"my recent research has shown me that feminism has become an unpopular word. Apparently I am among the ranks of women whose expressions are seen as too strong, too aggressive, isolating, anti-men and, unattractive."
"จากการศึกษาล่าสุดของฉันพบว่า คำว่า feminism ได้กลายเป็นคำที่คนไม่นิยม
ฉันเลยเป็นหนึ่งในพวกผู้หญิงที่แสดงออกว่า แข็งแกร่งเกินไป ก้าวร้าวเกินไป แปลกแยก ต่อต้านผู้ชาย และไม่มีเสนห์"
เนื่องจากเรื่อง feminism หรือ สตรีนิยม ยังเป็นเรื่องที่คนไทยไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทำไม๊ ทำไมแค่ประกาศตัวว่าเป็น feminist แล้วจะต้องโกรธ เกลียดกันถึงขั้นขู่ปล่อยภาพนู้ดกันเลยทีเดียว! ถ้างั้นมารู้จักเรื่องราวของคำๆ นี้กันซักหน่อยดีกว่า
Feminism เป็นแนวความคิดที่ว่าเพศหญิงควรจะมีสิทธิเท่าเทียมกับเพศชายส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งแนวความคิดนี้ได้กำเนิดขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในประเทศตะวันตก ซึ่ง Feminism จะมีการแบ่งออกเป็น wave ที่ทั้งหมด 3 waves
กำเนิด First-wave feminism
เมื่อสมัยก่อนนู้น ผู้หญิงต้องการเป็นอิสระจากอำนาจการควบคุมของเพศชาย ทั้งพ่อ สามี พี่ชาย และน้องชายตามกรอบที่สังคมกำหนดให้เพศหญิงอยู่ต้องบ้าน เป็นลูกสาว พี่สาว น้องสาวและภรรยาที่ดี ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้สิทธิต่างๆ เช่นการเรียน การเลือกตั้ง การหย่าร้างหรือแม้แต่สิทธิในการร่วมทำสงคราม
Second-wave feminism (ช่วงที่เป็นด้านมืดของ Feminism)
ช่วงที่สองของเฟมินิสเริ่มต้นขึ้นที่อเมริกาในช่วงปี 1960s ก่อนที่แนวคิดนี้จะเริ่มแพร่หลายไปยังยุโรป ซึ่งเวฟที่สองนี้ได้ปรับและพัฒนาแนวคิดมาจากเวฟแรก แต่เวฟนี้จะโฟกัสไปที่เรื่องการแก้กฏหมายเกี่ยวกับการเหยียดเพศ การข่มขืน การหย่าร้าง สิทธิดูแลบุตร รวมไปถึงเรื่องค่าจ้าง แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเวฟนี้เริ่มมากจากสตรีผิวขาวชนชั้นกลาง จึงทำให้การเคลื่อนไหวส่วนมากมุ่งไปที่ปัญหาของตนเองโดยละเลยปัญหาของสตรีชนชั้นล่าง สตรีเชื้อชาติอื่นๆ รวมทั้งปัญหาของผู้หญิงโสด
นอกจากนี้ยังได้เกิด feminism แยกย่อยออกมาอีกหลายประเภท เช่นพวกที่ต่อต้านผู้ชาย เกลียดผู้ชาย ทำตัวให้เหมือนผู้ชาย มีความคิดว่าผู้หญิงก็ทำทุกอย่างได้เหมือนผู้ชาย และไม่ต้องการผู้ชาย (ผู้ชายเลยแอนตี้) ไม่นิยมแต่งหน้าแต่งตัวให้สวยเพราะมองว่าความสวยเป็นการสนองความต้องการของผู้ชาย จึงต่อต้านผู้หญิงที่แต่งหน้า แต่งตัวเผยสรีระหรือใส่ส้นสูง (ผู้หญิงเลยแอนตี้) จึงได้เกิด backlash หรือการต่อต้านคำว่า feminism หรือคนที่แสดงตัวเป็น feminist และทำให้คำๆนี้เป็นคำที่มีความหมายด้านลบมาตั้งแต่ยุคนั้น และเนื่องจากกระแส backlash ได้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนกลายการล่มสลายของ second-wave feminism
