ขอเล่ายาวๆ นิดนึงน่ะครับ..
ผมเป็นเด็ก ต่างจังหวัดคนนึงที่อยากเข้ามา กรุงเทพ เมื่อประมาณปี 2531 พอจบ ปวช.เพื่อนคนนึง ได้ชวนมาสอบเข้าเรียนต่อ
ใน กรุงเทพ. สมัยนั้นก็ มีข่าวเด็กช่าง ตีกันอยู่เป็นประจำ หลายๆคนทักผมว่า อย่าไปเลยเดี๋ยว จะไม่ทันจบ
ใจอยากก็จะเรียนต่อ แต่ก็ไม่พร้อม เลยมาหางานทำก่อน งานที่แรกที่ผมได้ทำ คือโรงงาน ผลิตเหล็กเส้น
และสังกะสีแผ่น แถวพระปะแดง เป็นช่างเทคนิคประจำโรงงานสังกะสี งานที่นั่นทั้งร้อนทั้งเหนื่อยมาก กลับบ้านมาทีไร
นอนไม่อยากจะตื่นเลย(ผมพักที่ อนุสาวรีย์ชัยแต่ต้องไปทำงานที่พระปะแดงครับ) ที่ทำงานที่นี่เป็นที่ๆทำให้ผมคิดได้
และมีข้อเปรียบเทียบหลายๆอย่าง
อย่างแรกผมเห็นวิศวกรที่โรงงานนั่งทำงานในห้องแอร์เย็นๆ พอเทียบกับตัวเอง ผมอยู่กับเตาหลอมสังกะสี อย่าเรียกว่าร้อนเลย
น่าจะเรียกว่า โ.....ตร ร้อนดีกว่า.ทำไมมันสบาย ต่างกันขนาดนี้ เช้ามาผมเห็นเขาเรียกหัวหน้าผม ซึ่งคงจะอายุมากแล้วล่ะ
เข้าไปนั่งในห้องแล้วก็สั่งๆ พอสักพักหัวหน้าผมก็ออกมาพร้อมกับใบสั่งงาน ก็เอามาให้พวกผม ไปทำ แต่ละงานนี่ หินๆ ทั้งนั้นครับ..
ส่วนพวก วิศวกรก็นั่งเล่นกันต่อในห้อง..ในห้องที่ผมอยากเข้าไปมั่ง แต่เขาไม่ให้เข้า (แต่สุดท้ายผมก็มีโอกาสเข้าไปครับ)
อย่างที่สองคือเงินเดือน ผมทำงานที่แรก เงินเดือน 3300 บาท ส่วนวิศวกร ที่เข้าทำงานพร้อมกัน
แอบถามมาได้ เงินเดือน 16000 บาท ทำไมต่างกันจัง
อย่างที่สาม ชุดทำงานครับ ผมจำได้ว่าถ้าเป็นพนักงานธรรมดาอย่างผมใส่ชุดเสื้อกางเกงสีกากี(หลังเลิกงานทุกวันนี่สภาพ
ตัวเอง มอม อย่าง หมาเลย เหม็นด้วย) ส่วนชุดพวกระดับหัวหน้ากับวิศวกร เขาจะให้ใส่ ชุดซาฟารี สีเทาๆ อย่างเท่ห์ สาวออฟฟิศ
ติดกันตรึม..อิจฉา มากๆๆๆ อย่างพวกผมนี่ สาวออฟฟิศเขาไม่แลเลยครับ ที่นั่งกินข้าวก็จะแยกโซน เหมือนจะแบ่งแยกชนชั้น
ยังไงชอบกล
ผมอดทนทำงานพร้อมๆกับอิจฉา พวก วิศวกร ทั้งหลายว่า มันสบายกันจังเงินก็เยอะ ทำงานไปเรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้ทำ OT
เท่าไหร่ พอใกล้ๆจะผ่านการทดลองงาน หัวหน้าวิศวกรโรงสังกะสี ก็ได้เรียกผมเข้า ห้องแอร์เย็นๆ โอ้..อยากเข้ามานาน
แล้ว.แต่เอ๊ะ เรียกเข้ามาทำไม..คือเขาเรียกผมไปแจ้งว่า ผมไม่ผ่านการทดลองงาน..ด้วยเหตุที่ว่า ไม่ค่อยทำ OT
…คือจริงๆก็อยากทำน่ะแหละแต่บ้านมันไกล ตอนนั้นถ้าทำต้องเลิก 5 ทุ่ม กลับถึงบ้านนี่ เกือบๆ ตี 2 เลยไม่อยากทำ
พอได้รับแจ้งว่า ไม่ผ่าน เท่านั้นแหละ..เหมือนชีวิต มันมืดไปหมด จะไปบอก พ่อ แม่ ยังไง แล้วเงินที่จะให้พ่อ,แม่
