้นที่ Macau นะครับ
เที่ยวมาเก๊าไม่เสียเงินสักบาทเลย เพราะนั่งรถของโรงแรมเที่ยวอย่างเดียว พร้อมกับเข้า Casino ได้เงินมาเล็กๆน้อยๆ พอจ่ายค่าเรือข้ามฝากไปฝั่งฮ่องกง
• Macau 14 March 2014 •
[CR] [Review] • Work 'n Travel •Macau•HK•USA•France•Spain•Hungary•Turkey•Greece•Italy• with Business Class and Cruise [Part1]
ก่อนอื่นผมขอขอบพระคุณ
1.คุณพ่อคุณแม่ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ
2.พี่ชายแท้ๆของผมเอง Kosmo flyer ที่ช่วยให้คำปรึกษา และจอง Business Class ให้ผมนะครับ (สามารถติดตามผลงานการท่องเที่ยวของพี่ผมได้ที่ http://www.kosmoflyer.com/ หรือ Facebook ชื่อว่า KOSMO FLYER นะครับ)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Part 1 : • จุดเริ่มต้น • Hong Kong • Macau • ----------------- http://ppantip.com/topic/32705254
Part 2 : • Work 'n Travel in Bismarck • ---------------------- http://ppantip.com/topic/32708860
Part 3 : • Paris • Barcelona • ---------------------------------- http://ppantip.com/topic/32732736
Part 4 : • Budapest • Istanbul • ------------------------------- http://ppantip.com/topic/32740828
Part 5 : • 7 Nights on Cruise • ---------------------------------
Part 6 : • Rome • Florence • Pisa • Venice • ----------------
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผมไม่เคย Review อะไรมาก่อนเลย กระทู้แรกของผม ยินดีน้อมรับคำติชมนะครับ ^_^
ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี ขอเริ่มต้นจาก
เริ่มแรกเลยก่อนผมจะสมัครเข้าร่วมโครงการ WAT ผมกำลังเรียนอยู่ปี 4 เลยคิดอยากจะไปต่างประเทศ เพื่อฉลองให้กับตัวเองกับแฟนที่เรียนมาตั้งไม่รู้ตั้งกี่ปี และที่บ้านมีธุรกิจส่วนตัว (ผมคิดแล้วว่ายังไงผมจบปี 4 แล้วก็ต้องกลับบ้านไปช่วยที่บ้านทำธุรกิจอยู่ดี) เลยวางแผนกับแฟนว่าจะไปต่างประเทศด้วยกัน ตอนแรกก็ลังเลไม่รู้จะไปโครงการไหนดีระหว่าง Work and Travel USA กับ คอร์สเรียนภาษาที่ Australia สุดท้ายตัดสินใจไป WAT ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน งานที่เลือกไปเป็นงาน Fast Food - ND ที่เลือกเพราะอยากไปล่าเงินจะได้เก็บเงินกลับมาเยอะๆ จุดประสงค์เดียวเลยคือเงิน เพราะรู้สึกจะเป็นรัฐที่ได้ Rate น่าจะเยอะที่สุด และ Tax น้อย พอสัมภาษณ์งานอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว และรู้แล้วว่าได้ไปที่ ND แน่ๆ เลยเริ่มวางแผนตั๋วเครื่องบินคราวๆ ไว้ว่าจะออกเดินทางวันไหนจากไหนไปไหน เพราะว่าผมกับแฟนผมเรียนคนละที่ วันและเวลาสอบ ไม่ตรงกันเลยต้องรีบวางแผนกันตั้งแต่เนิ่นๆ ผมได้ปรึกษาพี่ชายผมเรื่องการเดินทาง พี่ชายผมค้นหาตั๋วราคาถูกและถามผมว่า อยากไปเที่ยวยุโรปด้วยมั้ย? ผมตอบทันทีว่า "ไปสิ" และตั๋วที่ได้ออกมาเป็นดังนี้