Third-wave feminism
การกำเนิดของเวฟสามสืบเนื่องมาจากการสิ้นสุดของเวฟสอง เวฟนี้เกิดขึ้นช่วงปี 1990s โดยผู้หญิงรุ่นใหม่ ที่ออกมาต่อต้านแนวคิดและการเคลื่อนไหวด้านลบของเวฟสอง จุดเด่นของเวฟสามที่ต่อต้านเวฟสองอย่างเห็นได้ชัดก็คือแนวคิดที่ว่าความสวยของผู้หญิงคืออำนาจ เพราะฉะนั้นสาวๆในเวฟนี้จะนิยมการแต่งหนัา แต่งตัว ภูมิใจในเรือนร่างของผู้หญิงและภูมิใจในความเป็นเพศหญิง แต่เวฟนี้ก็ยังมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิต่างๆที่เวฟแรกและเวฟสองได้เริ่มไว้
อย่างไรก็คำว่า feminism สำหรับคนทั่วไปโดยเฉพาะคนรุ่นก่อนๆ ในประเทศตะวันตก ก็ยังเป็นคำที่มีความหมายเป็นลบอยู่ดี เนื่องจากแนวคิดการเคลื่อนไหวของเวฟสองที่ทำไว้ยังฝังหัวอยู่ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฝรั่งถึงเกลียดคำว่า feminism มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวของ feminism ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ได้แพ้วถางทางและโอกาสให้ผู้หญิงในยุคหลัง สำหรับในเมืองไทยจะเห็นได้ว่าสาวๆ ของเรามีโอกาสในสังคมค่อนข้างดีกว่าสาวๆ ในประเทศอื่นกันมาก จึงอาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราไม่ค่อยสนใจหรือศึกษาเรื่องนี้กันนัก
และในยุคนี้ ยุคที่ดูเหมือนว่าผู้หญิงได้รับโอกาสเท่าเทียมผู้ชาย มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสได้ทำงานในตำแหน่งเช่นเดียวกับผู้ชาย สามารถหาเงินได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ และยังได้สิทธิต่างๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมแล้ว งั้นมันก็ควรจะหมดยุคของ feminism แล้วไม่ใช่หรือ
คำว่า
Post-feminism หรือยุคหลังสตรีนิยมจึงได้ถึอกำเนิดขึ้นมา มาดูกันซิว่า ผู้หญิงรุ่นใหม่ในยุคนี้ยังต้องการอะไร???
ขอพักแป๊บ เดี๋ยวมาต่อกับแนวคิด Post-feminism กันค่ะ
ปล. ที่ยังมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องความเท่าเทียมของเพศหญิงและเพศชายอยู่ เป็นเพราะว่ายังมีผู้หญิงที่ยังไม่ได้รับโอกาสและความเท่าเทียมกันอยู่อีกมากมายหลายประเทศทั่วโลก หรือแม้แต่ประเทศทางตะวันตกเองที่ดูเหมือนจะมีความเท่าเทียมกันระหว่างเพศแล้ว แต่ก็ยังมีเหตุการเหยียดเพศหรือความเหลื่อมล้ำทางเพศเกิดขึ้นอยู่ดี
** อ่านเรื่อง Post-Feminism และสรุปความหมายของคำว่า Feminism ได้ในความคิดเห็นที่ 4 นะคะ
มารู้จัก Feminism: จากกรณีแฮกเกอร์ขู่ปล่อยภาพนู้ดเอมม่า วัตสันหลังประกาศตัวเป็น Feminist
"my recent research has shown me that feminism has become an unpopular word. Apparently I am among the ranks of women whose expressions are seen as too strong, too aggressive, isolating, anti-men and, unattractive."
