.......ชีวิตมันก็เป็นเช่นนี้เอง......

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่ออยากจะแจมและร่วมรำพึงรำพันกับผู้อาวุโสในห้องนี้สองท่านคือคุณอุบลและลุงจุกที่เคยตั้งกระทู้เกี่ยวกับชีวิต (ขออภัยที่เอ่ยชื่อ)  แล้วฝากกระทบชิ่งผ่านไปถึงทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่าน   โดยเฉพาะคนที่มีมุมมองต่อคนชนบทภาคอีสานว่า  ขี้เกียจบ้าง  เห็นแก่เงินบ้าง  ไร้การศึกษาบ้าง  ซึ่งเหตุเหล่านี้ถูกโยงเข้าไปถึงการซื้อสิทธิ์ขายเสียงมาตลอด


ใครไม่เคยได้สัมผัสความยากลำบากและการต่อสู้ชีวิตด้วยตัวเองจริง   คงยากที่จะเข้าถึง “อารมณ์” ตรงนั้นได้  ผมขอโอกาสยกเอาเรื่องราวตัวเองเป็นตัวเดินเรื่องก็แล้วกัน(ที่ไม่ยกอ้างคนอื่น  เพราะกลัวว่าจะรู้ไม่รู้จริง)   ผมเกิดในครอบครัวชนบทที่ตอนนั้นไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง    ผมโชคดีกว่า “วิชัย” เพื่อนร่วมรุ่นของผม   ตรงที่อย่างน้อยๆ ครอบครัวผมมีที่นาไว้ปลูกข้าวทำข้าวให้กินแบบปีต่อปี     พ่อแม่ของวิชัยอาศัยรับจ้างทำนาวันละสิบบาท   พอหมดหน้านาก็จะหิ้วถุงปุ๋ยเข้าในเมืองเพื่อหาเก็บเศษโลหะและถึงพลาสติกมาล้างขาย   วิชัยเรียนหนังสือเก่ง....เขาสอบได้คะแนนสูงไม่อันหนึ่งก็สองตลอด  ครูชมว่าอนาคตไกล  แต่พอจบประถมสี่เขาก็ต้องออกจากโรงเรียนไปช่วยพ่อแม่     วิชัยร้องไห้เพราะอยากเรียนต่อ



คล้อยหลังวิชัยไม่นานผมก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันกับวิชัย.....พ่อผมให้ผมออกจากโรงเรียนด้วยเหตุผลหลักคือความยากจนและไม่มีใครเลี้ยงควาย   วันไหนว่าง...วิชัยจะมาช่วยผมเลี้ยงควาย   ผมตอบแทนเขาด้วย “ข้าวมือเที่ยง” ....   ก่อนต้อนควายออกจากคอกผมจะห่อข้าวเหนียวใส่กระติ๊บข้าวห่อใหญ่เผื่อวิชัยและเผื่อเขาเอากลับบ้านให้ครอบตอนเย็นด้วย   ผมรู้ว่าครอบครัวของวิชัยยากจนแทบจะไม่มีข้าวกินในบางวัน.....เท่าที่ผมสังเกตุพ่อแม่เขาทำทุกอย่างยกเว้นทุจริตเพียงเพื่อให้มีข้าวกินไปวันๆ....ถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าว  วิชัยพ่อแม่และน้องของเขาจะไปเที่ยวเก็บเม็ดข้าวเปลือกที่หล่นจากรวงจากทุ่งนาที่ชาวนาไม่ใคร่จะใส่ใจ    ผมเองก็เคยแกล้งทำข้าวเปลือกหล่นไว้เป็นหย่อมๆ แล้วชี้บอกให้วิชัยไปเก็บทีหลัง(เคยเอาข้าวเปลือกให้เขาตรงๆ ไม่กี่ทะนาน  แต่ผมโดนพ่อแม่ดุ)   มีเพื่อนบ้านมาจ้างให้ผมและวิชัยเลี้ยงควายให้   โดยได้ค่าจ้างอาทิตย์ละสิบบาทมาแบ่งกันคนละห้า   วิชัยเอาเงินส่วนนั้นไปให้พ่อแม่หมด



