"...แล้วเจ้าหมาป่าชั่วร้ายก็ถูกกำจัดลง"
เอมิเลียปิดหนังสือนิทานก่อนนอนที่อ่านให้ลูกชายลง...
เธอเป็นแม่หม้ายลูกติดที่เสียสามีไปวันเดียวกับที่ลูกชายคนนี้เกิดขึ้นมา เธอจึงกลายเป็น single mom เลี้ยงลูกคนเดียว แม้จะผ่านมา 6 ปี แล้ว เธอก็ยังทำใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ จึงพยายามเลี่ยงการจัดงานวันเกิดให้ลูกเป็นวันอื่นตลอด ส่วนซามัวเอลลูกชาย ก็เป็นเด็กมีปัญหา แปลกแยก เข้ากับใครไม่ได้ ส้รางความเดือดร้อนและลำบากใจให้ผู้เป็นแม่อยู่เรื่อย แถมยังเชื่อเป็นตุเป็นตะว่ามีปีศาจอยู่ในบ้านจ้องจะทำร้ายตนเองและแม่
จนกระทั่งวันหนึ่ง เอมิเลีย ได้อ่านนิทานก่อนนอนเรื่องหนึ่งให้ซามัวเอลฟัง มันเป็นเรื่องของปีศาจนาม บาบาดุค
IF IT'S IN A WORD
OR IN A LOOK
YOU CAN'T GET RID OF THE BABADOOK
หนังสือเรื่องนี้ติดค้างอยู่ในใจของสองแม่ลูกมาตลอดหลังจากนั้น ซามัวเอลที่มีอาการหวาดกลัวปีศาจจนชัก ส่วนเอมิเลียก็เริ่มเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแปลกๆภายในบ้าน นอนไม่หลับ ฝันร้าย และเจ้าปีศาจร้ายตนนี้ มันก็ค่อยๆกลืนกินครอบครัวนี้ทีละน้อย...
นี่คือหนังสัญญาติออสเตรเลียที่หากมองกันที่หน้าหนัง อาจจะคิดว่ามันคือหนังผี แต่เปลือกในแท้จริงแล้วมันคือหนัง Drama-Horror ผสมจิตวิทยา ที่จับเอาเรื่องของปีศาจมาเป็นตัวดำเนินเรื่อง (คือหนังผีที่ไม่มีผีนั่นแหละ) อารมณ์ประหนึ่ง The Orphanage หนังสัญชาติสเปนปี 2007 และทั้งสองเรื่องก็มีความคล้ายคลึงกันมาก ทั้งเรื่องของการใช้เรื่องของอาการจิตเภทเข้ามาอธิบายเรื่องผีปีศาจ หรือการใช้อาร์ตไดเรคเตอร์เข้ามามีส่วนสร้างบรรยากาศ
ชอบโทนเรื่องของเรื่องนี้ ที่ทำออกมาในโทนของหนังสือนิทานก่อนนอน (ซึ่งโยงกับธีมเรื่องที่เป็นปีศาจจากหนังสือ) ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่า หลายๆอย่างในหนังจะค่อนข้างมีความเป็นแฟนตาซีหรือมีความเซอเรียลสูง แม้กระทั่งเจ้าปีศาจ จะเหมือนตัดแปะหรือหลุดออกมาจากหนังสือ
ตอนเด็กๆเมื่อเราได้อ่านหนังสือนิทานอะไรก็ตามที่น่ากลัวมากๆ เราจะรู้สึกว่าเราจะติดภาพและเริ่มจินตนาการผสมเข้ากับความกลัวในโลกเป็นจริง ซึ่งหนังก็สื่อออกมาเป็นแบบนั้นเลย แต่ในตอนจบของนิทานทุกเรื่อง เราจะพบว่า สิ่งที่เราเคยกลัว มันไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป ซึ่งก็เหมือนกับหนังเรื่องนี้ ที่ผมไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือสิ่งที่อยู่ในหนังได้ตามมาหลอกหลอนผมอีกต่อไป
สรุปแล้ว มันคือภาพยนตร์ที่สื่อออกมาในรูปแบบหนังสือนิทานก่อนนอนนั่นเองครับ
นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังไม่ใช่หนังผีประเภทตุ๊งแช่ แต่ใช้เทคนิคการถ่ายทำ มุมกล้อง การจัดแสง เงามืด และการจัดวางองค์ประกอบในภาพ เพื่อกระตุ้นความกลัวของคนดูมากกว่าการมีผีที่เป็นรูปธรรมเป็นตัวเป็นตน ดังนั้นทั้งเรื่องเราจะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเลย (ซึ่งก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ) แต่หนังก็คุมบรรยากาศทั้งเรื่องได้น่าขนหัวลุกมากๆ เป็นหนังที่ฉลาดในการเล่นกับจิตวิทยาของคนดู และเว้นพื้นที่สำหรับจินตนาการไว้ได้ดีเยี่ยม