รายละเอียดตั๋วนะครับ ค่าใช้จ่ายประมาณ 72,000 บาท ไป-กลับ
1.HKG(Hong Kong) - BKK(Thailand) Business Class - Thai Airways
2.BKK(Thailand) - AMS(Amsterdam, Netherlands) Business Class - Eva Air
3.AMS(Amsterdam, Netherlands) - EWR(Newark, USA) Business Class - United Airlines
4.EWR(Newark, USA) - DEN(Denver, USA) Business Class - United Airlines
5.DEN(Denver, USA) - DIK(Dickinson, USA) Economy Class - United Airlines
6.DIK(Dickinson, USA) - DEN(Denver, USA) Economy Class - United Airlines
7.DEN(Denver, USA) - YYZ(Toronto, Canada) Economy Class - United Airlines
8.YYZ(Toronto, Canada) - CPH(Copenhagen, Denmark) Business Class - Air Canada
9.CPH(Copenhagen, Denmark) - BKK(Thailand) Business Class - Thai Airways
10.BKK(Thailand) - HKG(Hong Kong) Business Class - Thai Airways
หลายคนแปลกใจว่าทำไมไป WAT ต้องมี Hong kong ด้วย เพราะจองจาก BKK ไป มันแพงกว่าจองจาก HKG ตามสูตรของ KOSMO
แต่ถ้าได้จองแล้ว จะเปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนวันที่ จะต้องเสียค่าธรรมเนียมประมาณ $1000 ซึ่งแน่นอนภาวนาอย่าให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
ผมต้องจองตั๋วเครื่องบินจากไทยไปฮ่องกงเองต่างหาก แต่ทะว่าไปทั้งทีเอาให้คุ้มผมเลยจอง Airasia จาก DMK(Thailand) - MFM(Macau) มีโปรตอนนั้นดีที่สุดคือ ลด 20% ทุกเที่ยว ทุกรอบ
ตั๋วเครื่องบินพร้อมแล้ว เหลือ Visa ผมให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกินไม่ได้ นอนไม่หลับอยู่เป็นเดือนๆ ทรมานใจสุดๆ
ประเด็นมันมีอยู่ว่าใน Trip นี้ผมจะต้องได้วีซ่าทั้งหมด 2 ประเทศ ก็คือ J-1 Visa USA และ Schengen Visa ถ้าคนไหนที่เคยทำ Visa ทั้ง 2 ประเภทนี้มาก่อนแล้วอาจจะรู้ว่ามันเป็นยังไง ขออธิบายเงื่อนไขของวีซ่าทั้งสองก่อนนะครับ 1. J-1 Visa ขอแค่ให้มี Application form, DS-2019 และ SEVIS ก็สามารถทำ J-1 Visa ได้เลย 2. Schengen Visa ขอแบบ Multi City(เนื่องจากขาไปผมต้องออกไปนอนนอกสนามบิน 1 คืนที่ Amsterdam,Netherlands เพื่อรอเปลี่ยนเครื่องในรุ่งเช้า และเลือกขากลับ Stop over ที่ Copenhagen,Denmark 1 เดือน ผมเลยต้องขอแบบ Multi city) และเงื่อนไขของการขอแบบ Multi city คือ จะต้องได้วีซ่าของประเทศอื่นให้ครบก่อนถึงจะสามารถขอ Schengen Visa