ผู้ที่สนใจลงทุนในตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นการลงทุน หรือขยายพอร์ตการลงทุน ย่อมต้องมีการศึกษาข้อมูลความรู้การลงทุนหุ้นกู้อย่างแน่นอน แต่ด้วยสาระที่มีมากมายในหนังสือชี้ชวนของหุ้นกู้ อาจทำให้ใครหลายคนเกิดความสับสนข้อมูลและตั้งตนไม่ถูก
TerraBKK ขอแนะนำจุดสำคัญ 4 ประการ เพื่อเป็นหลักง่ายๆในการศึกษาหนังสือชี้ชวนและตัวตราสารหนี้อย่างหุ้นกู้ จะได้คัดเลือกหุ้นกู้ที่ตรงความต้องการอย่างแท้จริง
ประการที่ 1 : ผลตอบแทนหุ้นกู้
เรื่องของผลตอบแทน ย่อมเป็นที่สนใจอันดับต้นๆ TerraBKK ขอกล่าวถึงหัวใจสำคัญในเรื่องนี้ว่า ผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นกู้ต้องมีเข้าใจถึง ความต่างของอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ทั้ง 2 ตลาด (ตลาดแรก และตลาดรอง) ,ความถี่ของการจ่ายดอกเบี้ย และข้อสังเกตเรื่องอัตราดอกเบี้ย ดังนี้
☻ ตลาดหุ้นกู้มี 2 ประเภท คือ “ตลาดแรก” จะเป็นการซื้อขายหุ้นกู้ตามมูลค่าที่ตราไว้ (Par value) ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนตาม “อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon rate)” และเมื่อลงทุนหุ้นใน “ตลาดรอง หรือ ตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchange : BEX)” จะต้องพิจารณาผลตอบแทนจาก “อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการถือหุ้นกู้นั้นจนครบอายุไถ่ถอน (Yield to Maturity: YTM)” ที่สามารถค้นหาได้จาก www.thaibma.or.th
☻ ความถี่ของการจ่ายดอกเบี้ย นักลงทุนสามารถตรวจสอบได้จาก “งวดการจ่ายดอกเบี้ย (Coupon frequency)” เช่น จ่ายทุก 6 เดือน แปลว่าจะได้รับดอกเบี้ย 2 ครั้งต่อปี เป็นต้น
☻ สำหรับ “ข้อสังเกตเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย” มักเป็นไปตามความเสี่ยงและระยะเวลาหุ้นกู้ เช่น
- หุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า ย่อมให้ดอกเบี้ยสูงกว่า อย่างหุ้นกู้ที่มีหลักประกัน ความเสี่ยงต่ำ ดอกเบี้ยที่กำหนดจึงต่ำตามเช่นกัน
- หุ้นกู้ที่มีอายุยาว มักให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่า เพื่อชดเชยค่าเสียโอกาศในการนำเงินไปลงทุนตราสารอื่น
- หุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้งต่ำ จะมีดอกเบี้ยที่สูงกว่า TerraBKK เสนอว่า หุ้นกู้ที่สามารถลงทุนได้ ควรมีระดับ BBB – ขึ้นไป
ประการที่ 2 : อายุหุ้นกู้
TerraBKK กล่าวถึงหัวใจสำคัญในเรื่องนี้ คือการเลือกหุ้นกู้ที่มีอายุ สอดคล้องกับสภาพคล่อง และความต้องการใช้เงินในอนาคตของของนักลงทุน สังเกตได้จาก “วันครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity date)” จะเป็นวันที่ผู้ออกจะต้องจ่ายคืนเงินต้น เมื่อหุ้นกู้มีอายุครบตามกำหนด ทั้งนี้ หากนักลงทุนต้องการขายหุ้นคืนก่อนกำหนด สามารถทำได้ในตลาดรอง แต่จะมีสภาพคล่องไม่มากนัก อาจจะไม่สามารถซื้อขายหุ้นกู้ได้ทันทีเหมือนกับหุ้นสามัญ เพราะส่วนใหญ่ นักลงทุนมักลงทุนจนครบกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้ตัวนั้นๆ
ประการที่ 3 : ระดับความน่าเชื่อถือ
เรื่องนี้มีความสำคัญมาก หากเลือกบริษัทผิดพลาด กรณีผู้ออกหุ้นกู้ “Default Bond” จะไม่สามารถจ่ายชำระคืนดอกเบี้ย และเงินต้นภายในกำหนดได้ ดังนั้น TerraBKK ขอแนะนำว่า นักลงทุนควรเข้าใจ “TRIS Rating” เพื่อตรวจสอบอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้นั้น และต้องศึกษาหัวใจสำคัญ นั้นคือ “การทำความเข้าใจบริษัทผู้ออกหุ้นกู้” ถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัท , วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และข้อมูลงบการเงินต่างๆ เช่น ความสามารถในการทำกำไร , ความเสี่ยงในการดำเนินงาน เพื่อวิเคราะห์ว่า บริษัทมีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นแก่นักลงทุนได้ตามกำหนดจริงไหม
