"วาทตะวัน สุพรรณเภษัช" ได้เขียนจดหมายเปิดผนึก ถึงอัยการสูงสุด และตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานของป.ป.ช. ในกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์
พร้อมกับย้อนการทำคดีของป.ป.ช.หลายคดีเป็นเครื่องเปรียบเทียบ
โดยเฉพาะการไต่สวนหาข้อเท็จจริงที่พบหลายคดี ป.ป.ช.ปฏิเสธที่จะสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามคำขอของผู้ถูกร้อง จนนำมาสู่ข้อกังขาในการปฏิบัติหน้าที่
เริ่มจากคดีที่พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ หรือฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือ "โอ๋ สืบหก" ถูกป.ป.ช.ตั้งกรรมการสอบสวน โดยถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะไม่ระงับเหตุ 2 ชายฉกรรจ์ทำร้ายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่พยายามด่าทอพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ ในขณะนั้น เหตุเกิดวันที่ 21 ส.ค.2549
ผลการไต่สวนของป.ป.ช.มีความเห็นกระทำผิดจริงและให้ออกจากราชการ
แต่พล.ต.ต.ธนายุตม์ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ถึงความเห็นของป.ป.ช.เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ
ก่อนศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งว่า กระบวนการไต่สวนและมติของป.ป.ช.ไม่เป็นไปตามกฎหมายบัญญัตไว้ อีกทั้งไม่มีผลบังคับ
โดยป.ป.ช.ไม่ได้สอบสวนพยานเพิ่มเติมตามคำร้องของพล.ต.ต.ธนายุตม์ โดยเฉพาะวัตถุพยานเป็นวิดีโอเทปฉบับเต็มที่บันทึกเหตุการณ์ไว้ได้
ทำให้พล.ต.ต.ธนายุตม์ได้กลับเข้ามารับราชการอีกครั้ง
อีกคดีเป็นเหตุที่พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ผบก.ภ.จว.อุดรธานี ในขณะนั้น ถูกกล่าวหาในลักษณะคล้ายคลึงกัน
จากเหตุกลุ่มประชาชนคนรักอุดรปะทะกับผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล บริเวณสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี เหตุเกิดวันที่ 24 ก.ค.2551
ซึ่งป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียนและตั้งคณะกรรมการสอบสวนทันที
ก่อนมีความเห็นว่า พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ผิดวินัยร้ายแรง ฐานละทิ้งหน้าที่ราชการและกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ
ต่อมาพล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ได้ชี้แจงว่าในวันเกิดเหตุได้ถวายการอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงเสด็จฯ มา ซึ่งมีหลักฐานยืนยันชัดเจน
แต่สุดท้ายป.ป.ช.กลับเพิกเฉยและไม่สอบสวนพยานตามที่พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ร้อง ขอ พร้อมเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ไล่ออกหรือปลดออก
จากนั้นคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติให้พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์เข้ารับราชการต่อ เพราะพยานหลักฐานที่ป.ป.ช.ไม่ได้สอบสวนให้การเป็นประโยชน์
คดีต่อมาเป็นกรณีที่พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ถูกกล่าวหาเป็นผู้สั่งการให้ตำรวจใช้อาวุธปราบปรามผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณหน้ารัฐสภา จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เหตุเกิดวันที่ 7 ต.ค.2551
โดยป.ป.ช.ชี้มูลความผิดพล.ต.อ.พัชรวาทมีความผิดทางอาญาและความผิดวินัยร้าย แรง จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในขณะนั้น มีคำสั่งให้พล.ต.อ.พัชรวาท ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ
ต่อมาพล.ต.อ.พัชรวาทยื่นอุทธรณ์ต่อก.ตร. พร้อมกับพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.ในขณะนั้น โดย ก.ตร.มีมติรับรองการอุทธรณ์และให้ทั้ง 2 นายกลับเข้ารับราชการตามเดิม
จากนั้นได้ส่งเรื่องให้สำนักนายกฯ พิจารณา แต่นายอภิสิทธิ์กลับทำเรื่องสอบถามมายังก.ตร. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันกลับมาว่า นายอภิสิทธิ์ต้องปฏิบัติตามมติก.ตร. แต่นายอภิสิทธิ์ยังสอบถามกลับไปยังป.ป.ช.อีกครั้ง
ทำ ให้พล.ต.อ.พัชรวาทตัดสินใจยื่นฟ้องศาลปกครองกลาง เพื่อให้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งปลดและให้นายกฯ เร่งคืนตำแหน่ง เพราะมีผลกับประวัติการทำงาน
ถัดจากนั้นศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งกับพล.ต.อ.พัชรวาท ภายใน 60 วัน เหตุนายกฯ ต้องปฏิบัติตามมติก.ตร.