ได้นะครับ แต่เมื่อเวลาที่ต้องทำ Visa ทั้งสองให้เสร็จพร้อมภายใน 1 เดือนมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เด็ก WAT หลายคนเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้มาแล้ว ที่ต้องรอ DS2019 เพื่อสัมภาษณ์ J-1 Visa ต้องรอให้ Job offer มาก่อนแล้วให้เรา sign และส่งกลับไป ต้องรอประมาณ 1 อาทิตย์ถึงจะได้ DS-2019 แล้วกว่าผมจะได้ DS-2019 ก็เหลือเวลาอีกแค่ 1 หนึ่งเดือนก่อนเดินทางตามตั๋วที่ได้จองเอาไว้แล้ว ผมมีเวลา 30 วันก็จริง แต่ในความเป็นจริงผมเหลือ 20 วันทำการ (วันเสาร์อาทิตย์ไม่มีประโยชน์เพราะสถานทูตปิด)
ผมต้องเดินทางวันที่ 14 มีนาคม 2554 ผมจำได้ขึ้นใจเลยว่าวันนัดสอบสัมภาษณ์ J-1 Visa ของผมคือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554 (พี่เอเจนซี่บอกว่าทำวีซ่าประมาณ 1 อาทิตย์ได้ Passport คืน) ผมนับได้วันที่ 20 กุมภาพันธ์ ผมจะต้องได้ Passport คืนแน่ๆ ผมเลยทำการนัดหมายทำ Schengen Visa ที่สถานทูตฝรั่งเศสไว้ (เงื่อนไขในการเลือกสถานทูตว่าจะต้องทำที่สถานทูตประเทศอะไรนั้นขึ้นอยู่กับ 1.ถ้าไปประเทศเดียวให้เลือกทำกับสถานทูตประเทศนั้น 2.ถ้าไปหลายๆ ประเทศให้เลือกสถานทูตประเทศที่เราจะพำนักอยู่นานที่สุด ตามแผนที่ผมทำไปผมพำนักที่ฝรั่งเศสนานที่สุด) พอถึงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ผมได้ Passport คืนโดยได้รับ J-1 Visa เป็นที่เรียบร้อยแล้ว พอถึงวันนัดสัมภาษณ์ Schengen Visa ที่บริษัทตัวแทนของสถานทูตฝรั่งเศสเป็นผู้รับเรื่อง ผมจำได้ว่าวันนั้นผมตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำวีซ่า และแล้วผมก็โดนปฎิเสธในการทำ Schengen Visa โดยทางบริษัทตัวแทนของสถานทูตฝรั่งเศสบอกว่า "คุณไม่สามารถทำวีซ่าได้เนื่องจากคุณไม่เข้าเงื่อนไขในการทำวีซ่า" (เงื่อนไขที่ว่าคือจะสามารถทำ Schengen Visa ได้จะต้องเดินทางเข้าเขต Schengen ภายใน 90 วันก่อนเดินทาง) ผมพยายามอธิบายว่าผมก็เข้าอยู่นะตั๋วของผมเข้าเขต Schengen ที่ Amsterdam ตอนขาไป(ตามเงื่อนไข 90 วันก่อนเดินทาง) ทางสถานทูตบอกต่อว่า "ตามแผนคุณไม่ใช่การพำนักแต่เป็นการ Transit เฉยๆ ต้องขออภัยด้วย" ผมพยายามอ้อนวอน แต่ไม่เป็นผล ทางผู้รับเรื่องเลยบอกว่า ถ้าคุณ Transit ที่ Amsterdam แนะนำให้ไปขอที่สถานทูต Netherlands (การจองคิวสัมภาษณ์วีซ่าแต่ละสถานทูตใช่เรื่องง่ายนะครับ ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ อันนี้ผมเหลือเวลาอีกแค่ 2 อาทิตย์กว่าก่อนเดินทาง) หลังนั้นผมกับแฟนผมไปนั่งกินที่ Burger King สาขา Mercury Chidlom และคุยกันว่าจะเอายังไงต่อ ถ้าไม่ได้ Schengen Visa ก็อดเที่ยวยุโรป