และเป็นหนังที่ทำให้ผมเข้าใจว่า นักแสดงที่ดี สามารถสร้างความน่ากลัวได้มากกว่า เมคอัพ หรือการครีเอทฉากผีตุ๊งแช่เป็นไหนๆ
จนผมเชื่อว่า แม้หลายคนที่อาจจะไม่ชอบเรื่องนี้ (ซึ่งเป็นเรื่องของรสนิยมของแต่ละคน) ก็ไม่มีทางปฏิเสธความยอดเยี่ยมของการแสดงระดับ "อัญมณี" ของ Essie Davis คนนี้ได้อย่างแน่นอน เธอเป็นคนที่คุมอารมณ์ของหนังทั้งหมด เป็นศูนย์กลางของเรื่อง และเป็นหัวใจหลักที่ทำให้หนังออกมายอดเยี่ยมได้ขนาดนี้ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นการแสดงระดับนี้ในหนังสยองขวัญ
เราจะเห็นพัฒนาการด้านอารมณ์ของตัวละครที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย สะสม และระเบิดออกมาเป็นลูกโซ่ เป็นหนังที่ครบรสมาก ทั้งหลอน โหด เศร้า ซึ้ง (และฮาในบางจังหวะ) บางอารมณ์นี้กดดันจนผมกลัวแทบกรี๊ดไปเลย หรือบางอารมณ์ก็รู้สึกสงสารในชะตากรรมของสองแม่ลูกอย่างหมดหัวใจ
****** ตรงส่วนนี้มีสปอยล์ครับ *******
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งหากมองในเชิงจิตวิทยาแล้ว การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดมาจากปม ความเสียใจ ความโดดเดี่ยว ความกดดันที่ค่อยๆสั่งสมมาเรื่อยๆ
แท้จริงแล้ว ปีศาจบาบาดุค ก็ไม่ใช่ใครอื่น มันคือจิตใต้สำนักลึกๆ (id) ของเอมิเลีย นั่นเอง...
ส่วนสิ่งที่คอยกดจิตสำนึกของความชั่วร้ายเอาไว้ (super ego) ก็คือ ความเป็นแม่ ความรักทั้งจากตัวเองที่ให้ลูกชาย และจากที่ลูกชายให้กับเธอ
หากแต่เมื่อใดก็ตามที่เราปล่อยให้ id มีอิทธิพลเหนือเรา เมื่อนั้นเองที่บาบาดุคจะออกมาอาละวาด
จะสังเกตว่าบาบาดุคจะแทนด้วยภาพสามี กระทั่งเครื่องแต่งกายและรูปลักษณ์เหมือนชุดนักมายากลเหมือนลูกชาย
ซึ่งสะท้อนภาวะทางอารมณ์ของตัวนางเอกนั่นเอง
และภาพในตอนจบ ก็จะสื่อถึงสิ่งชั่วร้ายไม่สามารถถูกกำจัดออกไปได้ เหมือนคำพูดที่ว่า "YOU CAN'T GET RID OF THE BABADOOK"
นั่นคือเราไม่สามารถสลัดจิตใต้สำนึกที่เป็น id ของเรา เพียงแต่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้
ห้องใต้ดินนั้นก็เปรียบเสมือนอดีต ความทรงจำที่ขมขื่นที่เธอเก็บซ่อนเอาไว้
(ซึ่งเต็มไปด้วยอดีตของสามี ของใช้ เสื้อผ้า รูปถ่าย ไวโอลีน ฯลฯ ที่เธอเลือกที่จะกักขังมันไว้ในตอนต้นเรื่อง)
ดังนั้น มันจึงไม่ใช่หนังผีอย่างที่หลายๆคนคาดหวัง ไม่มีฉากผีตุ้งแช่ ความโหด หรือเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ เหมือนที่หนังสยองขวัญรุ่นใหม่มี แต่ใช้วิธีการเล่นกับจิตวิทยาและอารมณ์ได้เหนือชั้นมากๆ รวมทั้งการสร้างบรรยากาศกดดัน เป็นหนังทริลเลอร์ชั้นดีที่สร้างความแตกต่างให้กับสยองขวัญทั่วไป ที่ไม่เพียงแต่ขายความสยองขวัญ แต่ยังมีเรื่องราวที่สอดรับกันอย่างลงตัว เหมาะกับคนที่ชอบคิด วิเคราะห์ และสรรหาความแปลกใหม่ ซึ่งเรื่องนี้ตอบโจทย์เหล่านี้ได้อย่างเหนือความคาดหมายครับ
Facebook/nusfish.blog
[CR] The Babadook (2014) - "...แล้วเจ้าหมาป่าชั่วร้ายก็ถูกกำจัดลง"
"...แล้วเจ้าหมาป่าชั่วร้ายก็ถูกกำจัดลง"
เอมิเลียปิดหนังสือนิทานก่อนนอนที่อ่านให้ลูกชายลง...