เงินตัวเองที่จะใช้ จะทำยังไง (ผมให้พ่อกับแม่เดือนละ 500 บาท) น้ำตาลูกผู้ชาย ไหลเลยครับ ลูกพี่ผมก็เข้ามาปลอบ
เข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ให้..แต่เขาไม่ยอมคือต้องออกสถานเดียว..ตอนนั้นผมเกลียดพวกที่อยู่ในห้องแอร์ห้องนั้นมาก
เกลียดมันทั้งหมดน่ะแหละ..ไม่สน ใครนั่งอยู่ในห้องนั้น K U เกลียดหมด.. ประมาณนั้นเลย
ผมออกจากงานที่แรกมาไม่กล้า บอกพ่อกับแม่ ได้แต่นั่งเปิดหนังสือพิมพ์หางาน ไปสมัครตามที่ต่างๆ ก็ไม่ได้ซักที
ผมจำได้ว่าถ้าวันไหนผมไม่ได้ออกไปหางานทำ ผมจะมานั่งเล่นในสวนลุม ตั้งแต่เช้าจนเย็น แล้วค่อยกลับที่พัก
ผมตกงานอยู่หลายเดือน อาศัยบ้านพักทหารฟรีของเพื่อนอยู่ใน รพ.พระมงกุฏ แล้วก็อาศัยข้าวฟรี เวลาที่เขา
ทำอาหารแจกคนป่วย ก็ขอแบ่งมากินบ้าง เท่าที่จะขอได้
จนสุดท้ายก็ต้องบอกพ่อกับแม่ ว่าตกงาน ท่านก็เสียใจบอกให้กลับ มาอยู่บ้าน แต่ผมไม่กลับ จะมีก็แต่บางอาทิตย์
นั่งรถกลับไปขอเงินท่านมาไว้หางานต่อ ช่วงที่นั่งรถกลับบ้าน ผ่านมาถึง นวนคร ตอนนั้นไม่เคยรู้จักเลย ว่ามีอะไรในนั้น
แต่เห็นคนลงที่นั่นเยอะ ใส่ชุดทำงานกัน ต่อมาถึงได้รู้ว่าเป็น นิคมฯอุตสาหกรรม โรงงาน อยู่ในนี้เยอะ (ก่อนนี้ได้แต่หางาน
แถวใน กรุงเทพ หรือไม่ก็แถว พระปะแดง เนื่องจากคุ้นแถวนั้นอยู่) เลยตัดสินใจลงไปหางาน ในนั้นดู จังหวะพอดี
มีโรงงานแห่งหนึ่งเปิดรับสมัคร ช่างเทคนิค หลายอัตรา เท่าที่จำได้ 40-50 คนเลย เขาจะส่งไปญี่ปุ่นเพื่อฝึกอบรม
แล้วกลับมาติดตั้ง Line ผลิตกัน ผมเลยได้ไปสมัคร และสอบคัดเลือกกับเขาด้วย(มีทำข้อสอบคัดเลือกด้วย คนสมัคร
ค่อนข้างเยอะ) ปรากฏว่าผมสอบได้เป็นที่ 1 ดีใจมาก ได้งานทำแล้ว หลังจากนั้นก็ตรวจสุขภาพ รายงานตัว ได้เงินเดือน
ที่ใหม่ 4000 บาท โอ้โห กลับไปบอกแม่เลย ได้เยอะกว่าเดิมด้วย..แถมยังได้ไปญี่ปุ่น อีก สมัยนั้นใครได้ไปอบรมต่างประเทศ
นี่เรียกว่าเท่ห์มาก..ถึงขนาดต้องตัด สูท ไปเลยน่ะครับ
สรุปผมได้มาทำงานใน บริษัท แห่งหนึ่งในนวนคร (คิดว่าบอกไปต้องมีคนรู้จักบริษัทนี้แน่) ในตำแหน่งช่างเทคนิค และได้ไปฝึกอบรม
ที่ญี่ปุ่น เกือบๆ 1 ปีระหว่างฝึกอบรมก็คิดมาตลอดว่า วันหนึ่งเราจะต้องเป็น วิศวกร ให้ได้ อยากทำงานเหมือนพวกที่อยู่ บริษัทแรก..อิจฉา
เข้าใจมั้ย..วันๆ มันนั่งทำอะไรกันมั่ง..ไม่เข้าใจ.. หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่น ได้ไปสมัครสอบเรียนต่อ (ตอนนั้นประเทศไทยเป็นช่วงขาด
แคลนวิศวกร)คือพอทำงานมีเงินเก็บอยู่บ้างคิดว่าคงพอจะมีตังค์ เสียค่าเทอม ผลปรากฏว่าสอบติด ได้เรียนต่อสมใจอยาก..
