เรื่องยาวหน่อยครับ แต่อยากให้อ่านจริงๆ
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษาที่ผ่านมา น้องชายผมได้ไปคัดเลือกเพื่อเกณฑ์เป็นทหาร สุดท้ายก็ได้ใบแดงมา แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น แต่ผมขอย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เมื่อ 2 ปีก่อนที่น้องผมจะได้เข้ารับการคัดเลือก น้องผมป่วยเป็นไทรอยด์เป็นพิษ อาการตอนนั้นแย่มากและอาการก็ดีขึ้นหลังรักษาได้มา 9 เดือนแล้วก็หยุดยาลง เนื่องจากหมอสั่งหยุดก่อนเพราะหมอบอกว่าระดับฮอร์โมนปกติแล้วหยุดยาได้ (จริงๆแล้วโรคไทรอยด์เป็นพิษควรได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปีครึ่งเป็นอย่างน้อย) จากนั้นมาเป็นเวลา 2 ปี น้องผมมีอการบ้างเล็กน้อย เช่นเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ฯลฯ แต่เป็นทีก็เป็นหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน ? ปัญหาอยู่ตรงที่ ผมและน้องไม่เคยทราบมาก่อนว่า คนที่เป็นโรคนี้ จะได้รับการยกเว้น กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว ที่ไม่รู้แต่แรกเพราะว่าไม่มีโรคนี้ในโรคที่ยกเว้นเนื่องจากว่า เค้าเพิ่งใส่ชื่อโรคนี้เข้าไปในปี 2555 เชื่อหรือไม่ครับว่า ขนาดผมโทรไปถามสัสดี หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลก็ตาม เขาเองยังไม่รู้เลยว่าโรงนี้ได้ถูกใส่เข้าไปเป็นโรคที่ยกเว้น (น่าตลกสิ้นดี)
หลักจากนั้นผมก็หาข้อมูล ว่าต้องเดินเรื่องอย่างไร จนได้ความว่า ต้องไปเอาประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเก่าที่รักษามาให้ที่โรงพยาบาลทหาร เพื่อให้เค้ารับรอง ว่าเป็นโรคนี้จริง แล้วก็ได้เดินเรื่องโดยการไปขอประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลเก่าซึ่งช่วงที่ทำการเดินเรื่องนี้เอง น้องผมก็มีอาการแบบเก่าๆ แบบที่เคยเป็น เช่น ใจสั่น อารมณ์แปรปวน ขี้ร้อน เมื่อทำการตรวจเลือดก็พบว่าระดับฮอร์โมนสูงกว่าปกติและผลซาวคอก็พบว่าไทรอดย์โต เพราะคนที่เป็นโรคนี้ผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่งจะกลับมาเป็นโรคใหม่ได้อีก จากนั้นจึงได้นำผลเลือด และผลซาวไปให้ที่โรงพยาบาลทหารเพื่อยืนยันว่าเป็นจริง
