ทรายสีเพลิง :: 2014
ละครเริ่มเรื่องที่งานประมูลในแอลเอประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วก็เปิดตัวนางเอกของเรื่องคือทราย-แซนดี้ พี ดาลตัน แสดงโดยคุณชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต
ส่วนตัวพอใจตั้งแต่เริ่มวางตัวแล้วว่าสำหรับบทนี้ ในช่วงสองสามปีนี้ก็ไม่มีใครเหมาะมากไปกว่าชมพู่ เธอสวย
มีความสามารถและอยู่ในวงการมานานพอที่จะแบกรับได้ทั้งบทและความกดดัน...แล้วชมพู่ก็ทำหน้าที่ของเธอได้ดีมาก...เป็นทรายที่สวย สดใส แพรวพราว
เป็นทรายที่มีความคั่งแค้นดิ้นรนกระหายในชัยชนะแบบไม่รู้จบ เป็นทรายที่ดื้อดึง เชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง กล้าที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมพาตัวเองไปสู่จุดหมายที่ต้องการ ละครเปิดเผยตัวตนแท้จริงของทรายให้ผู้ชมได้ดูแบบหมดเปลือกซึ่งจะต่างจากในหนังสือที่จะมีคนรู้ทันทรายก็เพียงแค่พี่บีกับคนอ่านเท่านั้น
ฌาน เป็นตัวละครที่หากมองเผิน ๆ จะเหมือนตัวรองแต่ความจริงแล้วมี‘เนื้อ’ให้เล่นเยอะมาก
ตอนเขียนสงสารฌานที่สุด ปีนี้จึงดีใจมากที่ ละครและคุณชาคริตปลุกให้ฌานเป็นฌานอย่างที่ควรเป็น
เป็นผู้ชายที่มีเปลือกนอกหรูหราพร้อมพรั่งแต่แท้จริงแล้วต้องดิ้นรนอย่างหนักทั้งกายและใจ
...ฌานในละครมีเสน่ห์มากพอที่ลูกศรจะหลงรัก
อ้างว้างมากพอที่เด็กผู้หญิงที่มีแต่ความปรารถนาดีกับใคร ๆ จะอยากช่วยเติมชีวิตเขาให้เต็ม
สุดท้ายเมื่อความหวังทุกอย่างพังทลายลง คุณชาคริตก็แตกรานแล้วพังลงไปกองกับพื้นได้ต่อหน้าคนดูเหมือนกัน
บุรี พี่ป๋อ ท่ามกลางความเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงพี่บีหรือบุรี คือจุด‘เป็น’และจุด‘ตาย’ของทราย
พี่ป๋อเป็นพี่บีที่เข้มข้น ตึงตัง และดูเป็นหัวโจกมากกว่าในหนังสือ บทบุรีอาจจมไปในรสเข้มข้นจัดจ้านของละครก็ได้ถ้าผู้แสดงไม่ใช่พี่ป๋อที่มีพลังทางการแสดงมากมายอย่างนี้
