มาเริ่มต้นรีวิวแบบไม่สปอยล์ก่อนครับ
"ไม่สยอง แต่มันโคตรเจ๋งเลย"
คุยเบาๆ สำหรับใครที่กำลังคิดจะดู The Babadook .. และความรู้สึกต่อตัวหนัง
อันเนื่องจากเสียงตอบรับจากผู้ที่ได้ชมนั้นแตกออกเป็นสองฝั่ง ... บวกกับการแบกความคาดหวังไปดูมากพอสมควร และนี่คือ ความรู้สึกหลังจากที่ผมได้ชมหนังสยองขวัญเรื่องนี้มาแล้วนะครับ
ความสยอง : พูดในแง่ของคนไม่กลัวผี หนังก็ยังไม่มีอะไรพอจะทำให้รู้สึกขนลุก สะดุ้ง หรือต้องขนาดเอามือปิดตา ข้อดีของหนังคือการสร้างบรรยากาศโดยรวม ที่ช่วยเรียกอารมณ์หลอนร่วมระหว่างการนั่งดูได้เป็นอย่างดี และทุกครั้งที่เจ้าบาบาดุคเผยตัวแต่ละครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าปีศาจร้ายดูกลายเป็นตัวตลก และก็แอบน่ากลัวอยู่เบาๆ
สิ่งที่ชอบ : การเล่าเรื่อง และจังหวะการส่งอารมณ์ รวมทั้งการแสดงของสองแม่ลูกตัวนำ ที่สามารถดึงดูดความสนใจผู้ชมอย่างเราได้ตลอดทั้งเรื่อง และมีอารมณ์ร่วมไปกับทั้งคู่ตลอดเวลา
ความรู้สึก : The Babadook เป็นงานที่ให้มากกว่างานเขย่าขวัญทั่วๆไป แต่ผสมผสานการวิเคราะห์เจาะลึกตัวละคร ที่น่าจะอยู่ในโทนของความเป็นดราม่าจิตวิทยามากกว่า ...... ส่วนตัวจึงชอบครับ ค่อนข้างมากด้วย ^^
สรุป
The Babadook น่าจะอยู่ในกลุ่มหนังผีที่มีโทนในแบบ The Others, The Sixth Sense, Stir of Echoes หรือแม้แต่ Oculus มากกว่า นั่นคือ ความขนลุกที่มาจากเรื่องราวและบรรยากาศโดยรวม ตัวละครมีความน่าสนใจ ที่เราพร้อมจะเอาใจช่วยและเกลียดได้ในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญคือ เป็นงานที่เราต้องดูด้วยความคาดเดาตลอดเวลา เพราะไม่มีอะไรที่น่าไว้ใจได้เลย
ดังนั้น ถ้าใครคาดหวังจะดูหนังผีในแบบโฉ่งฉ่าง หรือเร้าอารมณ์ด้วยฉากชวนสยอง และไม่ค่อยปลื้มงานในแบบที่มีความเป็นดราม่ามากกว่า ... The Babadook อาจไม่ใช่คำตอบครับ เพราะตอนที่ฟี่ลุกออกจากโรง ก็ได้ยินเสียงบ่นจากคนที่ได้ดูในรอบเดียวกันมากพอสมควร ถึงความไม่สนุก หรือ ไม่มีอะไรในแบบที่เค้าคาดหวัง
ซึ่งเรื่องแบบนี้ ... ต้องไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองดีกว่านะครับ ^^
ถ้าอยากอ่านแบบสปอยล์ อ่านได้ตั้งแต่บรรทัดนี้เลยครับ ... อาจจะซ้ำๆจากเนื้อหาด้านบนบ้าง เพราะตอนเอาลงรีวิวในเพจ ผมลงแยกสเตตัสกันครับ
***********************************
Review ฉบับเต็ม | The Babadook (2014) .. ปีศาจในใจ