***เดี๋ยวกลับมาเล่าต่อครับ***
จากชีวิตจริง..เส้นทางการเรียนและการทำงานของมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่ง
ผมเป็นเด็ก ต่างจังหวัดคนนึงที่อยากเข้ามา กรุงเทพ เมื่อประมาณปี 2531 พอจบ ปวช.เพื่อนคนนึง ได้ชวนมาสอบเข้าเรียนต่อ
ใน กรุงเทพ. สมัยนั้นก็ มีข่าวเด็กช่าง ตีกันอยู่เป็นประจำ หลายๆคนทักผมว่า อย่าไปเลยเดี๋ยว จะไม่ทันจบ
ใจอยากก็จะเรียนต่อ แต่ก็ไม่พร้อม เลยมาหางานทำก่อน งานที่แรกที่ผมได้ทำ คือโรงงาน ผลิตเหล็กเส้น
และสังกะสีแผ่น แถวพระปะแดง เป็นช่างเทคนิคประจำโรงงานสังกะสี งานที่นั่นทั้งร้อนทั้งเหนื่อยมาก กลับบ้านมาทีไร
นอนไม่อยากจะตื่นเลย(ผมพักที่ อนุสาวรีย์ชัยแต่ต้องไปทำงานที่พระปะแดงครับ) ที่ทำงานที่นี่เป็นที่ๆทำให้ผมคิดได้
และมีข้อเปรียบเทียบหลายๆอย่าง
อย่างแรกผมเห็นวิศวกรที่โรงงานนั่งทำงานในห้องแอร์เย็นๆ พอเทียบกับตัวเอง ผมอยู่กับเตาหลอมสังกะสี อย่าเรียกว่าร้อนเลย
น่าจะเรียกว่า โ.....ตร ร้อนดีกว่า.ทำไมมันสบาย ต่างกันขนาดนี้ เช้ามาผมเห็นเขาเรียกหัวหน้าผม ซึ่งคงจะอายุมากแล้วล่ะ
เข้าไปนั่งในห้องแล้วก็สั่งๆ พอสักพักหัวหน้าผมก็ออกมาพร้อมกับใบสั่งงาน ก็เอามาให้พวกผม ไปทำ แต่ละงานนี่ หินๆ ทั้งนั้นครับ..
ส่วนพวก วิศวกรก็นั่งเล่นกันต่อในห้อง..ในห้องที่ผมอยากเข้าไปมั่ง แต่เขาไม่ให้เข้า (แต่สุดท้ายผมก็มีโอกาสเข้าไปครับ)
อย่างที่สองคือเงินเดือน ผมทำงานที่แรก เงินเดือน 3300 บาท ส่วนวิศวกร ที่เข้าทำงานพร้อมกัน
แอบถามมาได้ เงินเดือน 16000 บาท ทำไมต่างกันจัง
อย่างที่สาม ชุดทำงานครับ ผมจำได้ว่าถ้าเป็นพนักงานธรรมดาอย่างผมใส่ชุดเสื้อกางเกงสีกากี(หลังเลิกงานทุกวันนี่สภาพ
ตัวเอง มอม อย่าง หมาเลย เหม็นด้วย) ส่วนชุดพวกระดับหัวหน้ากับวิศวกร เขาจะให้ใส่ ชุดซาฟารี สีเทาๆ อย่างเท่ห์ สาวออฟฟิศ
ติดกันตรึม..อิจฉา มากๆๆๆ อย่างพวกผมนี่ สาวออฟฟิศเขาไม่แลเลยครับ ที่นั่งกินข้าวก็จะแยกโซน เหมือนจะแบ่งแยกชนชั้น
ยังไงชอบกล
ผมอดทนทำงานพร้อมๆกับอิจฉา พวก วิศวกร ทั้งหลายว่า มันสบายกันจังเงินก็เยอะ ทำงานไปเรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้ทำ OT
เท่าไหร่ พอใกล้ๆจะผ่านการทดลองงาน หัวหน้าวิศวกรโรงสังกะสี ก็ได้เรียกผมเข้า ห้องแอร์เย็นๆ โอ้..อยากเข้ามานาน
แล้ว.แต่เอ๊ะ เรียกเข้ามาทำไม..คือเขาเรียกผมไปแจ้งว่า ผมไม่ผ่านการทดลองงาน..ด้วยเหตุที่ว่า ไม่ค่อยทำ OT
…คือจริงๆก็อยากทำน่ะแหละแต่บ้านมันไกล ตอนนั้นถ้าทำต้องเลิก 5 ทุ่ม กลับถึงบ้านนี่ เกือบๆ ตี 2 เลยไม่อยากทำ
พอได้รับแจ้งว่า ไม่ผ่าน เท่านั้นแหละ..เหมือนชีวิต มันมืดไปหมด จะไปบอก พ่อ แม่ ยังไง แล้วเงินที่จะให้พ่อ,แม่