ลูกศร น้องมิว แปลกใจที่ทำไมมีหลายคนบอกว่าลูกศรต้องโง่ และไม่สดใสเท่านี้...ความจริงลูกศรในหนังสือก็เหมือนกับที่น้องมิวแสดงนั่นแหละ สดใส มองโลกในแง่ดี ไว้ใจโลก ไว้ใจคน แต่ลูกศรก็ไม่ใช่เด็กโง่เลย ไม่มีเด็กโง่ที่ไหนอ่าน ปรัชญาชีวิต อ่านเล่าจื๊อ จนเอามาสอนพี่ฌานได้เป็นฉาก ๆ หรอกค่ะ เพียงแค่ลูกศรไม่ชอบเรียนหนังสือตามที่เคยบอกว่า “แค่เข็นตัวเองให้เรียนจนจบตรีได้นี่ก็เก่งแล้ว” ...เหมือนกับเด็กช่างฝันหลาย ๆ คนที่ชอบอ่านหนังสือที่ตัวเองเลือกมากกว่าอ่านหนังสือที่ครูเลือกให้อ่าน และชอบอยู่บ้านทำกับข้าว เย็บผ้า มากกว่าออกไปคบหากับผู้คนเท่านั้น...และเด็กช่างฝันเหล่านั้นไม่เคยใช่เด็กโง่
พัชระ อาเล็ก ไม่ใช่แค่หนุ่มน้อยโลเล รักง่ายหลงง่าย ชักจูงง่ายเท่านั้น แต่เป็นเด็กดื้อ เด็กเกรียน เป็นไก่อ่อนที่คิดว่าตัวเองเจ๋งด้วย พัชระในละครครั้งนี้จึงเพิ่มรสชาติและความคันไม้คันมือให้ผู้ชมได้มาก
ละครโดยรวมสนุกและมีเนื้อหาที่ตรงกับในหนังสือค่ะ แตกต่างกันที่รายละเอียดและวิธีการนำเสนอซึ่งผ่านการตีความและออกแบบมาแล้วโดยทีมงาน ละครครั้งนี้นำเสนออย่าง จะแจ้ง ชัดเจน เร็ว และแรง ตามสมัย
ส่วนตัวพอใจและสนุกสนานกับการดูละคร ชอบการแสดงของตัวเอกทุกตัว
โดยเฉพาะคุณเพ็ญพักตร์ที่ดูแบกความทุกข์ไว้มากมายตลอดทั้งเรื่อง ดูเหมือนบาดเจ็บกลับมาจากสมรภูมิจริง ๆ ตามที่เขียนไว้
ส่วนคุณมยุราถ้าเป็นนักฟุตบอลนัดนี้ก็ Top form...ตอนต้นที่เธอตามราวีกับทรายเหมือนแม่ไก่ดุ ๆ
ที่คอยกางปีกป้องลูกแล้วไล่จิกคนที่เข้าใกล้และพอมาถึงสองตอนสุดท้ายเธอก็เป็นคุณเสาวนีย์ที่สูญเสียลูกคนเดียวไปได้อย่างไม่มีข้อกังขา
นอกจากนั้นก็ชอบดนตรีประกอบ เสื้อผ้าหน้าผม ฉาก พร็อบ วิวงาม ๆ ช็อตเด็ด ๆ ที่ตากล้องเลือกสรรมากำนัลผู้ชม
แอลเอกับซานฟรานสวยมาก เห็นงานหนักอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ เห็นความตั้งใจดีในการประจงคัด Quote
คำพูดในเรื่องมาประกอบตอนท้าย ชอบที่ดึงบทพูดในหนังสือมาใช้หลายที่หลายตอนและหลายคนด้วยกัน
เช่น (พัชระ) “หวังสูงไปแล้วทราย...ของปลอมอย่างคุณ ต่อให้ป้อนถึงปากเขาก็ยังคาย!”
