ความสุข
ตลอดที่ผมจำความได้ จนมาถึงเมื่อผมมีอายุ 19 ปี ผมมักคิดเสมอว่า
อะไรวะอะไรที่เราจะทำแล้วมันทำให้เรามีความสุข
อะไรมันคือความสุข ความสุขของเรามันคืออะไร ?
ตอนนี้ผมได้หยุดคิดแล้วเพราะยิ่งคิดมันยิ่งทำให้เราห่างไกลจากความสุข
มันทำให้เรายิ่งทำให้เราห่างไกลจากความสุข
เพราะความจริงแล้วความสุขมันอยู่รอบตัวเราเสมอ
แต่เมื่อเรารู้ตัวว่าความสุขมันคือสิ่งไหน สิ่งนั้นมักจะหายไปจากเราเสมอ
เรื่องตลกร้ายของความสุขมีอยู่ว่า ความสุขมันมีชีวิต ความสุขแตกต่างกันไป
ความสุขมักจะแอบอยู่ข้างตัวเราเสมอไม่ให้เรารู้ตัว แต่ถ้าเมื่อไรที่เรารู้ตัวจริงจริงแล้วว่าเรามีความสุข
ต่อสิ่งๆหนึ่งสิ่งๆนั้นและความสุขจะรีบเดินหายไปจากเราในไม่ช้าเร็ว
ต่อให้เราจะพยายามแค่ไหนความสุขก็จะไป
ความสุขและเวลาสัมพันธ์กัน
เพราะส่วนมากการเข้ามาของความสุข
มันจะเข้ามาไวมากและมันจะไปไวมาก
แต่ถ้าเมื่อใดที่มันเข้ามาช้ามันก็จะไปช้าเช่นกัน
เรื่องราวของการปฏิเสธความทุกข์
ความทุกข์มีหลายรูปแบบ และผมก็รู้ว่าอะไรมันคือความทุกข์สำหรับผม
ผมอยากที่จะปฏิเสธความทุกข์ที่จะเข้ามาหาผมทุกอย่าง
แต่ผมปฏิเสธไม่ได้ โดยยิ่ง ความทุกข์โดยกำเนิด
ซึ่งมันจะติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นฐานะ หน้าตา
หรือ อะไรก็ช่างที่ติดตัวเรามา แต่เราค่อยๆที่จะอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้
เราต้องรู้จักและเข้าใจมันความทุกข์ประเภทนี้จะกลายเป็นความสุขอย่างนึง
ความทุกข์มักจะเลือกเวลาที่เหมาะสมกับการจู่โจมผมเสมอ
และมันจะไม่เข้ามาเพียงหนึ่งมันจะมากันเป็นทีม
"เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีความทุกข์ และอย่าวิ่งตามหาความสุขที่มันไกลเกินไปนัก"
ความท้อแท้
สำหรับผมแล้วความท้อแท้มันบังเกิดกับทุกสิ่งที่เราพึงปฏิบัติ
มันเป็นเหมือน กำแพงสู่ความสำเร็จของอะไรซักอย่าง
โดยที่ กว่าที่เราจะผ่านไปได้มันอุปสรรคที่ใช้ชื่อว่าความท้อแท้
จะมาหาเราไม่ว่าเป้าหมายเราจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
ปัจจุบันในความคิดผม
ความท้อแท้มีวิวัฒนาการตามการพัฒนาของมนุษย์
ยิ่งทุกสิ่งไปได้เร็ว ความท้อแท้ก็ยิ่งพบมาก
และทวีความรุนแรงมากขึ้น
ผมคิดว่าต้นเหตุคือ เทคโนโลยีที่พัฒนาไปไวมาก
การเน้นที่การศึกษาเพื่อเชิดชูตนเองและคนรอบตัว
การยึดถือวัตถุนิยม ปัจจัยเหล่านี้ทำให้จิตใจมนุษย์ไม่ได้พัฒนา
เพราะทุกสิ่งเอื้อเฟื้อให้สุขสบาย
ทำให้จิตใจมนุษย์ย่ำอยู่ที่เดิมหรือ ถดถอยลงมา