ผลงานหนังสยองขวัญจากออสเตรเลียเรื่องนี้ เป็นมากกว่างานที่มุ่งเน้นเพื่อสร้างความระทึกขวัญ แต่ ... พุ่งเป้าไปที่การเจาะลึกถึงความเร้นลับในจิตใจของมนุษย์ ... และถึงมันจะไม่ใช่งานที่ดูแล้วน่ากลัวได้ตามที่หนังถูกประชาสัมพันธ์มาตลอด แต่ The Babadook เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ดีงามมากที่สุดเรื่องหนึ่งที่ได้ดูในปีนี้ครับ
เรื่องราวกล่าวถึง สองแม่ลูก คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งสามีเสียชีวิตในวันเดียวกับวันที่ลูกชายลืมตาดูโลก หนังเผยให้เห็นความเกรียนของเด็กชาย ที่ดูจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง และเข้ากับเพื่อนฝูงสังคมไม่ค่อยได้ ในขณะที่แม่เอง ก็ดูจะเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตที่ต้องเลี้ยงดูลูกวัยซนเพียงลำพัง และติดอยู่กับความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียสามี
แต่แล้วชีวิตที่ดำเนินไปแบบราบเรียบของทั้งคู่ ก็ได้ถูกคุกคามโดยปีศาจร้ายจากหนังสือนิทานก่อนนอน "#บาบาดุค" ที่ผู้เป็นลูกเชื่อเป็นตุเป็นตะ ในขณะที่แม่ จากที่มองเป็นเรื่องไร้สาระ ก็ค่อยๆถูกพลังอำนาจของเจ้าผีร้ายรุกรังควานชีวิตประจำวัน ... และตามที่มันบอกกับเธอ ... สิ่งที่มันต้องการ คือ ชีวิตของเธอและลูก!
ความล้ำเหลือของหนัง คือ การสร้างตัวละครสองแม่ลูกที่ดูไม่ปกติ ทำให้เราต้องคาดเดาตลอดเวลาว่า บาบาดุค มีตัวตนจริงๆ หรือเป็นแค่ภาพหลอนที่สองแม่ลูกสร้างขึ้นกันแน่
ในส่วนของ บาบาดุค ก็เป็นตัวละครปีศาจที่นับว่า มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากผีร้ายตัวอื่นๆ ... มันเกิดมาจากหนังสือนิทาน ในโลกจินตนาการ แต่ยามที่มันปรากฏตัว มันก็ไม่ได้ดูน่าขบขันหรือบ้องแบ๊ว แต่ดูขึงขัง น่าหวาดกลัว โผล่มาไม่บ่อย แต่รู้จังหวะ ซึ่งก็สร้างระดับความตึงเครียดของเรื่องราวได้ทุกครั้งที่มันเผยเงาออกมา
การแสดงของสองแม่ลูก ก็เป็นอีกส่วนประกอบอันดีงาม .. Essie Davis ในบทแม่ นางถ่ายทอดผู้หญิงที่ต้องแบกรับความทุกข์มากมายในโลกเอาไว้ ส่งผ่านออกมาในทุกๆริ้วรอยบนใบหน้า เช่นเดียวกับหนูน้อย Noah Wiseman กับการเป็นเด็กเกรียนที่ทั้งน่ากลัว ไม่น่าเข้าใกล้ แต่ก็น่าสงสารกับการที่ต้องถูกเลี้ยงดูมาบนความรักและความเกลียดชังของผู้เป็นแม่
แต่ความแข็งแรงของ #Babadook คือรากฐาน นั่นคือ บทภาพยนตร์ของ Jennifer Kent กับการวิเคราะห์และถ่ายทอดความหวาดกลัวและความเกลียดชังของมนุษย์ให้ออกมาในรูปแบบของปีศาจร้าย ยิ่งเราเกลียดและกลัวมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองมากเท่านั้น