และที่ชอบที่สุดก็คือ การจบเรื่องแบบปลายเปิดค่ะ
ละครไม่ได้โปรยพื้นฐานความเชื่อและชีวิตของทรายตอนเด็กมากนัก
ดูสองตอนแรกเห็นวิธีการเอาวัยเด็กมาเสียบเป็นฉากสั้น ๆ และคุณพิสมัยมาเป็นป้าทิศ
ยังคิดว่าจะใช้การพูดคุยกับคุณพิสมัยและตัดวัยเด็กมาปูสลับไปตลอดทาง แต่ละครเลือกไม่ใช้วิธีปู
ใช้วิธีพลิกกลับในสามตอนสุดท้าย—ซึ่งเป็นงานละคร คนละครต้องตัดสินใจเลือกเองนะคะ
และไม่มีใครในโลกนี้ตอบได้ว่าวิธีไหนจะดีกว่ากัน
นอกจากนี้ก็เห็นว่าในตอนกลาง ๆ เรื่อง มีหัวฉากแต่ละฉากกระดกอยู่บ้าง คือไม่สอดคล้อง
เป็นเหตุเป็นผลกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา...การตัดแต่งต่อเติมแล้วทำให้ไทม์ไลน์เพี้ยน
ไม่แนบเนียนไปกับโครงเรื่องเดิมก็มีอยู่บ้าง
เช่น ความสัมพันธ์ของลูกศรกับฌานที่เกิดขึ้นในวันก่อนที่จะแต่งงาน ๑ วัน
เหตุการณ์นี้อาจทำให้บุคลิกและศีลธรรมของตัวละครทั้งคู่ตกต่ำเสื่อมโทรมไปทันที
ถ้าไม่พยายามลากจูงกลับมาด้วยการอธิบายว่าทั้งคู่รู้อยู่แล้วว่าการแต่งงานจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง ๆ
(แต่ก็มีคนดูช่างคิดหลายคนบ่นว่า เด็กอย่างลูกศรน่ะหรือจะยอมร่วมมือกับพัชระหักหน้าพ่อแม่และยายขนาดนั้น)
ทั้งหมดนี้อาจเป็นผลมาจากการถ่ายทำที่จำเป็นต้องหยุดไปนาน และความเร่งรีบในช่วงเวลาที่เหลือก็ได้ทำให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น
ซึ่งความผิดพลาดนั้นมาคู่กับคนทำงานค่ะ...งานทุกงาน ความผิดพลาดทุกจุดล้วนคือบทเรียนและกำไรของเราทั้งสิ้น
การมีความผิดพลาดปนมากับเนื้องานบ้างย่อมต้องดีกว่าไม่มีโอกาสได้ตัดสินใจ ไม่กล้าเลือก
และไม่เคยมีโอกาสได้เรียนรู้จากการทำงานมากนัก
เข้าใจและเป็นกำลังใจให้”คนทำงาน”นะคะ...ขอบคุณที่ทำละครสนุก ๆ มาให้ดูค่ะ
คุณปิยะพร ศักดิ์เกษม คนแต่งทรายสีเพลิง เขียนถึง ทรายสีเพลิง : 2014
ละครเริ่มเรื่องที่งานประมูลในแอลเอประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วก็เปิดตัวนางเอกของเรื่องคือทราย-แซนดี้ พี ดาลตัน แสดงโดยคุณชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต
ส่วนตัวพอใจตั้งแต่เริ่มวางตัวแล้วว่าสำหรับบทนี้ ในช่วงสองสามปีนี้ก็ไม่มีใครเหมาะมากไปกว่าชมพู่ เธอสวย
มีความสามารถและอยู่ในวงการมานานพอที่จะแบกรับได้ทั้งบทและความกดดัน...แล้วชมพู่ก็ทำหน้าที่ของเธอได้ดีมาก...เป็นทรายที่สวย สดใส แพรวพราว
เป็นทรายที่มีความคั่งแค้นดิ้นรนกระหายในชัยชนะแบบไม่รู้จบ เป็นทรายที่ดื้อดึง เชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง กล้าที่จะใช้เล่ห์เหลี่ยมพาตัวเองไปสู่จุดหมายที่ต้องการ ละครเปิดเผยตัวตนแท้จริงของทรายให้ผู้ชมได้ดูแบบหมดเปลือกซึ่งจะต่างจากในหนังสือที่จะมีคนรู้ทันทรายก็เพียงแค่พี่บีกับคนอ่านเท่านั้น
ฌาน เป็นตัวละครที่หากมองเผิน ๆ จะเหมือนตัวรองแต่ความจริงแล้วมี‘เนื้อ’ให้เล่นเยอะมาก