เงินตัวเองที่จะใช้ จะทำยังไง (ผมให้พ่อกับแม่เดือนละ 500 บาท) น้ำตาลูกผู้ชาย ไหลเลยครับ ลูกพี่ผมก็เข้ามาปลอบ
เข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ให้..แต่เขาไม่ยอมคือต้องออกสถานเดียว..ตอนนั้นผมเกลียดพวกที่อยู่ในห้องแอร์ห้องนั้นมาก
เกลียดมันทั้งหมดน่ะแหละ..ไม่สน ใครนั่งอยู่ในห้องนั้น K U เกลียดหมด.. ประมาณนั้นเลย
ผมออกจากงานที่แรกมาไม่กล้า บอกพ่อกับแม่ ได้แต่นั่งเปิดหนังสือพิมพ์หางาน ไปสมัครตามที่ต่างๆ ก็ไม่ได้ซักที
ผมจำได้ว่าถ้าวันไหนผมไม่ได้ออกไปหางานทำ ผมจะมานั่งเล่นในสวนลุม ตั้งแต่เช้าจนเย็น แล้วค่อยกลับที่พัก
ผมตกงานอยู่หลายเดือน อาศัยบ้านพักทหารฟรีของเพื่อนอยู่ใน รพ.พระมงกุฏ แล้วก็อาศัยข้าวฟรี เวลาที่เขา
ทำอาหารแจกคนป่วย ก็ขอแบ่งมากินบ้าง เท่าที่จะขอได้
จนสุดท้ายก็ต้องบอกพ่อกับแม่ ว่าตกงาน ท่านก็เสียใจบอกให้กลับ มาอยู่บ้าน แต่ผมไม่กลับ จะมีก็แต่บางอาทิตย์
นั่งรถกลับไปขอเงินท่านมาไว้หางานต่อ ช่วงที่นั่งรถกลับบ้าน ผ่านมาถึง นวนคร ตอนนั้นไม่เคยรู้จักเลย ว่ามีอะไรในนั้น
แต่เห็นคนลงที่นั่นเยอะ ใส่ชุดทำงานกัน ต่อมาถึงได้รู้ว่าเป็น นิคมฯอุตสาหกรรม โรงงาน อยู่ในนี้เยอะ (ก่อนนี้ได้แต่หางาน
แถวใน กรุงเทพ หรือไม่ก็แถว พระปะแดง เนื่องจากคุ้นแถวนั้นอยู่) เลยตัดสินใจลงไปหางาน ในนั้นดู จังหวะพอดี
มีโรงงานแห่งหนึ่งเปิดรับสมัคร ช่างเทคนิค หลายอัตรา เท่าที่จำได้ 40-50 คนเลย เขาจะส่งไปญี่ปุ่นเพื่อฝึกอบรม
แล้วกลับมาติดตั้ง Line ผลิตกัน ผมเลยได้ไปสมัคร และสอบคัดเลือกกับเขาด้วย(มีทำข้อสอบคัดเลือกด้วย คนสมัคร
ค่อนข้างเยอะ) ปรากฏว่าผมสอบได้เป็นที่ 1 ดีใจมาก ได้งานทำแล้ว หลังจากนั้นก็ตรวจสุขภาพ รายงานตัว ได้เงินเดือน
ที่ใหม่ 4000 บาท โอ้โห กลับไปบอกแม่เลย ได้เยอะกว่าเดิมด้วย..แถมยังได้ไปญี่ปุ่น อีก สมัยนั้นใครได้ไปอบรมต่างประเทศ
นี่เรียกว่าเท่ห์มาก..ถึงขนาดต้องตัด สูท ไปเลยน่ะครับ
สรุปผมได้มาทำงานใน บริษัท แห่งหนึ่งในนวนคร (คิดว่าบอกไปต้องมีคนรู้จักบริษัทนี้แน่) ในตำแหน่งช่างเทคนิค และได้ไปฝึกอบรม
ที่ญี่ปุ่น เกือบๆ 1 ปีระหว่างฝึกอบรมก็คิดมาตลอดว่า วันหนึ่งเราจะต้องเป็น วิศวกร ให้ได้ อยากทำงานเหมือนพวกที่อยู่ บริษัทแรก..อิจฉา
เข้าใจมั้ย..วันๆ มันนั่งทำอะไรกันมั่ง..ไม่เข้าใจ.. หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่น ได้ไปสมัครสอบเรียนต่อ (ตอนนั้นประเทศไทยเป็นช่วงขาด
แคลนวิศวกร)คือพอทำงานมีเงินเก็บอยู่บ้างคิดว่าคงพอจะมีตังค์ เสียค่าเทอม ผลปรากฏว่าสอบติด ได้เรียนต่อสมใจอยาก..
***เดี๋ยวกลับมาเล่าต่อครับ***