ดังนั้น ในมุมมองของผม ... เจ้าบาบาดุค ก็คือ ปีศาจในใจของผู้เป็นแม่ ที่หมักหมมทับถมจนก่อร่างกลายเป็นปีศาจร้าย
เธอมีชีวิตอยู่โดยหล่อเลี้ยงความเกลียดชังเอาไว้ในตัวลูกน้อย ซึ่งถูกปกปิดด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ เพราะการเกิดมาของเค้า คือ วันสุดท้ายในชีวิตของสามี มันจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ถ้าใครจะต้องสูญเสียความรักและคนรักไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว นึกภาพแค่เราอกหัก ก็เศร้าแทบเจียนตาย แต่นี่คือการจากตายของผู้ชายคนที่เธอมอบทั้งชีวิตให้ไปหมดแล้ว ... การจากไปของสามี จึงเหมือนการถูกพรากจิตวิญญาณของเธอไปเช่นกัน ... ซึ่งตามปกติ ผู้หญิงบางรายหลังคลอดมักมีภาวะซึมเศร้าจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป ... แต่ในรายนี้ ไม่ใช่แค่ฮอร์โมน มันยังมาจากการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงอีกด้วย แรงสั่นสะเทือนจึงหนักหน่วงและยาวนาน
ทำให้เธอติดอยู่กับอาการ ... เสียศูนย์เพราะสูญเสีย โลกของเธอมีแค่สีเทาๆ และมืดทึม พฤติกรรมและความซึมเศร้าที่เกาะกินในใจ ส่งผ่านมาให้เราเห็นผ่านการดูแลบ้านของเธอ ... สวนหน้าบ้านที่รกและปกคลุมไปด้วยหญ้าและวัชพืช บ้านที่แทบจะไร้แสงสว่าง ดูอึมครึม ข้าวของเฟอร์นิเจอร์ที่เก่าแก่ เหมือนยังไม่หลุดไปจากอดีต หรือแม้แต่ อาการนอนไม่หลับ ที่บ่งบอกความเจ็บป่วยทางใจของเธอได้ชัดเจน
แต่ที่ร้ายไปกว่านั่น คือ การบ่มเพาะและถ่ายเทความเกลียดชังมายังลูกชาย นี่ถ้าขืนไอ้เด็กนี่โตขึ้นไปอีกหน่อย มีหวังได้เดินรอยตาม We Need to Talk About Kevin แน่ๆ ... เด็กน้อยไม่เคยได้มีงานวันเกิดเป็นของตัวเอง เพราะผู้เป็นแม่สงวนไว้ ว่าเป็นวันแห่งการสูญเสียที่เธอยังลืมไม่ลง
กลายเป็น 6 ปีที่ยาวนาน ของผู้หญิงธรรมดาหนึ่งคน ... ที่ต้องสูญเสียคนรัก โหยหา เปลี่ยวเหงา ตัดไม่ขาด ปล่อยวางไม่ได้ เพราะดันมีเจ้าลูกชายเป็นตัวกระตุ้นอยู่ทุกวี่วัน และภาระการเป็นแม่เลี้ยงลูกลำพัง ก็ไม่ใช่งานง่ายๆ
ท้ายที่สุด ... ความกลัวและความเกลียดชัง ก็เป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ ก่อนที่มันจะเพิ่มพลังอำนาจทำร้ายทั้งตัวเราและคนรอบข้าง ซึ่งการควบคุมและกักขังมันเอาไว้ เป็นเรื่องไม่ยาก แต่ทำไม่ง่าย ... แค่เรียนรู้และเข้าใจในธรรมชาติของมัน ปล่อยวาง และพันธนาการมันด้วย ... "ความรัก" ครับ
ด้วยสรุปของทั้งหมดทั้งมวล The Babadook เป็นอีกงานที่ผมอยากแนะนำให้ไปลองพิสูจน์ด้วยตาของเราเองดีที่สุด ....
