ห้องศาสนา Pantip กลายเป็นสถานที่เจริญอกุศลแล้วหรืออย่างไรครับ

กระทู้สนทนา


    ตา แลต่อหน้า         งมงาย
บอด สนิทในสิ่งราย      รอบข้าง
คลำ งวงจับหางทาย     เป็นอื่น
ช้าง ใหญ่พึงมองกว้าง  จักรู้ เห็นจริง ฯ


ผมเคยคิดว่า นิทานเรื่องตาบอดคลำช้าง เป็นนิทานอีสปหรือนิทานพื้นบ้าน ที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสู่ลูกหลานฟัง มารู้ว่า เป็นนิทานที่พระพุทธเจ้าทรงเล่าให้สาวกของพระองค์ฟัง ก็ต่อเมื่อได้บวชเป็นพระภิกษุแล้ว

ข้อความมีปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 ในส่วนที่ว่าด้วยอุทาน ชื่อนานาติตถิยสูตรที่ 1 ขอแปลเป็นไทยด้วยสำนวนพอเข้าใจได้ดังนี้ครับ

สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวันวิหาร เมืองสาวัตถี พวกเดียรถีย์ (นักบวชนอกศาสนาพุทธ) ต่างลัทธิ สมณะพราหมณ์ และปริพาชก ที่อาศัยอยู่ในเมืองสาวัตถี

มีทิฐิ (ทฤษฎี) แตกต่างกัน มีความชอบใจต่างกัน มีความพอใจต่างกัน มีทิฐินิสัยต่างกัน

พวหนึ่งว่า โลกนี้เที่ยง
พวกหนึ่งว่า โลกไม่เที่ยง
พวกหนึ่งว่า โลกนี้มีที่สุด
พวกหนึ่งว่า โลกนี้ไม่มีที่สุด

พวกหนึ่งว่า ชีวะ (วิญญาณ) กับสรีระร่างกายเป็นอย่างเดียวกัน
พวกหนึ่งว่า ชีวะกับสรีระต่างกัน

พวกหนึ่งก็ว่า สัตว์หลังตายยังคงอยู่
พวกหนึ่งก็ว่า สัตว์หลังตายไม่คงอยู่
พวกหนึ่งก็ว่า สัตว์หลังตายจะคงอยู่ก็มิใช่ ไม่คงอยู่ก็มิใช่

แต่ละพวกก็ยืนยันว่าทฤษฎีของตนเท่านั้นถูกต้อง ของคนอื่นผิดหมด

ดูๆ ก็ไม่ต่างกับสังคมไทยสมัยนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่เถียงกันในปรัชญาลึกซึ้ง อย่างสมัยพุทธกาล หากเถียงสองประเด็นว่า "ท้ากษิณออกไป" กับ "ท้ากทักษิณสู้ๆ" ก็ก่อให้เกิดความบาดหมางกันของคนในชาติอย่างไม่เคยมีมาก่อน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายอัญเดียรถีย์และปริพาชกเหล่านั้น เป็นคนมืดบอดไม่มีตา จึงไม่รู้ว่าอะไรคือประโยชน์ อะไรคือมิใช่ประโยชน์ อะไรคือความชอบธรรม อะไรคือความไม่ชอบธรรม เมื่อไม่รู้ก็ทะเลาะวิวาทกันทิ่มแทงกันด้วยหอกคือปาก ยึดมั่นว่า (ความเห็นของกู) เท่านั้นถูกอย่างอื่นผิดหมด

ภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้วในอดีตพระราชาพระองค์หนึ่งเรียกราชบุรุษคนหนึ่งให้หาช้างมาให้คนตาบอดแต่กำเนิดเก้าคนดู คนตาบอดทั้งเก้านั้น ต่างก็ใช้มือลูบคลำส่วนต่างๆ ของช้าง แล้วก็กำหนดว่า ช้างเป็นเช่นนี้ๆ

เมื่อถูกพระราชาตรัสถามว่า ช้างเหมือนอะไร

(1) คนที่คลำศีรษะช้างกราบทูลว่า "เหมือนหม้อน้ำ"

(2) คนที่คลำหูก็กราบทูลว่า "เหมือนกระด้ง"

(3) คนคลำงาก็ว่า "เหมือนเสาอินทขีล (หลักเมือง)"

(4) คนที่คลำงวงก็ว่า "เหมือนงอนไถ"

(5) คนที่คลำร่างกายก็ว่า "เหมือนฉางข้าว"

(6) คนที่คลำเท้าก็ว่า "เหมือนเสาเรือน"

(7) คนคลำหลังก็ว่า "เหมือนครกตำข้าว"