ตอนเขียนสงสารฌานที่สุด ปีนี้จึงดีใจมากที่ ละครและคุณชาคริตปลุกให้ฌานเป็นฌานอย่างที่ควรเป็น
เป็นผู้ชายที่มีเปลือกนอกหรูหราพร้อมพรั่งแต่แท้จริงแล้วต้องดิ้นรนอย่างหนักทั้งกายและใจ
...ฌานในละครมีเสน่ห์มากพอที่ลูกศรจะหลงรัก
อ้างว้างมากพอที่เด็กผู้หญิงที่มีแต่ความปรารถนาดีกับใคร ๆ จะอยากช่วยเติมชีวิตเขาให้เต็ม
สุดท้ายเมื่อความหวังทุกอย่างพังทลายลง คุณชาคริตก็แตกรานแล้วพังลงไปกองกับพื้นได้ต่อหน้าคนดูเหมือนกัน
บุรี พี่ป๋อ ท่ามกลางความเรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไร แต่ความจริงพี่บีหรือบุรี คือจุด‘เป็น’และจุด‘ตาย’ของทราย
พี่ป๋อเป็นพี่บีที่เข้มข้น ตึงตัง และดูเป็นหัวโจกมากกว่าในหนังสือ บทบุรีอาจจมไปในรสเข้มข้นจัดจ้านของละครก็ได้ถ้าผู้แสดงไม่ใช่พี่ป๋อที่มีพลังทางการแสดงมากมายอย่างนี้
ลูกศร น้องมิว แปลกใจที่ทำไมมีหลายคนบอกว่าลูกศรต้องโง่ และไม่สดใสเท่านี้...ความจริงลูกศรในหนังสือก็เหมือนกับที่น้องมิวแสดงนั่นแหละ สดใส มองโลกในแง่ดี ไว้ใจโลก ไว้ใจคน แต่ลูกศรก็ไม่ใช่เด็กโง่เลย ไม่มีเด็กโง่ที่ไหนอ่าน ปรัชญาชีวิต อ่านเล่าจื๊อ จนเอามาสอนพี่ฌานได้เป็นฉาก ๆ หรอกค่ะ เพียงแค่ลูกศรไม่ชอบเรียนหนังสือตามที่เคยบอกว่า “แค่เข็นตัวเองให้เรียนจนจบตรีได้นี่ก็เก่งแล้ว” ...เหมือนกับเด็กช่างฝันหลาย ๆ คนที่ชอบอ่านหนังสือที่ตัวเองเลือกมากกว่าอ่านหนังสือที่ครูเลือกให้อ่าน และชอบอยู่บ้านทำกับข้าว เย็บผ้า มากกว่าออกไปคบหากับผู้คนเท่านั้น...และเด็กช่างฝันเหล่านั้นไม่เคยใช่เด็กโง่
พัชระ อาเล็ก ไม่ใช่แค่หนุ่มน้อยโลเล รักง่ายหลงง่าย ชักจูงง่ายเท่านั้น แต่เป็นเด็กดื้อ เด็กเกรียน เป็นไก่อ่อนที่คิดว่าตัวเองเจ๋งด้วย พัชระในละครครั้งนี้จึงเพิ่มรสชาติและความคันไม้คันมือให้ผู้ชมได้มาก
ละครโดยรวมสนุกและมีเนื้อหาที่ตรงกับในหนังสือค่ะ แตกต่างกันที่รายละเอียดและวิธีการนำเสนอซึ่งผ่านการตีความและออกแบบมาแล้วโดยทีมงาน ละครครั้งนี้นำเสนออย่าง จะแจ้ง ชัดเจน เร็ว และแรง ตามสมัย
ส่วนตัวพอใจและสนุกสนานกับการดูละคร ชอบการแสดงของตัวเอกทุกตัว
โดยเฉพาะคุณเพ็ญพักตร์ที่ดูแบกความทุกข์ไว้มากมายตลอดทั้งเรื่อง ดูเหมือนบาดเจ็บกลับมาจากสมรภูมิจริง ๆ ตามที่เขียนไว้
ส่วนคุณมยุราถ้าเป็นนักฟุตบอลนัดนี้ก็ Top form...ตอนต้นที่เธอตามราวีกับทรายเหมือนแม่ไก่ดุ ๆ
ที่คอยกางปีกป้องลูกแล้วไล่จิกคนที่เข้าใกล้และพอมาถึงสองตอนสุดท้ายเธอก็เป็นคุณเสาวนีย์ที่สูญเสียลูกคนเดียวไปได้อย่างไม่มีข้อกังขา
นอกจากนั้นก็ชอบดนตรีประกอบ เสื้อผ้าหน้าผม ฉาก พร็อบ วิวงาม ๆ ช็อตเด็ด ๆ ที่ตากล้องเลือกสรรมากำนัลผู้ชม
แอลเอกับซานฟรานสวยมาก เห็นงานหนักอยู่เบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ เห็นความตั้งใจดีในการประจงคัด Quote
คำพูดในเรื่องมาประกอบตอนท้าย ชอบที่ดึงบทพูดในหนังสือมาใช้หลายที่หลายตอนและหลายคนด้วยกัน
เช่น (พัชระ) “หวังสูงไปแล้วทราย...ของปลอมอย่างคุณ ต่อให้ป้อนถึงปากเขาก็ยังคาย!”