ส่วนอันนี้ไม่ได้สปอยล์ แต่เป็นเพจที่แค่อยากฝากไว้ในอ้อมใจ ซึ่งน่าจะพอผ่านตาจากกระทู้ 101 หนังยอดเยี่ยมมาบ้างนะครับ ><"
https://www.facebook.com/CinemaParadiso.by.Golffy
ขอบคุณครับ
[CR] The Babadook ... ปีศาจในใจ (มีทั้งแบบสปอยล์ และไม่สปอยล์ครับ)
"ไม่สยอง แต่มันโคตรเจ๋งเลย"
คุยเบาๆ สำหรับใครที่กำลังคิดจะดู The Babadook .. และความรู้สึกต่อตัวหนัง
อันเนื่องจากเสียงตอบรับจากผู้ที่ได้ชมนั้นแตกออกเป็นสองฝั่ง ... บวกกับการแบกความคาดหวังไปดูมากพอสมควร และนี่คือ ความรู้สึกหลังจากที่ผมได้ชมหนังสยองขวัญเรื่องนี้มาแล้วนะครับ
ความสยอง : พูดในแง่ของคนไม่กลัวผี หนังก็ยังไม่มีอะไรพอจะทำให้รู้สึกขนลุก สะดุ้ง หรือต้องขนาดเอามือปิดตา ข้อดีของหนังคือการสร้างบรรยากาศโดยรวม ที่ช่วยเรียกอารมณ์หลอนร่วมระหว่างการนั่งดูได้เป็นอย่างดี และทุกครั้งที่เจ้าบาบาดุคเผยตัวแต่ละครั้ง ก็ไม่ได้ทำให้เจ้าปีศาจร้ายดูกลายเป็นตัวตลก และก็แอบน่ากลัวอยู่เบาๆ
สิ่งที่ชอบ : การเล่าเรื่อง และจังหวะการส่งอารมณ์ รวมทั้งการแสดงของสองแม่ลูกตัวนำ ที่สามารถดึงดูดความสนใจผู้ชมอย่างเราได้ตลอดทั้งเรื่อง และมีอารมณ์ร่วมไปกับทั้งคู่ตลอดเวลา
ความรู้สึก : The Babadook เป็นงานที่ให้มากกว่างานเขย่าขวัญทั่วๆไป แต่ผสมผสานการวิเคราะห์เจาะลึกตัวละคร ที่น่าจะอยู่ในโทนของความเป็นดราม่าจิตวิทยามากกว่า ...... ส่วนตัวจึงชอบครับ ค่อนข้างมากด้วย ^^
สรุป
The Babadook น่าจะอยู่ในกลุ่มหนังผีที่มีโทนในแบบ The Others, The Sixth Sense, Stir of Echoes หรือแม้แต่ Oculus มากกว่า นั่นคือ ความขนลุกที่มาจากเรื่องราวและบรรยากาศโดยรวม ตัวละครมีความน่าสนใจ ที่เราพร้อมจะเอาใจช่วยและเกลียดได้ในเวลาเดียวกัน ที่สำคัญคือ เป็นงานที่เราต้องดูด้วยความคาดเดาตลอดเวลา เพราะไม่มีอะไรที่น่าไว้ใจได้เลย
ดังนั้น ถ้าใครคาดหวังจะดูหนังผีในแบบโฉ่งฉ่าง หรือเร้าอารมณ์ด้วยฉากชวนสยอง และไม่ค่อยปลื้มงานในแบบที่มีความเป็นดราม่ามากกว่า ... The Babadook อาจไม่ใช่คำตอบครับ เพราะตอนที่ฟี่ลุกออกจากโรง ก็ได้ยินเสียงบ่นจากคนที่ได้ดูในรอบเดียวกันมากพอสมควร ถึงความไม่สนุก หรือ ไม่มีอะไรในแบบที่เค้าคาดหวัง
ซึ่งเรื่องแบบนี้ ... ต้องไปพิสูจน์ด้วยตาตัวเองดีกว่านะครับ ^^
ถ้าอยากอ่านแบบสปอยล์ อ่านได้ตั้งแต่บรรทัดนี้เลยครับ ... อาจจะซ้ำๆจากเนื้อหาด้านบนบ้าง เพราะตอนเอาลงรีวิวในเพจ ผมลงแยกสเตตัสกันครับ
***********************************
Review ฉบับเต็ม | The Babadook (2014) .. ปีศาจในใจ