(8) คนคลำหางก็ว่า "เหมือนสาก"

(9) คนที่คลำปลายหางก็ว่า "เหมือนไม้กวาด"

แต่ละคนก็ว่า ตนเท่านั้นถูกต้อง คนอื่นผิดหมด "ช้างมันเป็นเช่นนี้โว้ย ไม่ใช่อย่างที่เอ็งว่า" ว่าแล้วก็ลงไม้ลงมือตลุมบอนกันอุตลุด

พระราชาทรงพระสรวลก้ากๆ ด้วยความสำราญพระราชหฤทัยเต็มที่

ในทำนองเดียวกันภิกษุทั้งหลาย พวกอัญเดียรถีย์และปริพาชกที่มืดบอด ไร้จักษุไม่รู้ว่าอะไรคือประโยชน์ อะไรมิใช่ประโยชน์ อะไรคือความชอบธรรม อะไรมิใช่ความชอบธรรม จึงทะเลาะวิวาทกันทุ่มเถียงกัน ทิ่มแทงกันด้วยหอกคือปาก "นี้เท่านั้นโว้ยถูกต้อง อย่างอื่นผิดหมด"

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเล่าอดีตนิทานนี้จบแล้ว ทรงสรุปด้วยพุทธวจนะเป็นคาถาประพันธ์ว่า

อิเมสุ กิร สชฺชนฺติ เอเก สมณพฺราหฺมณา
วิคฺคยฺห นํ วิวทนฺติ ชนา เอกงฺคทสฺสิโน

สมณะบางพวกดังกล่าวนี้
ต่างยึดมั่นทฤษฎีที่ตนเห็น
มองแง่มุมไม่จบครบประเด็น
จึงทุ่มเถียงคอเป็นเอ็นไม่ฟังใคร

สรุปว่ากิเลสที่มีบทบาททำให้คนทะเลาะเบาะแว้งไม่รู้จบ มีอยู่ 3 ตัวใหญ่ๆ คือ

1. ตัณหา ความอยาก ความต้องการ ตนเองต้องการอย่างนี้ จะเอาอย่างนี้ ไม่คำนึงว่าที่ตนต้องการนั้นมันขัดกับศีลธรรมจริยธรรมหรือไม่ ขัดแย้งกับความต้องการของคนส่วนใหญ่หรือไม่ ก็กูจะเอาอย่างนี้นี่มีอะไรอ๊ะเปล่า

2. มานะ ความถือตัว ถือตัวว่ากูเป็นใคร ลูกเต้าเหล่าใคร ตำแหน่งหน้าที่การงานยิ่งใหญ่แค่ไหน สำคัญแค่ไหน มันเป็นใคร (Who is he? ว่างั้นเถอะ) จึงมาขัดแย้งกับกู

3. ทิฐิ ความเห็น ความเห็นของตนเป็นสำคัญคิดว่าในประเทศนี้ไม่มีความเห็นของใครถูกต้องเท่ากับความเห็นของกู

เจ้าตัณหามานะทิฐินี้ ทางพระท่านเรียกว่า ตัมมยา ผู้ที่ปฏิบัติจนสามารถกำราบตัณหามานะทิฐิได้ เรียกว่า อตัมมยา ภาวะที่ปราศจากตัณหามานะและทิฐิ เรียกว่า อตัมมยตา

ปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ ย่อมต้องมีตัณหามานะทิฐิเหมือนกัน ต่างเพียงว่าใครมีมากมีน้อยเท่านั้น จะให้ไม่มีความคิดเห็นต่างกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ ขอแต่เพียงไม่ยึดมั่นในกิเลสของตัวเกินไป ถึงขั้นตลุมบอนกันดังคนตาบอดคลำช้างก็นับว่าดีถมเถแล้ว

พูดอีกนัยหนึ่งกิเลสทั้งสามนี้รวมอยู่ใน "ตัวกู" "ตัวสู" ดังที่หลวงพ่อพุทธทาสท่านกล่าวเตือนใจในบทกวีว่า

"อันความจริง "ตัวกู" มิได้มี
แต่พอเผลอมันเป็นผีโผล่มาได้
พอหายเผลอ "ตัวกู" ก็หายไป
หมด "ตัวกู" เสียได้เป็นเรื่องดี
สหายเอ๋ยจงถอนซึ่ง "ตัวกู"
และถอนทั้ง "ตัวสู" อย่างเต็มที่
มีกันแต่ปัญญาและปรานี
หน้าที่ใครทำให้ดีเท่านี้เอย"

ครับ เท่านี้จริงๆ

ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน หน้า 6
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
วันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10235
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่