ประการที่ 4 : เงื่อนไขอื่นๆ
TerraBKK กล่าวได้ว่าเรื่องนี้ อาจเป็นจุดบอดที่นักลงทุนมองข้ามไปด้วยความประมาท หัวใจสำคัญในเรื่องนี้ คือ “สังเกตเงื่อนไขที่เกิดขึ้นจากลักษณะหุ้นกู้” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจ่ายผลตอบแทน และประเภทหุ้นกู้ ยกตัวอย่างดังนี้
☻ เงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ย เช่น จ่ายดอกเบี้ยเมื่อบริษัทมีกำไรจากการประกอบธุรกิจ แปลว่า มีโอกาสที่นักลงทุนจะไม่ได้รับดอกเบี้ย หากบริษัทไม่สามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลกำไรได้ เป็นต้น
☻ เงื่อนไขจากประเภทหุ้นกู้ ในหลากหลายรูปแบบ เช่น
- “หุ้นกู้ที่ผู้ออกมีสิทธิเรียกไถ่ถอนก่อนกำหนด (Callable bond) ” จะเป็นหุ้นกู้ที่ผู้ออกมีสิทธิเรียกคืน (call) หรือไถ่ถอนหุ้นกู้นั้นก่อนกำหนด กรณีที่ดอกเบี้ยตลาดลดลง จนทำให้ต้นทุนของหุ้นกู้นั้นสูงเกินไป
- “หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated bond) ” ในกรณีผู้ออกหุ้นกู้มีปัญหาผิดนัดชำระหนี้ ผู้ออกหุ้นกู้ต้องจ่ายชำระหนี้ แก่เจ้าหนี้รายอื่นเป็นที่เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นค่อยจ่ายคืนเงินต้นแก่นักลงทุนหุ้นกู้ประเภทนี้เป็นลำดับท้าย
- “หุ้นกู้ประเภทไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (Perpetual Bond) ” จะเป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีวันหมดอายุ โดยไม่มีการไถ่ถอนคืน จนกว่าบริษัทจะเลิกกิจการ เป็นต้น
ท้ายนี้ TerraBKK ฝากไว้ว่า แม้การลงทุนในตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ไม่ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือผลร้ายในพอร์ตลงทุนได้เช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับความรู้ความเข้าใจในหุ้นกู้ที่เลือกลงทุนอย่างแท้จริง
ที่มา :
TerraBKK
ชี้จุดสำคัญ 4 ประการ ลงทุนหุ้นกู้ถูกตัวถูกใจ
ผู้ที่สนใจลงทุนในตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงเริ่มต้นการลงทุน หรือขยายพอร์ตการลงทุน ย่อมต้องมีการศึกษาข้อมูลความรู้การลงทุนหุ้นกู้อย่างแน่นอน แต่ด้วยสาระที่มีมากมายในหนังสือชี้ชวนของหุ้นกู้ อาจทำให้ใครหลายคนเกิดความสับสนข้อมูลและตั้งตนไม่ถูก TerraBKK ขอแนะนำจุดสำคัญ 4 ประการ เพื่อเป็นหลักง่ายๆในการศึกษาหนังสือชี้ชวนและตัวตราสารหนี้อย่างหุ้นกู้ จะได้คัดเลือกหุ้นกู้ที่ตรงความต้องการอย่างแท้จริง
ประการที่ 1 : ผลตอบแทนหุ้นกู้
เรื่องของผลตอบแทน ย่อมเป็นที่สนใจอันดับต้นๆ TerraBKK ขอกล่าวถึงหัวใจสำคัญในเรื่องนี้ว่า ผู้ที่สนใจลงทุนหุ้นกู้ต้องมีเข้าใจถึง ความต่างของอัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ทั้ง 2 ตลาด (ตลาดแรก และตลาดรอง) ,ความถี่ของการจ่ายดอกเบี้ย และข้อสังเกตเรื่องอัตราดอกเบี้ย ดังนี้
☻ ตลาดหุ้นกู้มี 2 ประเภท คือ “ตลาดแรก” จะเป็นการซื้อขายหุ้นกู้ตามมูลค่าที่ตราไว้ (Par value) ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนตาม “อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon rate)” และเมื่อลงทุนหุ้นใน “ตลาดรอง หรือ ตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchange : BEX)” จะต้องพิจารณาผลตอบแทนจาก “อัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากการถือหุ้นกู้นั้นจนครบอายุไถ่ถอน (Yield to Maturity: YTM)” ที่สามารถค้นหาได้จาก www.thaibma.or.th
☻ ความถี่ของการจ่ายดอกเบี้ย นักลงทุนสามารถตรวจสอบได้จาก “งวดการจ่ายดอกเบี้ย (Coupon frequency)” เช่น จ่ายทุก 6 เดือน แปลว่าจะได้รับดอกเบี้ย 2 ครั้งต่อปี เป็นต้น
☻ สำหรับ “ข้อสังเกตเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย” มักเป็นไปตามความเสี่ยงและระยะเวลาหุ้นกู้ เช่น
- หุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า ย่อมให้ดอกเบี้ยสูงกว่า อย่างหุ้นกู้ที่มีหลักประกัน ความเสี่ยงต่ำ ดอกเบี้ยที่กำหนดจึงต่ำตามเช่นกัน
- หุ้นกู้ที่มีอายุยาว มักให้ดอกเบี้ยที่สูงกว่า เพื่อชดเชยค่าเสียโอกาศในการนำเงินไปลงทุนตราสารอื่น
- หุ้นกู้ที่มีเครดิตเรทติ้งต่ำ จะมีดอกเบี้ยที่สูงกว่า TerraBKK เสนอว่า หุ้นกู้ที่สามารถลงทุนได้ ควรมีระดับ BBB – ขึ้นไป
ประการที่ 2 : อายุหุ้นกู้
TerraBKK กล่าวถึงหัวใจสำคัญในเรื่องนี้ คือการเลือกหุ้นกู้ที่มีอายุ สอดคล้องกับสภาพคล่อง และความต้องการใช้เงินในอนาคตของของนักลงทุน สังเกตได้จาก “วันครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity date)” จะเป็นวันที่ผู้ออกจะต้องจ่ายคืนเงินต้น เมื่อหุ้นกู้มีอายุครบตามกำหนด ทั้งนี้ หากนักลงทุนต้องการขายหุ้นคืนก่อนกำหนด สามารถทำได้ในตลาดรอง แต่จะมีสภาพคล่องไม่มากนัก อาจจะไม่สามารถซื้อขายหุ้นกู้ได้ทันทีเหมือนกับหุ้นสามัญ เพราะส่วนใหญ่ นักลงทุนมักลงทุนจนครบกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้ตัวนั้นๆ
ประการที่ 3 : ระดับความน่าเชื่อถือ
เรื่องนี้มีความสำคัญมาก หากเลือกบริษัทผิดพลาด กรณีผู้ออกหุ้นกู้ “Default Bond” จะไม่สามารถจ่ายชำระคืนดอกเบี้ย และเงินต้นภายในกำหนดได้ ดังนั้น TerraBKK ขอแนะนำว่า นักลงทุนควรเข้าใจ “TRIS Rating” เพื่อตรวจสอบอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้นั้น และต้องศึกษาหัวใจสำคัญ นั้นคือ “การทำความเข้าใจบริษัทผู้ออกหุ้นกู้” ถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัท , วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร และข้อมูลงบการเงินต่างๆ เช่น ความสามารถในการทำกำไร , ความเสี่ยงในการดำเนินงาน เพื่อวิเคราะห์ว่า บริษัทมีความสามารถจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นแก่นักลงทุนได้ตามกำหนดจริงไหม
ประการที่ 4 : เงื่อนไขอื่นๆ
TerraBKK กล่าวได้ว่าเรื่องนี้ อาจเป็นจุดบอดที่นักลงทุนมองข้ามไปด้วยความประมาท หัวใจสำคัญในเรื่องนี้ คือ “สังเกตเงื่อนไขที่เกิดขึ้นจากลักษณะหุ้นกู้” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจ่ายผลตอบแทน และประเภทหุ้นกู้ ยกตัวอย่างดังนี้
☻ เงื่อนไขการจ่ายดอกเบี้ย เช่น จ่ายดอกเบี้ยเมื่อบริษัทมีกำไรจากการประกอบธุรกิจ แปลว่า มีโอกาสที่นักลงทุนจะไม่ได้รับดอกเบี้ย หากบริษัทไม่สามารถดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลกำไรได้ เป็นต้น
☻ เงื่อนไขจากประเภทหุ้นกู้ ในหลากหลายรูปแบบ เช่น
- “หุ้นกู้ที่ผู้ออกมีสิทธิเรียกไถ่ถอนก่อนกำหนด (Callable bond) ” จะเป็นหุ้นกู้ที่ผู้ออกมีสิทธิเรียกคืน (call) หรือไถ่ถอนหุ้นกู้นั้นก่อนกำหนด กรณีที่ดอกเบี้ยตลาดลดลง จนทำให้ต้นทุนของหุ้นกู้นั้นสูงเกินไป
- “หุ้นกู้ด้อยสิทธิ (Subordinated bond) ” ในกรณีผู้ออกหุ้นกู้มีปัญหาผิดนัดชำระหนี้ ผู้ออกหุ้นกู้ต้องจ่ายชำระหนี้ แก่เจ้าหนี้รายอื่นเป็นที่เรียบร้อยก่อน หลังจากนั้นค่อยจ่ายคืนเงินต้นแก่นักลงทุนหุ้นกู้ประเภทนี้เป็นลำดับท้าย
- “หุ้นกู้ประเภทไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท (Perpetual Bond) ” จะเป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีวันหมดอายุ โดยไม่มีการไถ่ถอนคืน จนกว่าบริษัทจะเลิกกิจการ เป็นต้น
ท้ายนี้ TerraBKK ฝากไว้ว่า แม้การลงทุนในตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้จะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ไม่ศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุหรือผลร้ายในพอร์ตลงทุนได้เช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับความรู้ความเข้าใจในหุ้นกู้ที่เลือกลงทุนอย่างแท้จริง
ที่มา : TerraBKK