ผลงานหนังสยองขวัญจากออสเตรเลียเรื่องนี้ เป็นมากกว่างานที่มุ่งเน้นเพื่อสร้างความระทึกขวัญ แต่ ... พุ่งเป้าไปที่การเจาะลึกถึงความเร้นลับในจิตใจของมนุษย์ ... และถึงมันจะไม่ใช่งานที่ดูแล้วน่ากลัวได้ตามที่หนังถูกประชาสัมพันธ์มาตลอด แต่ The Babadook เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ดีงามมากที่สุดเรื่องหนึ่งที่ได้ดูในปีนี้ครับ
เรื่องราวกล่าวถึง สองแม่ลูก คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ซึ่งสามีเสียชีวิตในวันเดียวกับวันที่ลูกชายลืมตาดูโลก หนังเผยให้เห็นความเกรียนของเด็กชาย ที่ดูจะมีพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง และเข้ากับเพื่อนฝูงสังคมไม่ค่อยได้ ในขณะที่แม่เอง ก็ดูจะเหน็ดเหนื่อยกับชีวิตที่ต้องเลี้ยงดูลูกวัยซนเพียงลำพัง และติดอยู่กับความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียสามี
แต่แล้วชีวิตที่ดำเนินไปแบบราบเรียบของทั้งคู่ ก็ได้ถูกคุกคามโดยปีศาจร้ายจากหนังสือนิทานก่อนนอน "#บาบาดุค" ที่ผู้เป็นลูกเชื่อเป็นตุเป็นตะ ในขณะที่แม่ จากที่มองเป็นเรื่องไร้สาระ ก็ค่อยๆถูกพลังอำนาจของเจ้าผีร้ายรุกรังควานชีวิตประจำวัน ... และตามที่มันบอกกับเธอ ... สิ่งที่มันต้องการ คือ ชีวิตของเธอและลูก!
ความล้ำเหลือของหนัง คือ การสร้างตัวละครสองแม่ลูกที่ดูไม่ปกติ ทำให้เราต้องคาดเดาตลอดเวลาว่า บาบาดุค มีตัวตนจริงๆ หรือเป็นแค่ภาพหลอนที่สองแม่ลูกสร้างขึ้นกันแน่
ในส่วนของ บาบาดุค ก็เป็นตัวละครปีศาจที่นับว่า มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากผีร้ายตัวอื่นๆ ... มันเกิดมาจากหนังสือนิทาน ในโลกจินตนาการ แต่ยามที่มันปรากฏตัว มันก็ไม่ได้ดูน่าขบขันหรือบ้องแบ๊ว แต่ดูขึงขัง น่าหวาดกลัว โผล่มาไม่บ่อย แต่รู้จังหวะ ซึ่งก็สร้างระดับความตึงเครียดของเรื่องราวได้ทุกครั้งที่มันเผยเงาออกมา
การแสดงของสองแม่ลูก ก็เป็นอีกส่วนประกอบอันดีงาม .. Essie Davis ในบทแม่ นางถ่ายทอดผู้หญิงที่ต้องแบกรับความทุกข์มากมายในโลกเอาไว้ ส่งผ่านออกมาในทุกๆริ้วรอยบนใบหน้า เช่นเดียวกับหนูน้อย Noah Wiseman กับการเป็นเด็กเกรียนที่ทั้งน่ากลัว ไม่น่าเข้าใกล้ แต่ก็น่าสงสารกับการที่ต้องถูกเลี้ยงดูมาบนความรักและความเกลียดชังของผู้เป็นแม่
แต่ความแข็งแรงของ #Babadook คือรากฐาน นั่นคือ บทภาพยนตร์ของ Jennifer Kent กับการวิเคราะห์และถ่ายทอดความหวาดกลัวและความเกลียดชังของมนุษย์ให้ออกมาในรูปแบบของปีศาจร้าย ยิ่งเราเกลียดและกลัวมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งย้อนกลับมาทำร้ายตัวเราเองมากเท่านั้น
ดังนั้น ในมุมมองของผม ... เจ้าบาบาดุค ก็คือ ปีศาจในใจของผู้เป็นแม่ ที่หมักหมมทับถมจนก่อร่างกลายเป็นปีศาจร้าย