แต่....!!!! เมื่อไปถึงโรงพยาบาลทหาร เค้าก็ถามว่ามาทำอะไร ผมก็บอกจุดประสงค์ไป ว่าต้องการมาขอใบรับรองเพื่อทำการปลด คุณเชื่อไหมครับ สายตาของพยาบาลนี่ มองเหมือนว่า "ไอ่นี้ตุ๊ด อยากจะหนีทหาร ไม่รักชาติ บลาๆๆ" ถึงไม่พูดเป็นเสียงออกมาแต่ผมก็สามารถรับรู้ได้ด้วยสายตาการกระทำและน้ำเสียง ผมก็คิดว่าโอเค เขาไม่เข้าใจหรอกอยากจะคิดอย่างนั้นก็คิดไป เชิญ.... จนน้องผมได้เข้าไปตรวจกับหมอ เรื่องแปลกก็เกิดขึ้น หมอถามว่าเป็นอะไรมา น้องผมก็บอกไปแล้วต่อด้วยจุดประสงค์ที่มาที่นี่ เท่านั้นแหละครับ สายตาหมอเหมือนกับสายตาของพยาบาลไม่มีผิด จากนั้นน้องผมก็เอาประวัติการรักษา 10 กว่าแผ่นผลซาวและผลเลือดให้หมออ่าน หมอเก่งมากครับ อ่านเอกสาร 10 กว่าแผ่นในเวลา 30 วินาที ผลเลือดแค่มองผ่านๆ ผลซาวหรอ ไม่ได้หยิบเลย จากนั้นหมอก็เขียนๆแล้วบอกให้ไปเจาะเลือดแล้วดูผลอีกทีอาทิตย์หน้า ถ้าผลปกติ หมอก็ทำอะไรไม่ได้ (คือหมอจะดูแต่ผลเลือด แต่อาการที่ใจสั่นเหนือยง่าย ขี้ร้อน อารมณ์แปรปวน ประวัติ ผลเลือด ผลซาว นี่ช่างมันฉันไม่สน ฉันจะเอาแต่ผลเดือด) จากนั้นก็ไปเจาะเดือดและกลับบ้าน
1 อาทิตย์ผ่านมา (วันฟังผลเลือด) ผลเลือดปกติ (แต่ยังถือว่าสูง แต่ไม่มากเพราะยังอยู่ในช่วงที่รับได้) หมอบอกว่าผลเลือดก็ปกติ หมอสงสัยเลยถามว่าได้กินยาอะไรหรือเปล่า น้องก็บอกไปว่ากิน PTU ไป หมอได้ยินอย่างนั้นเลยสั่งให้หยุดยาซะ ในใจผมคิด เอ้าว์...สั่งให้หยุดยาอย่างนี้ อาการก็แย่ลงสิ หมอก็บอกว่างั้นเอาอย่างนี้วันนี้ไปเจาะเลือดแล้วอีก 2 อาทิตย์มาดูผลใหม่ น้องผมก็โอเค เจาะใหม่ก็เจาะ เสียตังอีกละ เห้อ..... (วันนี้หมอไม่ได้สนใจเกี่ยวกับอาการเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง)
อาทิตย์ที่ 3 (ฟังผลเดือนครั้งที่ 2) ผลเลือดปกติ !!! หมอสั่งเจาะใหม่ตามเดิม หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล น้องผลเพลียมาก เพราะโดนเจาะเลือดบ่อย ทั้งต้องเจาะที่โรงพยาบาลเก่าที่รักษา และที่โรงบาลทหาร ก็เลยมีอาการช็อกหายใจไม่ทัน ตัวเกร็งซีดและเย็นไปหมด
อาทิตย์ที่ 4 ฟังผล ผลที่ได้คือ ผลปกติ ผมเลยบอกเรื่องอาการช็อกของน้องไป (หมอฟังแล้ว แสดงอาการว่าฉันไม่เชื่อ) แล้วหมอก็บอกว่า จริงๆแล้วมันไม่ใช่อาการของไทรอยด์นะ ถ้าให้หมอออกใบรับรองให้หมอก็เขียนได้แค่ว่าปกติดี เมื่อฟังผลแล้วก็เริ่มถอดใจแล้ว เลยพอกันทีกับโรงพยาบาลนี้จบ...!! เพราะตั้งแต่มาตรวจเป็นเดือนๆ ไม่เคยเจอแม้เงาของหมอเฉพาะทางส่งให้หมอทั่วไปตลอด ไม่มีการจ่ายยา หรือแม้แต่ตรวจอาการอื่นๆ จะเอาแต่ผลเลือดอย่างเดียวแม้กระทั้งถึงขั้นมีอาการช็อกแต่ก็ไม่สนใจใยดี
หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยที่พอรู้จักกับ อาจารย์หมอของ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ก็เลยลองเอาผลเลือดผลซาวและประวัติการรักษาไปให้อ่าน เขาอ่านวิเคราะห์นานมาก เกือบเป็นชั่วโมง (ซึ่งต่างจากโรงพยาบาลทหารที่ใช้เวลาในการอ่านเพียง 30 วินาที) จากนั้นหมอก็สรุปออกมาว่าเป็นไทรอยด์เป็นพิษจริง แต่ก็ไม่ได้ได้ทำการรักษา เพราะว่าถ้ารักษาที่โรงพยาบาลนี้ ค่าใช่จ่ายสูงมากเกินที่จะรับไหว
บางคนอาจไม่ทราบว่า โรคไทรอยด์เป็นพิษมันร้ายแรงแค่ไหนถ้าเกิดมีอาการขึ้นมา แล้วยิ่งถ้าอาการกำเริบตอนฝึกละ ?! จากวันนี้ก็เหลือเวลาอีก 20 วัน ที่น้องผมต้องไปเป็นทหารแล้ว คงได้แต่ทำใจ เพราะผมไม่ใช่หมอ และไม่มีอำนาจจะไปเซ็นรับรองทั้งที่รู้ว่าเป็นจริง ทั้งหมดนี้ผมและน้องผิดเอง ที่ไม่รู้ว่าเค้าได้ยกเว้นโรคนี้แล้วเมื่อปี 2555 และก็ผิดเองที่รู้ช้ากว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
ปล. จากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมได้รับรู้ว่า การกระจายข่าวสารของระบบราชการค่อนข้างที่จะไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก ขนาดคนในองค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงยังไม่ทราบ และการเหยียดหยามด้วยสายตา น้ำเสียง การกระทำของเจ้าหน้าที่ต่างๆ ทั้งหมอและพยาบาลเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นและเป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้อย่างมาก ทำเหมือนว่าไม่รักชาติ พยามจะหนีทหาร ไม่อยากเป็น พวกคุณคิดได้แค่นี้หรือ ?
ทำไม ถ้าไม่ได้เป็นทหาร หรือไม่พร้อมที่จะเป็นทหาร คือคนที่ไม่รักชาติหรือครับ ?
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษาที่ผ่านมา น้องชายผมได้ไปคัดเลือกเพื่อเกณฑ์เป็นทหาร สุดท้ายก็ได้ใบแดงมา แล้วปัญหาก็เกิดขึ้น แต่ผมขอย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เมื่อ 2 ปีก่อนที่น้องผมจะได้เข้ารับการคัดเลือก น้องผมป่วยเป็นไทรอยด์เป็นพิษ อาการตอนนั้นแย่มากและอาการก็ดีขึ้นหลังรักษาได้มา 9 เดือนแล้วก็หยุดยาลง เนื่องจากหมอสั่งหยุดก่อนเพราะหมอบอกว่าระดับฮอร์โมนปกติแล้วหยุดยาได้ (จริงๆแล้วโรคไทรอยด์เป็นพิษควรได้รับยาต่อเนื่องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปีครึ่งเป็นอย่างน้อย) จากนั้นมาเป็นเวลา 2 ปี น้องผมมีอการบ้างเล็กน้อย เช่นเจ็บหน้าอก เหนื่อยง่าย ฯลฯ แต่เป็นทีก็เป็นหนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน ? ปัญหาอยู่ตรงที่ ผมและน้องไม่เคยทราบมาก่อนว่า คนที่เป็นโรคนี้ จะได้รับการยกเว้น กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว ที่ไม่รู้แต่แรกเพราะว่าไม่มีโรคนี้ในโรคที่ยกเว้นเนื่องจากว่า เค้าเพิ่งใส่ชื่อโรคนี้เข้าไปในปี 2555 เชื่อหรือไม่ครับว่า ขนาดผมโทรไปถามสัสดี หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลก็ตาม เขาเองยังไม่รู้เลยว่าโรงนี้ได้ถูกใส่เข้าไปเป็นโรคที่ยกเว้น (น่าตลกสิ้นดี)