ต่อมา....ผมตัดสินใจหนีออกจากบ้าน(เพราะน้อยใจที่พ่อไม่ยอมส่งเรียนต่อ)   ผมไปหลบนอนที่สวนสาธารณะทุ่งศรีเมือง(อุดรฯ)  ตระเวณหาเศษอาหารกินที่ตลาดสด(ตลาดบ้านห้วย)ไม่ไกลจากสวน   ที่สุดแม่ก็ตามตัวผมเจอ......แต่ผมไม่ยอมกลับบ้าน  แม่เลยให้ไปอยู่วัดและสุดท้ายก็ได้บวชเรียน......เจอวิชัยอีกครั้ง   คราวนี้เราเป็นเพื่อนต่างอยู่คนละสถานะ   ผมแนะว่าเขาควรจะบวชเรียนเหมือน    พ่อแม่ของวิชัยยินยอมที่จะให้วิชัยบวชเรียน...แต่กว่าจะได้บวชก็ใช้เวลานานพอสมควรเพราะค่าใช้จ่ายด้านอัฐบริขาร  แม่ผมออกเงินค่าผ้าสบงใหม่ให้วิชัย   หลวงตาเจ้าอาวาสได้บาตรเก่าๆ นำมาเผาเคาะสนิมแล้วลงเทียนให้วิชัยเพื่อเป็นหนึ่งในอัฐบริขาร    ส่วนผ้าจีวร...ช่างตัดผ้าประจำหมู่บ้านก็นำจีวรเก่ามาเย็บใหม่ให้เล็กลง(เพราะวิชัยตัวเล็ก)  สุดท้ายผมกับสามเณรวิชัยก็ได้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง    



เราร่วมฝึกสวดมนต์ท่องตำนานใต้เทียมเล่มเดียวกัน     เราฝันร่วมกันว่าวันหนึ่งจะต้องเป็นสามณร “มหาเปรียญ” ให้กับหมู่บ้านครั้งแรกให้ได้  และถ้าจบเปรียญธรรมสามประโยคก็เทียบเท่ากับจบมัธยมต้น     เมื่อจบนักธรรมชั้นตรีแล้วเราก็เรียนต่อโทและบาลีไวยากรณ์ซึ่งพวกเราต้องเดินเท้าไปเรียนที่สำนักบาลีสามกิโลกว่า......



แต่แล้ว.....ผมกับวิชัยต้องมาพรากจากกันอีก     ด้วยเหตุว่าสามเณรวิชัยและพ่อแม่ของวิชัยถูกชาวบ้านส่วนหนึ่งตำหนิว่า ไม่มีปัญญาเลี้ยงลูกจึงให้ลูกบวช แล้วเอาข้าวที่ชาวบ้านถวายมาให้พ่อแม่อีกทอดหนึ่ง!!    ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง   ทุกๆ วันผมกับสามเณรวิชัยจะตากข้าวเหนียวที่เหลือจากก้นบาตรให้แห้ง(แทบทุกวัดในอีสานจะทำอย่างนี้)  แล้วเอาข้าวส่วนหนึ่งไปให้พ่อแม่ของสามเณรวิชัย   บางทีวันพระญาติโยมเขาถวายของดีๆ   สามเณรวิชัยก็จะเก็บเอาไว้แล้วให้น้องชายเอากลับไปบ้านให้พ่อแม่เขา    สามเณรวิชัยและพ่อแม่เขาถูกตำหนิบ่อยเข้าๆ .....สุดท้ายพ่อของเขาก็ให้เขาลาสิกขาไป   เขาออกไปช่วยพ่อรับจ้างเลื่อยไม้ในป่า   บางวันก็นอนค้างคืนหลายวัน    ผมแทบไม่มีโอกาสได้เจอเขาเลย.....อนึ่ง  ก่อนลาสิกขา  ผมและสามเณรวิชัยได้เข้าไปสอบบาลี....ผลปรากฏว่าผมและเขาสอบได้ประโยค๑-๒   ซึ่งถ้าเรียนอีกเพียงปีเดียวก็จะได้ประโยคสามแล้วก็ได้เป็นมหาเปรียญตามที่เคยฝันร่วมกันมา  