เมื่อพบเจอความท้อแท้ระยะเบื้องต้นก็คิดว่าตนนั้นไปไม่ไหวเสียแล้ว
"ตัวเราเราย่อมเลือกได้ว่าจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือหมาขี้แพ้"
การกระทำโดยที่ไม่ได้คิด
การที่ผมทำสิ่งใดโดยที่ไม่ได้คิดยอมรับนะครับ
ว่ามันให้ผลเสียมากกว่าส่วนดี แต่มันก็มีส่วนดี
ถึงว่ามันจะน้อยก็เถอะ
ผมคิดว่าการกระทำสิ่งใดโดยที่คิดเสมอว่า
ทำแบบนี้สิถึงจะดี ทำแบบนี้ทุกคนจะรู้สึกโอเค
ถ้าทำมากเกินไปผมว่ามันคือความเสแสร้ง
ของสังคมดัดจริตยุคนี้นะ เพราะว่าบางครั้ง
การที่กระทำอะไรโดยที่ไม่ได้คิดไว้
เป็นการแสดงออกที่เป็นตัวเราจริง และคนที่รับมันได้
หรือว่าจะรับมันไม่ได้ แต่ยังอยู่ข้างเราเสมอ
ผมเรียกคนเหล่านี้ว่ามิตรแท้นะครับ
ทำแบบนี้สิดี ทำแบบนี้สิโอเค ยอมรับว่ามันให้ผลดี
แต่ผลข้างเคียงของมันเหมือนการใส่หน้ากากเข้าหากัน
ซึ่งบางทีมันก็จะหาความจริงใจจากการทำแบบนี้ไม่ได้เลย
ผมเชื่อว่าซักวันคนเราต้องแสดงสันดานออกมา
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง วันไหนที่คุณเผลอถอดหน้ากากออกมา
วันนั้นคุณอาจจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่ามิตรแท้อยู่ข้างกายเลย
"มิตรแท้สร้างจากสันดานที่เรามี"
ความคิดในปัจจุบันซึ่งความคิดของผมยังสามารถเติบโตได้ตามการเวลานะครับ
เรื่องสั้นจากความคิด ณ ปัจจุบัน ที่มีอายุ 20 ปีบริบรูณ์
ตลอดที่ผมจำความได้ จนมาถึงเมื่อผมมีอายุ 19 ปี ผมมักคิดเสมอว่า
อะไรวะอะไรที่เราจะทำแล้วมันทำให้เรามีความสุข
อะไรมันคือความสุข ความสุขของเรามันคืออะไร ?
ตอนนี้ผมได้หยุดคิดแล้วเพราะยิ่งคิดมันยิ่งทำให้เราห่างไกลจากความสุข
มันทำให้เรายิ่งทำให้เราห่างไกลจากความสุข
เพราะความจริงแล้วความสุขมันอยู่รอบตัวเราเสมอ
แต่เมื่อเรารู้ตัวว่าความสุขมันคือสิ่งไหน สิ่งนั้นมักจะหายไปจากเราเสมอ
เรื่องตลกร้ายของความสุขมีอยู่ว่า ความสุขมันมีชีวิต ความสุขแตกต่างกันไป
ความสุขมักจะแอบอยู่ข้างตัวเราเสมอไม่ให้เรารู้ตัว แต่ถ้าเมื่อไรที่เรารู้ตัวจริงจริงแล้วว่าเรามีความสุข
ต่อสิ่งๆหนึ่งสิ่งๆนั้นและความสุขจะรีบเดินหายไปจากเราในไม่ช้าเร็ว
ต่อให้เราจะพยายามแค่ไหนความสุขก็จะไป
ความสุขและเวลาสัมพันธ์กัน
เพราะส่วนมากการเข้ามาของความสุข
มันจะเข้ามาไวมากและมันจะไปไวมาก
แต่ถ้าเมื่อใดที่มันเข้ามาช้ามันก็จะไปช้าเช่นกัน
เรื่องราวของการปฏิเสธความทุกข์
ความทุกข์มีหลายรูปแบบ และผมก็รู้ว่าอะไรมันคือความทุกข์สำหรับผม
ผมอยากที่จะปฏิเสธความทุกข์ที่จะเข้ามาหาผมทุกอย่าง