เธอเป็นแม่หม้ายลูกติดที่เสียสามีไปวันเดียวกับที่ลูกชายคนนี้เกิดขึ้นมา เธอจึงกลายเป็น single mom เลี้ยงลูกคนเดียว แม้จะผ่านมา 6 ปี แล้ว เธอก็ยังทำใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ จึงพยายามเลี่ยงการจัดงานวันเกิดให้ลูกเป็นวันอื่นตลอด ส่วนซามัวเอลลูกชาย ก็เป็นเด็กมีปัญหา แปลกแยก เข้ากับใครไม่ได้ ส้รางความเดือดร้อนและลำบากใจให้ผู้เป็นแม่อยู่เรื่อย แถมยังเชื่อเป็นตุเป็นตะว่ามีปีศาจอยู่ในบ้านจ้องจะทำร้ายตนเองและแม่
จนกระทั่งวันหนึ่ง เอมิเลีย ได้อ่านนิทานก่อนนอนเรื่องหนึ่งให้ซามัวเอลฟัง มันเป็นเรื่องของปีศาจนาม บาบาดุค
IF IT'S IN A WORD
OR IN A LOOK
YOU CAN'T GET RID OF THE BABADOOK
หนังสือเรื่องนี้ติดค้างอยู่ในใจของสองแม่ลูกมาตลอดหลังจากนั้น ซามัวเอลที่มีอาการหวาดกลัวปีศาจจนชัก ส่วนเอมิเลียก็เริ่มเห็นภาพหลอน ได้ยินเสียงแปลกๆภายในบ้าน นอนไม่หลับ ฝันร้าย และเจ้าปีศาจร้ายตนนี้ มันก็ค่อยๆกลืนกินครอบครัวนี้ทีละน้อย...
นี่คือหนังสัญญาติออสเตรเลียที่หากมองกันที่หน้าหนัง อาจจะคิดว่ามันคือหนังผี แต่เปลือกในแท้จริงแล้วมันคือหนัง Drama-Horror ผสมจิตวิทยา ที่จับเอาเรื่องของปีศาจมาเป็นตัวดำเนินเรื่อง (คือหนังผีที่ไม่มีผีนั่นแหละ) อารมณ์ประหนึ่ง The Orphanage หนังสัญชาติสเปนปี 2007 และทั้งสองเรื่องก็มีความคล้ายคลึงกันมาก ทั้งเรื่องของการใช้เรื่องของอาการจิตเภทเข้ามาอธิบายเรื่องผีปีศาจ หรือการใช้อาร์ตไดเรคเตอร์เข้ามามีส่วนสร้างบรรยากาศ
ชอบโทนเรื่องของเรื่องนี้ ที่ทำออกมาในโทนของหนังสือนิทานก่อนนอน (ซึ่งโยงกับธีมเรื่องที่เป็นปีศาจจากหนังสือ) ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่า หลายๆอย่างในหนังจะค่อนข้างมีความเป็นแฟนตาซีหรือมีความเซอเรียลสูง แม้กระทั่งเจ้าปีศาจ จะเหมือนตัดแปะหรือหลุดออกมาจากหนังสือ
ตอนเด็กๆเมื่อเราได้อ่านหนังสือนิทานอะไรก็ตามที่น่ากลัวมากๆ เราจะรู้สึกว่าเราจะติดภาพและเริ่มจินตนาการผสมเข้ากับความกลัวในโลกเป็นจริง ซึ่งหนังก็สื่อออกมาเป็นแบบนั้นเลย แต่ในตอนจบของนิทานทุกเรื่อง เราจะพบว่า สิ่งที่เราเคยกลัว มันไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป ซึ่งก็เหมือนกับหนังเรื่องนี้ ที่ผมไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวหรือสิ่งที่อยู่ในหนังได้ตามมาหลอกหลอนผมอีกต่อไป