หลักจากนั้นผมก็หาข้อมูล ว่าต้องเดินเรื่องอย่างไร จนได้ความว่า ต้องไปเอาประวัติการรักษาจากโรงพยาบาลเก่าที่รักษามาให้ที่โรงพยาบาลทหาร เพื่อให้เค้ารับรอง ว่าเป็นโรคนี้จริง แล้วก็ได้เดินเรื่องโดยการไปขอประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลเก่าซึ่งช่วงที่ทำการเดินเรื่องนี้เอง น้องผมก็มีอาการแบบเก่าๆ แบบที่เคยเป็น เช่น ใจสั่น อารมณ์แปรปวน ขี้ร้อน เมื่อทำการตรวจเลือดก็พบว่าระดับฮอร์โมนสูงกว่าปกติและผลซาวคอก็พบว่าไทรอดย์โต เพราะคนที่เป็นโรคนี้ผู้ป่วยประมาณครึ่งหนึ่งจะกลับมาเป็นโรคใหม่ได้อีก จากนั้นจึงได้นำผลเลือด และผลซาวไปให้ที่โรงพยาบาลทหารเพื่อยืนยันว่าเป็นจริง
แต่....!!!! เมื่อไปถึงโรงพยาบาลทหาร เค้าก็ถามว่ามาทำอะไร ผมก็บอกจุดประสงค์ไป ว่าต้องการมาขอใบรับรองเพื่อทำการปลด คุณเชื่อไหมครับ สายตาของพยาบาลนี่ มองเหมือนว่า "ไอ่นี้ตุ๊ด อยากจะหนีทหาร ไม่รักชาติ บลาๆๆ" ถึงไม่พูดเป็นเสียงออกมาแต่ผมก็สามารถรับรู้ได้ด้วยสายตาการกระทำและน้ำเสียง ผมก็คิดว่าโอเค เขาไม่เข้าใจหรอกอยากจะคิดอย่างนั้นก็คิดไป เชิญ.... จนน้องผมได้เข้าไปตรวจกับหมอ เรื่องแปลกก็เกิดขึ้น หมอถามว่าเป็นอะไรมา น้องผมก็บอกไปแล้วต่อด้วยจุดประสงค์ที่มาที่นี่ เท่านั้นแหละครับ สายตาหมอเหมือนกับสายตาของพยาบาลไม่มีผิด จากนั้นน้องผมก็เอาประวัติการรักษา 10 กว่าแผ่นผลซาวและผลเลือดให้หมออ่าน หมอเก่งมากครับ อ่านเอกสาร 10 กว่าแผ่นในเวลา 30 วินาที ผลเลือดแค่มองผ่านๆ ผลซาวหรอ ไม่ได้หยิบเลย จากนั้นหมอก็เขียนๆแล้วบอกให้ไปเจาะเลือดแล้วดูผลอีกทีอาทิตย์หน้า ถ้าผลปกติ หมอก็ทำอะไรไม่ได้ (คือหมอจะดูแต่ผลเลือด แต่อาการที่ใจสั่นเหนือยง่าย ขี้ร้อน อารมณ์แปรปวน ประวัติ ผลเลือด ผลซาว นี่ช่างมันฉันไม่สน ฉันจะเอาแต่ผลเดือด) จากนั้นก็ไปเจาะเดือดและกลับบ้าน
1 อาทิตย์ผ่านมา (วันฟังผลเลือด) ผลเลือดปกติ (แต่ยังถือว่าสูง แต่ไม่มากเพราะยังอยู่ในช่วงที่รับได้) หมอบอกว่าผลเลือดก็ปกติ หมอสงสัยเลยถามว่าได้กินยาอะไรหรือเปล่า น้องก็บอกไปว่ากิน PTU ไป หมอได้ยินอย่างนั้นเลยสั่งให้หยุดยาซะ ในใจผมคิด เอ้าว์...สั่งให้หยุดยาอย่างนี้ อาการก็แย่ลงสิ หมอก็บอกว่างั้นเอาอย่างนี้วันนี้ไปเจาะเลือดแล้วอีก 2 อาทิตย์มาดูผลใหม่ น้องผมก็โอเค เจาะใหม่ก็เจาะ เสียตังอีกละ เห้อ..... (วันนี้หมอไม่ได้สนใจเกี่ยวกับอาการเลยว่าเป็นอย่างไรบ้าง)