แต่ผมปฏิเสธไม่ได้ โดยยิ่ง ความทุกข์โดยกำเนิด
ซึ่งมันจะติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด ไม่ว่าจะเป็นฐานะ หน้าตา
หรือ อะไรก็ช่างที่ติดตัวเรามา แต่เราค่อยๆที่จะอยู่กับมันอย่างมีความสุขได้
เราต้องรู้จักและเข้าใจมันความทุกข์ประเภทนี้จะกลายเป็นความสุขอย่างนึง
ความทุกข์มักจะเลือกเวลาที่เหมาะสมกับการจู่โจมผมเสมอ
และมันจะไม่เข้ามาเพียงหนึ่งมันจะมากันเป็นทีม
"เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างมีความทุกข์ และอย่าวิ่งตามหาความสุขที่มันไกลเกินไปนัก"
สำหรับผมแล้วความท้อแท้มันบังเกิดกับทุกสิ่งที่เราพึงปฏิบัติ
มันเป็นเหมือน กำแพงสู่ความสำเร็จของอะไรซักอย่าง
โดยที่ กว่าที่เราจะผ่านไปได้มันอุปสรรคที่ใช้ชื่อว่าความท้อแท้
จะมาหาเราไม่ว่าเป้าหมายเราจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
ปัจจุบันในความคิดผม
ความท้อแท้มีวิวัฒนาการตามการพัฒนาของมนุษย์
ยิ่งทุกสิ่งไปได้เร็ว ความท้อแท้ก็ยิ่งพบมาก
และทวีความรุนแรงมากขึ้น
ผมคิดว่าต้นเหตุคือ เทคโนโลยีที่พัฒนาไปไวมาก
การเน้นที่การศึกษาเพื่อเชิดชูตนเองและคนรอบตัว
การยึดถือวัตถุนิยม ปัจจัยเหล่านี้ทำให้จิตใจมนุษย์ไม่ได้พัฒนา
เพราะทุกสิ่งเอื้อเฟื้อให้สุขสบาย
ทำให้จิตใจมนุษย์ย่ำอยู่ที่เดิมหรือ ถดถอยลงมา
เมื่อพบเจอความท้อแท้ระยะเบื้องต้นก็คิดว่าตนนั้นไปไม่ไหวเสียแล้ว
"ตัวเราเราย่อมเลือกได้ว่าจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จหรือหมาขี้แพ้"
การที่ผมทำสิ่งใดโดยที่ไม่ได้คิดยอมรับนะครับ
ว่ามันให้ผลเสียมากกว่าส่วนดี แต่มันก็มีส่วนดี
ถึงว่ามันจะน้อยก็เถอะ
ผมคิดว่าการกระทำสิ่งใดโดยที่คิดเสมอว่า
ทำแบบนี้สิถึงจะดี ทำแบบนี้ทุกคนจะรู้สึกโอเค
ถ้าทำมากเกินไปผมว่ามันคือความเสแสร้ง
ของสังคมดัดจริตยุคนี้นะ เพราะว่าบางครั้ง
การที่กระทำอะไรโดยที่ไม่ได้คิดไว้
เป็นการแสดงออกที่เป็นตัวเราจริง และคนที่รับมันได้
หรือว่าจะรับมันไม่ได้ แต่ยังอยู่ข้างเราเสมอ
ผมเรียกคนเหล่านี้ว่ามิตรแท้นะครับ
ทำแบบนี้สิดี ทำแบบนี้สิโอเค ยอมรับว่ามันให้ผลดี
แต่ผลข้างเคียงของมันเหมือนการใส่หน้ากากเข้าหากัน
ซึ่งบางทีมันก็จะหาความจริงใจจากการทำแบบนี้ไม่ได้เลย
ผมเชื่อว่าซักวันคนเราต้องแสดงสันดานออกมา
ไม่วันใดก็วันหนึ่ง วันไหนที่คุณเผลอถอดหน้ากากออกมา
วันนั้นคุณอาจจะไม่มีสิ่งที่เรียกว่ามิตรแท้อยู่ข้างกายเลย
"มิตรแท้สร้างจากสันดานที่เรามี"
ความคิดในปัจจุบันซึ่งความคิดของผมยังสามารถเติบโตได้ตามการเวลานะครับ