      

ต่อมาไม่นาน....เมื่อมีโอกาสได้ศึกษาพระไตรปิฏกมากขึ้น    ไปอ่านเจอเรื่องราวในสมัยพุทธกาลที่มีพระภิกษุรูปหนึ่งเอาข้าวก้นบาตรมาเลี้ยงพ่อแม่ที่แก่เฒ่า......เพื่อนๆ ภิกษุพากันตำหนิพระรูปนั้นแล้วไปฟ้องพระพุทธเจ้า    เมื่อพระพุทธเจ้าเรียกพระรูปนั้นมาสอบสวนว่าเอาข้าวที่ญาติโยมถวายมาไปเลี้ยงพ่อแม่จริงหรือ?     พระรูปนั้นยอมรับ....และตรงนั้นพระพุทธเจ้าก็ประณมมือกล่าวอนุโมทนา สาธุ สามครั้งพร้อมกับยกย่องพระรูปนั้นว่าเป็นบุคคลผู้ประเสริฐยิ่งที่แสดงกตัญญูกตเวทิตาต่อพ่อแม่.....ตอนนั้นผมอ่านได้ถึงตรงนี้น้ำตาก็ไหล    ใจนึกถึงสามเณรวิชัยเพื่อนผม......เขาถูกชาวบ้านตำหนิในเรื่องที่พระพุทธเจ้าได้ทรงเคยประณมกล่าวอนุโมทนาสาธุการในการกระทำนั้น........ผมเสียดาย...ถ้าได้มาอ่านพระสุตันตปิฏกตรงนี้ก่อนหน้านี้คงจะดี  และอาจจะพอจะได้อธิบายให้ชาวบ้านได้เข้าใจบ้าง   สามเณรวิชัยอาจจะไม่ต้องมาสิกขาลาเพศก็ได้....แต่ก็อย่างว่า....ชีวิตในบางครั้งมันก็ บั-ด ซ-บ สิ้นดี!!



ผมและวิชัยต้องห่างเหินกัน......ผมยังเป็นสามเณรลงมาเรียนต่อที่กทมเพื่อล่าฝัน   การเรียนไม่มีปัญหา  ขาดแต่ปัจจัยที่จะใช้จ่าย(ชีวิตสามเณรในกรุงเทพฯ แทบจะไม่ได้รับนิมนต์ไปสวดไปฉันที่ไหน)  สุดท้ายก็บากหน้ากลับอีสานเรียนจนจบในระดับที่ฝันไว้...เมื่อสิกขาลาเพศออกมา   ชีพจรลงเท้ากลับไปอยู่ป่าอยู่เขาที่เชียงใหม่เป็นอาสาสมัครครูดอย...สอนชาวกะเหรี่ยงและมูเซอ       ด้านข่าวคราวของวิชัยก็ได้ยินมาเป็นระยะๆ   พ่อของเขาเสียชีวิตอุบัติเหตุขณะปั่นจักรยานกลับบ้านตอนค่ำแล้วโดนรถชน    แม่ของเขาพาเขาย้ายบ้านไปอยู่ที่มหาสารคามบ้านตายายของเขา......วิชัยลงกรุงเทพฯ เพื่อขายแรงงานเหมือนเด็กหนุ่มอีสานที่ด้อยโอกาสด้านการศึกษาทั่วๆ ไป  เขาพยายามเรียนด้วยตัวเองสอบเทียบจนจบมัธยมต้น......เขาไปทำงานก่อสร้างแถวๆ สมุทราปราการแล้วเกิดอุบัติเหตุพลัดตกนั่งร้านแล้วเสียชีวิต......เขาหมดเวรหมดกรรมแล้ว......ส่วนเราๆ ท่านๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่หมั่นสร้างกุศลเอาไว้ดีกว่า......ชีวิตจะได้ไม่ลำบากเหมือนวิชัยเพื่อนผม



http://news.thaipbs.or.th/content

"กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสิ่ง"  พุทธพจน์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่