สรุปแล้ว มันคือภาพยนตร์ที่สื่อออกมาในรูปแบบหนังสือนิทานก่อนนอนนั่นเองครับ
นอกจากนี้ หนังเรื่องนี้ยังไม่ใช่หนังผีประเภทตุ๊งแช่ แต่ใช้เทคนิคการถ่ายทำ มุมกล้อง การจัดแสง เงามืด และการจัดวางองค์ประกอบในภาพ เพื่อกระตุ้นความกลัวของคนดูมากกว่าการมีผีที่เป็นรูปธรรมเป็นตัวเป็นตน ดังนั้นทั้งเรื่องเราจะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรเลย (ซึ่งก็ไม่มีอะไรเลยจริงๆ) แต่หนังก็คุมบรรยากาศทั้งเรื่องได้น่าขนหัวลุกมากๆ เป็นหนังที่ฉลาดในการเล่นกับจิตวิทยาของคนดู และเว้นพื้นที่สำหรับจินตนาการไว้ได้ดีเยี่ยม
และเป็นหนังที่ทำให้ผมเข้าใจว่า นักแสดงที่ดี สามารถสร้างความน่ากลัวได้มากกว่า เมคอัพ หรือการครีเอทฉากผีตุ๊งแช่เป็นไหนๆ
จนผมเชื่อว่า แม้หลายคนที่อาจจะไม่ชอบเรื่องนี้ (ซึ่งเป็นเรื่องของรสนิยมของแต่ละคน) ก็ไม่มีทางปฏิเสธความยอดเยี่ยมของการแสดงระดับ "อัญมณี" ของ Essie Davis คนนี้ได้อย่างแน่นอน เธอเป็นคนที่คุมอารมณ์ของหนังทั้งหมด เป็นศูนย์กลางของเรื่อง และเป็นหัวใจหลักที่ทำให้หนังออกมายอดเยี่ยมได้ขนาดนี้ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็นการแสดงระดับนี้ในหนังสยองขวัญ
เราจะเห็นพัฒนาการด้านอารมณ์ของตัวละครที่ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปทีละน้อย สะสม และระเบิดออกมาเป็นลูกโซ่ เป็นหนังที่ครบรสมาก ทั้งหลอน โหด เศร้า ซึ้ง (และฮาในบางจังหวะ) บางอารมณ์นี้กดดันจนผมกลัวแทบกรี๊ดไปเลย หรือบางอารมณ์ก็รู้สึกสงสารในชะตากรรมของสองแม่ลูกอย่างหมดหัวใจ
****** ตรงส่วนนี้มีสปอยล์ครับ *******
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดังนั้น มันจึงไม่ใช่หนังผีอย่างที่หลายๆคนคาดหวัง ไม่มีฉากผีตุ้งแช่ ความโหด หรือเนื้อเรื่องที่แปลกใหม่ เหมือนที่หนังสยองขวัญรุ่นใหม่มี แต่ใช้วิธีการเล่นกับจิตวิทยาและอารมณ์ได้เหนือชั้นมากๆ รวมทั้งการสร้างบรรยากาศกดดัน เป็นหนังทริลเลอร์ชั้นดีที่สร้างความแตกต่างให้กับสยองขวัญทั่วไป ที่ไม่เพียงแต่ขายความสยองขวัญ แต่ยังมีเรื่องราวที่สอดรับกันอย่างลงตัว เหมาะกับคนที่ชอบคิด วิเคราะห์ และสรรหาความแปลกใหม่ ซึ่งเรื่องนี้ตอบโจทย์เหล่านี้ได้อย่างเหนือความคาดหมายครับ
Facebook/nusfish.blog