เธอมีชีวิตอยู่โดยหล่อเลี้ยงความเกลียดชังเอาไว้ในตัวลูกน้อย ซึ่งถูกปกปิดด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ เพราะการเกิดมาของเค้า คือ วันสุดท้ายในชีวิตของสามี มันจึงเป็นเรื่องไม่ง่ายเลย ถ้าใครจะต้องสูญเสียความรักและคนรักไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว นึกภาพแค่เราอกหัก ก็เศร้าแทบเจียนตาย แต่นี่คือการจากตายของผู้ชายคนที่เธอมอบทั้งชีวิตให้ไปหมดแล้ว ... การจากไปของสามี จึงเหมือนการถูกพรากจิตวิญญาณของเธอไปเช่นกัน ... ซึ่งตามปกติ ผู้หญิงบางรายหลังคลอดมักมีภาวะซึมเศร้าจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนไป ... แต่ในรายนี้ ไม่ใช่แค่ฮอร์โมน มันยังมาจากการถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรงอีกด้วย แรงสั่นสะเทือนจึงหนักหน่วงและยาวนาน
ทำให้เธอติดอยู่กับอาการ ... เสียศูนย์เพราะสูญเสีย โลกของเธอมีแค่สีเทาๆ และมืดทึม พฤติกรรมและความซึมเศร้าที่เกาะกินในใจ ส่งผ่านมาให้เราเห็นผ่านการดูแลบ้านของเธอ ... สวนหน้าบ้านที่รกและปกคลุมไปด้วยหญ้าและวัชพืช บ้านที่แทบจะไร้แสงสว่าง ดูอึมครึม ข้าวของเฟอร์นิเจอร์ที่เก่าแก่ เหมือนยังไม่หลุดไปจากอดีต หรือแม้แต่ อาการนอนไม่หลับ ที่บ่งบอกความเจ็บป่วยทางใจของเธอได้ชัดเจน
แต่ที่ร้ายไปกว่านั่น คือ การบ่มเพาะและถ่ายเทความเกลียดชังมายังลูกชาย นี่ถ้าขืนไอ้เด็กนี่โตขึ้นไปอีกหน่อย มีหวังได้เดินรอยตาม We Need to Talk About Kevin แน่ๆ ... เด็กน้อยไม่เคยได้มีงานวันเกิดเป็นของตัวเอง เพราะผู้เป็นแม่สงวนไว้ ว่าเป็นวันแห่งการสูญเสียที่เธอยังลืมไม่ลง
กลายเป็น 6 ปีที่ยาวนาน ของผู้หญิงธรรมดาหนึ่งคน ... ที่ต้องสูญเสียคนรัก โหยหา เปลี่ยวเหงา ตัดไม่ขาด ปล่อยวางไม่ได้ เพราะดันมีเจ้าลูกชายเป็นตัวกระตุ้นอยู่ทุกวี่วัน และภาระการเป็นแม่เลี้ยงลูกลำพัง ก็ไม่ใช่งานง่ายๆ
ท้ายที่สุด ... ความกลัวและความเกลียดชัง ก็เป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ ก่อนที่มันจะเพิ่มพลังอำนาจทำร้ายทั้งตัวเราและคนรอบข้าง ซึ่งการควบคุมและกักขังมันเอาไว้ เป็นเรื่องไม่ยาก แต่ทำไม่ง่าย ... แค่เรียนรู้และเข้าใจในธรรมชาติของมัน ปล่อยวาง และพันธนาการมันด้วย ... "ความรัก" ครับ
ด้วยสรุปของทั้งหมดทั้งมวล The Babadook เป็นอีกงานที่ผมอยากแนะนำให้ไปลองพิสูจน์ด้วยตาของเราเองดีที่สุด ....
ส่วนอันนี้ไม่ได้สปอยล์ แต่เป็นเพจที่แค่อยากฝากไว้ในอ้อมใจ ซึ่งน่าจะพอผ่านตาจากกระทู้ 101 หนังยอดเยี่ยมมาบ้างนะครับ ><"
https://www.facebook.com/CinemaParadiso.by.Golffy
ขอบคุณครับ