อาทิตย์ที่ 3 (ฟังผลเดือนครั้งที่ 2) ผลเลือดปกติ !!! หมอสั่งเจาะใหม่ตามเดิม หลังจากกลับมาจากโรงพยาบาล น้องผลเพลียมาก เพราะโดนเจาะเลือดบ่อย ทั้งต้องเจาะที่โรงพยาบาลเก่าที่รักษา และที่โรงบาลทหาร ก็เลยมีอาการช็อกหายใจไม่ทัน ตัวเกร็งซีดและเย็นไปหมด
อาทิตย์ที่ 4 ฟังผล ผลที่ได้คือ ผลปกติ ผมเลยบอกเรื่องอาการช็อกของน้องไป (หมอฟังแล้ว แสดงอาการว่าฉันไม่เชื่อ) แล้วหมอก็บอกว่า จริงๆแล้วมันไม่ใช่อาการของไทรอยด์นะ ถ้าให้หมอออกใบรับรองให้หมอก็เขียนได้แค่ว่าปกติดี เมื่อฟังผลแล้วก็เริ่มถอดใจแล้ว เลยพอกันทีกับโรงพยาบาลนี้จบ...!! เพราะตั้งแต่มาตรวจเป็นเดือนๆ ไม่เคยเจอแม้เงาของหมอเฉพาะทางส่งให้หมอทั่วไปตลอด ไม่มีการจ่ายยา หรือแม้แต่ตรวจอาการอื่นๆ จะเอาแต่ผลเลือดอย่างเดียวแม้กระทั้งถึงขั้นมีอาการช็อกแต่ก็ไม่สนใจใยดี
หลังจากนั้นไม่นาน ด้วยที่พอรู้จักกับ อาจารย์หมอของ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ก็เลยลองเอาผลเลือดผลซาวและประวัติการรักษาไปให้อ่าน เขาอ่านวิเคราะห์นานมาก เกือบเป็นชั่วโมง (ซึ่งต่างจากโรงพยาบาลทหารที่ใช้เวลาในการอ่านเพียง 30 วินาที) จากนั้นหมอก็สรุปออกมาว่าเป็นไทรอยด์เป็นพิษจริง แต่ก็ไม่ได้ได้ทำการรักษา เพราะว่าถ้ารักษาที่โรงพยาบาลนี้ ค่าใช่จ่ายสูงมากเกินที่จะรับไหว
บางคนอาจไม่ทราบว่า โรคไทรอยด์เป็นพิษมันร้ายแรงแค่ไหนถ้าเกิดมีอาการขึ้นมา แล้วยิ่งถ้าอาการกำเริบตอนฝึกละ ?! จากวันนี้ก็เหลือเวลาอีก 20 วัน ที่น้องผมต้องไปเป็นทหารแล้ว คงได้แต่ทำใจ เพราะผมไม่ใช่หมอ และไม่มีอำนาจจะไปเซ็นรับรองทั้งที่รู้ว่าเป็นจริง ทั้งหมดนี้ผมและน้องผิดเอง ที่ไม่รู้ว่าเค้าได้ยกเว้นโรคนี้แล้วเมื่อปี 2555 และก็ผิดเองที่รู้ช้ากว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
ปล. จากเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมได้รับรู้ว่า การกระจายข่าวสารของระบบราชการค่อนข้างที่จะไม่มีประสิทธิภาพอย่างมาก ขนาดคนในองค์กรที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงยังไม่ทราบ และการเหยียดหยามด้วยสายตา น้ำเสียง การกระทำของเจ้าหน้าที่ต่างๆ ทั้งหมอและพยาบาลเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นและเป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้อย่างมาก ทำเหมือนว่าไม่รักชาติ พยามจะหนีทหาร ไม่อยากเป็น พวกคุณคิดได้แค่นี้หรือ ?