แถมต้องเสียเงินเพิ่มอีกคนละเกือบ 3 หมื่นเพื่อเปลี่ยนตั๋วเครื่องบิน ในขณะที่นั่งกินอยู่ ผมก็เลยค้นหาว่าจะนัดสัมภาษณ์วีซ่าที่สถานทูต Netherlands ได้ยังไง พอรู้ข้อมูลแล้วก็รีบจัดการทันที ลงทะเบียน และชำระค่าจองคิวสัมภาษณ์ที่ธนาคารเลย และก็ต้องรอไปอีก 1 วันถัดไปถึงสามารถจองคิดได้ ผมลองเข้าไปดูคิว เข้ คิดสัมภาษณ์เร็วสุดวันที่ 23 มีนาคม (กูบินไปเมกาแล้ว) ผมยิ่งท้อใจมากๆ กลัวจะไม่ได้ไป ผมจึงโทรไปหาบริษัทที่รับเรื่องทำวีซ่าของสถานทูต Netherlands เล่าเรื่องว่ามันเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ อ้อนวอน ต่างๆนาๆ ทาง Call center เลยบอกว่าเร็วสุดคือวันพรุ่งนี้ เอกสารคุณพร้อมแล้วใช่มั้ย ผมตอบทันทีว่า "พร้อมครับ" (ทั้งๆที่ไม่พร้อม เพราะเอกสารที่มียังเป็นเอกสารที่ยื่นกับตัวแทนสถานทูตฝรั่งเศสอยู่เลย) คืนนั้นคืนเดียวผมกับพี่ชายผมรีบทำเอกสารให้เสร็จ พอวันรุ่งขึ้นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 ผมไปที่สถานทูต Netherlands เพื่อสัมภาษณ์ตามนัดหมาย เจ้าหน้าที่รับเรื่องครับ แต่กว่าจะรับเรื่องก็เหมือนจะโดนปฎิเสธอยู่เหมือนกัน เพราะเป็นเคสที่แปลกมากๆ คุณไป Work and Travel แล้วคุณมาทำอะไรที่ สถาทูต Netherlands ผมค่อยๆ อธิบายว่ามันเป็นอย่างงี้ครับ เจ้าหน้าที่เข้าใจและรับเรื่องไว้ แต่ทิ้งท้ายว่าต้องให้สถานทูตพิจารณาอีกครั้งหนึ่งนะค่ะ และก็จะได้รับหนังสือเดินทางคืน 15 วันทำการ (ตรงนี้แหละ ทำให้ผมกินข้าวไม่ลง นอนไม่เต็มตื่น เพราะนับ 15 วันทำการจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ มันเกินกำหนด วันเดินทางออกจากไทยในวันที่ 14 มีนาคม ถ้าไม่มี Passport กูจะไปฮ่องกงยังไงละ?) สุดท้ายวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2554 ผมได้รับ Passport คืน โคตรลุ้นเลยว่าจะโดน Reject มั้ยเพราะว่าเจ้าหน้าทีบอกว่า 15 วันทำการ แต่ผ่านไปแค่ 3 วันทำการเอง พอแกะซองจดหมายเท่านั้นแหละ Passport มีหน้า Schengen Visa แบบ Multi city ระยะเวลา 1 ปี พำนักได้ 90 วัน ผมกับแฟนดีใจกันจนทำอะไรไม่ถูก ถึงขึ้นเป็นบ้าเลย เห็นคนเดินผ่านยังกลัวว่าเขาจะขโมยกระเป๋าไปรึเปล่า เราจำทำตกมั้ย? ทุกๆ 1 นาที ผมจะคล่ำกระเป๋าตลอด ระแวงตลอดเวลา จนเป็นบ้าเลยนะ
และแล้วก็เริ่มออกเดินทางกันเลยงับ
*****หมายเหตุ การตัดสินใจทุกขั้นตอนมีความเสี่ยง ถ้าคิดว่าตัวเองไม่กล้าพอและดวงไม่ดี ควรได้รับคำแนะนำนะครับ *****
Trip แรกขอเริ่มต้นที่ Macau นะครับ
เที่ยวมาเก๊าไม่เสียเงินสักบาทเลย เพราะนั่งรถของโรงแรมเที่ยวอย่างเดียว พร้อมกับเข้า Casino ได้เงินมาเล็กๆน้อยๆ พอจ่ายค่าเรือข้ามฝากไปฝั่งฮ่องกง