ซึ่งพล.ต.อ.พัชรวาททำหนังสือหลายฉบับให้ป.ป.ช.ดำเนินการกับนายกฯ ในขณะนั้น ปฏิบัติตามมติก.ตร. แต่กลับไม่มีการดำเนินการตาม
กระทั่งในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ได้ออกคำสั่งยกโทษปลดออกจากราชการให้พล.ต.อ.พัชรวาท
ทั้ง 3 คดีที่ป.ป.ช.ได้ไต่สวนสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างของการทำงานที่เร่งรีบ ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหาพยายามชี้แจงและให้สอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับการเหลียวแล
มิหนำซ้ำบทสรุปสุดท้ายของคดี นายตำรวจทั้งหมดได้กลับเข้ารับราชการตามเดิมและพ้นมลทินที่ถูกกล่าวหา
ไม่ต่างกับคดีรับจำนำข้าว ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์พยายามชี้แจงและให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม แต่กลับถูกตัดทอนออก
ผิดกับคดีประกันราคาข้าวที่ดำเนินการในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่สำนวนยังคงค้างเติ่งและรอการพิจารณาไต่สวนที่เท่าเทียม
นี่คือจดหมายเปิดผนึกจาก "วาทตะวัน สุพรรณเภษัช" ถึงอัยการสูงสุด
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE1qWTVORFF6T1E9PQ==§ionid=
คดีทั้ง 3 ปปช. ปฎิบัติเหมือนกันหมดตรงที่ว่ารีบเร่งสรุปคดีอย่างมีพิรุธ ทั้งที่ผู้ต้องหาต่างมีพยานหลักฐานมาโต้แย้งแต่ไม่ได้รับการพิจารณา ซึ่งขัดต่อกระบวนสอบสวนเป็นอย่างยิ่ง สรุปแล้วชี้มูลเลย
สุดท้ายผู้ได้รับการกล่าวหาได้พ้นมลทินทุกท่าน สงสัยกันใหมครับว่า ปปช.ปฎิบัติหน้าที่ถูกต้องเที่ยงธรรมหรือเปล่า
จดหมายถึง"อัยการสูงสุด" ร้องเรียนพฤติกรรมป.ป.ช. เทียบคดี3ตำรวจ-จำนำข้าว
พร้อมกับย้อนการทำคดีของป.ป.ช.หลายคดีเป็นเครื่องเปรียบเทียบ
โดยเฉพาะการไต่สวนหาข้อเท็จจริงที่พบหลายคดี ป.ป.ช.ปฏิเสธที่จะสอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามคำขอของผู้ถูกร้อง จนนำมาสู่ข้อกังขาในการปฏิบัติหน้าที่
เริ่มจากคดีที่พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ หรือฤทธิรงค์ เทพจันดา หรือ "โอ๋ สืบหก" ถูกป.ป.ช.ตั้งกรรมการสอบสวน โดยถูกกล่าวหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เพราะไม่ระงับเหตุ 2 ชายฉกรรจ์ทำร้ายผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่พยายามด่าทอพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ ในขณะนั้น เหตุเกิดวันที่ 21 ส.ค.2549
ผลการไต่สวนของป.ป.ช.มีความเห็นกระทำผิดจริงและให้ออกจากราชการ
แต่พล.ต.ต.ธนายุตม์ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองเชียงใหม่ ถึงความเห็นของป.ป.ช.เป็นการกระทำที่ไม่ชอบ
ก่อนศาลปกครองเชียงใหม่มีคำสั่งว่า กระบวนการไต่สวนและมติของป.ป.ช.ไม่เป็นไปตามกฎหมายบัญญัตไว้ อีกทั้งไม่มีผลบังคับ
โดยป.ป.ช.ไม่ได้สอบสวนพยานเพิ่มเติมตามคำร้องของพล.ต.ต.ธนายุตม์ โดยเฉพาะวัตถุพยานเป็นวิดีโอเทปฉบับเต็มที่บันทึกเหตุการณ์ไว้ได้
ทำให้พล.ต.ต.ธนายุตม์ได้กลับเข้ามารับราชการอีกครั้ง
อีกคดีเป็นเหตุที่พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ผบก.ภ.จว.อุดรธานี ในขณะนั้น ถูกกล่าวหาในลักษณะคล้ายคลึงกัน
จากเหตุกลุ่มประชาชนคนรักอุดรปะทะกับผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล บริเวณสวนสาธารณะหนองประจักษ์ศิลปาคม จ.อุดรธานี เหตุเกิดวันที่ 24 ก.ค.2551
ซึ่งป.ป.ช.ได้รับเรื่องร้องเรียนและตั้งคณะกรรมการสอบสวนทันที
ก่อนมีความเห็นว่า พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ผิดวินัยร้ายแรง ฐานละทิ้งหน้าที่ราชการและกระทำหรือละเว้นการกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ
ต่อมาพล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ได้ชี้แจงว่าในวันเกิดเหตุได้ถวายการอารักขาพระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงเสด็จฯ มา ซึ่งมีหลักฐานยืนยันชัดเจน
แต่สุดท้ายป.ป.ช.กลับเพิกเฉยและไม่สอบสวนพยานตามที่พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ร้อง ขอ พร้อมเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ไล่ออกหรือปลดออก
จากนั้นคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) มีมติให้พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์เข้ารับราชการต่อ เพราะพยานหลักฐานที่ป.ป.ช.ไม่ได้สอบสวนให้การเป็นประโยชน์
คดีต่อมาเป็นกรณีที่พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ถูกกล่าวหาเป็นผู้สั่งการให้ตำรวจใช้อาวุธปราบปรามผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณหน้ารัฐสภา จนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต เหตุเกิดวันที่ 7 ต.ค.2551
โดยป.ป.ช.ชี้มูลความผิดพล.ต.อ.พัชรวาทมีความผิดทางอาญาและความผิดวินัยร้าย แรง จากนั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในขณะนั้น มีคำสั่งให้พล.ต.อ.พัชรวาท ไปช่วยราชการที่สำนักนายกฯ
ต่อมาพล.ต.อ.พัชรวาทยื่นอุทธรณ์ต่อก.ตร. พร้อมกับพล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว ผบช.น.ในขณะนั้น โดย ก.ตร.มีมติรับรองการอุทธรณ์และให้ทั้ง 2 นายกลับเข้ารับราชการตามเดิม
จากนั้นได้ส่งเรื่องให้สำนักนายกฯ พิจารณา แต่นายอภิสิทธิ์กลับทำเรื่องสอบถามมายังก.ตร. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
โดยคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันกลับมาว่า นายอภิสิทธิ์ต้องปฏิบัติตามมติก.ตร. แต่นายอภิสิทธิ์ยังสอบถามกลับไปยังป.ป.ช.อีกครั้ง
ทำ ให้พล.ต.อ.พัชรวาทตัดสินใจยื่นฟ้องศาลปกครองกลาง เพื่อให้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งปลดและให้นายกฯ เร่งคืนตำแหน่ง เพราะมีผลกับประวัติการทำงาน
ถัดจากนั้นศาลปกครองกลางมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งกับพล.ต.อ.พัชรวาท ภายใน 60 วัน เหตุนายกฯ ต้องปฏิบัติตามมติก.ตร.
ซึ่งพล.ต.อ.พัชรวาททำหนังสือหลายฉบับให้ป.ป.ช.ดำเนินการกับนายกฯ ในขณะนั้น ปฏิบัติตามมติก.ตร. แต่กลับไม่มีการดำเนินการตาม
กระทั่งในยุคพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. ได้ออกคำสั่งยกโทษปลดออกจากราชการให้พล.ต.อ.พัชรวาท
ทั้ง 3 คดีที่ป.ป.ช.ได้ไต่สวนสะท้อนให้เห็นถึงช่องว่างของการทำงานที่เร่งรีบ ทั้งที่ผู้ถูกกล่าวหาพยายามชี้แจงและให้สอบสวนพยานหลักฐานเพิ่มเติม แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับการเหลียวแล
มิหนำซ้ำบทสรุปสุดท้ายของคดี นายตำรวจทั้งหมดได้กลับเข้ารับราชการตามเดิมและพ้นมลทินที่ถูกกล่าวหา
ไม่ต่างกับคดีรับจำนำข้าว ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์พยายามชี้แจงและให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม แต่กลับถูกตัดทอนออก
ผิดกับคดีประกันราคาข้าวที่ดำเนินการในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่สำนวนยังคงค้างเติ่งและรอการพิจารณาไต่สวนที่เท่าเทียม
นี่คือจดหมายเปิดผนึกจาก "วาทตะวัน สุพรรณเภษัช" ถึงอัยการสูงสุด
http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE1qWTVORFF6T1E9PQ==§ionid=
คดีทั้ง 3 ปปช. ปฎิบัติเหมือนกันหมดตรงที่ว่ารีบเร่งสรุปคดีอย่างมีพิรุธ ทั้งที่ผู้ต้องหาต่างมีพยานหลักฐานมาโต้แย้งแต่ไม่ได้รับการพิจารณา ซึ่งขัดต่อกระบวนสอบสวนเป็นอย่างยิ่ง สรุปแล้วชี้มูลเลย
สุดท้ายผู้ได้รับการกล่าวหาได้พ้นมลทินทุกท่าน สงสัยกันใหมครับว่า ปปช.ปฎิบัติหน้าที่ถูกต้องเที่ยงธรรมหรือเปล่า