และที่ชอบที่สุดก็คือ การจบเรื่องแบบปลายเปิดค่ะ
ละครไม่ได้โปรยพื้นฐานความเชื่อและชีวิตของทรายตอนเด็กมากนัก
ดูสองตอนแรกเห็นวิธีการเอาวัยเด็กมาเสียบเป็นฉากสั้น ๆ และคุณพิสมัยมาเป็นป้าทิศ
ยังคิดว่าจะใช้การพูดคุยกับคุณพิสมัยและตัดวัยเด็กมาปูสลับไปตลอดทาง แต่ละครเลือกไม่ใช้วิธีปู
ใช้วิธีพลิกกลับในสามตอนสุดท้าย—ซึ่งเป็นงานละคร คนละครต้องตัดสินใจเลือกเองนะคะ
และไม่มีใครในโลกนี้ตอบได้ว่าวิธีไหนจะดีกว่ากัน
นอกจากนี้ก็เห็นว่าในตอนกลาง ๆ เรื่อง มีหัวฉากแต่ละฉากกระดกอยู่บ้าง คือไม่สอดคล้อง
เป็นเหตุเป็นผลกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา...การตัดแต่งต่อเติมแล้วทำให้ไทม์ไลน์เพี้ยน
ไม่แนบเนียนไปกับโครงเรื่องเดิมก็มีอยู่บ้าง
เช่น ความสัมพันธ์ของลูกศรกับฌานที่เกิดขึ้นในวันก่อนที่จะแต่งงาน ๑ วัน
เหตุการณ์นี้อาจทำให้บุคลิกและศีลธรรมของตัวละครทั้งคู่ตกต่ำเสื่อมโทรมไปทันที
ถ้าไม่พยายามลากจูงกลับมาด้วยการอธิบายว่าทั้งคู่รู้อยู่แล้วว่าการแต่งงานจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง ๆ
(แต่ก็มีคนดูช่างคิดหลายคนบ่นว่า เด็กอย่างลูกศรน่ะหรือจะยอมร่วมมือกับพัชระหักหน้าพ่อแม่และยายขนาดนั้น)
ทั้งหมดนี้อาจเป็นผลมาจากการถ่ายทำที่จำเป็นต้องหยุดไปนาน และความเร่งรีบในช่วงเวลาที่เหลือก็ได้ทำให้มีความผิดพลาดเกิดขึ้น
ซึ่งความผิดพลาดนั้นมาคู่กับคนทำงานค่ะ...งานทุกงาน ความผิดพลาดทุกจุดล้วนคือบทเรียนและกำไรของเราทั้งสิ้น
การมีความผิดพลาดปนมากับเนื้องานบ้างย่อมต้องดีกว่าไม่มีโอกาสได้ตัดสินใจ ไม่กล้าเลือก
และไม่เคยมีโอกาสได้เรียนรู้จากการทำงานมากนัก
เข้าใจและเป็นกำลังใจให้”คนทำงาน”นะคะ...ขอบคุณที่ทำละครสนุก ๆ มาให้ดูค่ะ