"จากการศึกษาล่าสุดของฉันพบว่า คำว่า feminism ได้กลายเป็นคำที่คนไม่นิยม
ฉันเลยเป็นหนึ่งในพวกผู้หญิงที่แสดงออกว่า แข็งแกร่งเกินไป ก้าวร้าวเกินไป แปลกแยก ต่อต้านผู้ชาย และไม่มีเสนห์"
เนื่องจากเรื่อง feminism หรือ สตรีนิยม ยังเป็นเรื่องที่คนไทยไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าทำไม๊ ทำไมแค่ประกาศตัวว่าเป็น feminist แล้วจะต้องโกรธ เกลียดกันถึงขั้นขู่ปล่อยภาพนู้ดกันเลยทีเดียว! ถ้างั้นมารู้จักเรื่องราวของคำๆ นี้กันซักหน่อยดีกว่า
Feminism เป็นแนวความคิดที่ว่าเพศหญิงควรจะมีสิทธิเท่าเทียมกับเพศชายส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ เพื่อเรียกร้องสิทธิทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งแนวความคิดนี้ได้กำเนิดขึ้นช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ในประเทศตะวันตก ซึ่ง Feminism จะมีการแบ่งออกเป็น wave ที่ทั้งหมด 3 waves
กำเนิด First-wave feminism
เมื่อสมัยก่อนนู้น ผู้หญิงต้องการเป็นอิสระจากอำนาจการควบคุมของเพศชาย ทั้งพ่อ สามี พี่ชาย และน้องชายตามกรอบที่สังคมกำหนดให้เพศหญิงอยู่ต้องบ้าน เป็นลูกสาว พี่สาว น้องสาวและภรรยาที่ดี ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อให้ได้สิทธิต่างๆ เช่นการเรียน การเลือกตั้ง การหย่าร้างหรือแม้แต่สิทธิในการร่วมทำสงคราม
Second-wave feminism (ช่วงที่เป็นด้านมืดของ Feminism)
ช่วงที่สองของเฟมินิสเริ่มต้นขึ้นที่อเมริกาในช่วงปี 1960s ก่อนที่แนวคิดนี้จะเริ่มแพร่หลายไปยังยุโรป ซึ่งเวฟที่สองนี้ได้ปรับและพัฒนาแนวคิดมาจากเวฟแรก แต่เวฟนี้จะโฟกัสไปที่เรื่องการแก้กฏหมายเกี่ยวกับการเหยียดเพศ การข่มขืน การหย่าร้าง สิทธิดูแลบุตร รวมไปถึงเรื่องค่าจ้าง แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวของเวฟนี้เริ่มมากจากสตรีผิวขาวชนชั้นกลาง จึงทำให้การเคลื่อนไหวส่วนมากมุ่งไปที่ปัญหาของตนเองโดยละเลยปัญหาของสตรีชนชั้นล่าง สตรีเชื้อชาติอื่นๆ รวมทั้งปัญหาของผู้หญิงโสด
นอกจากนี้ยังได้เกิด feminism แยกย่อยออกมาอีกหลายประเภท เช่นพวกที่ต่อต้านผู้ชาย เกลียดผู้ชาย ทำตัวให้เหมือนผู้ชาย มีความคิดว่าผู้หญิงก็ทำทุกอย่างได้เหมือนผู้ชาย และไม่ต้องการผู้ชาย (ผู้ชายเลยแอนตี้) ไม่นิยมแต่งหน้าแต่งตัวให้สวยเพราะมองว่าความสวยเป็นการสนองความต้องการของผู้ชาย จึงต่อต้านผู้หญิงที่แต่งหน้า แต่งตัวเผยสรีระหรือใส่ส้นสูง (ผู้หญิงเลยแอนตี้) จึงได้เกิด backlash หรือการต่อต้านคำว่า feminism หรือคนที่แสดงตัวเป็น feminist และทำให้คำๆนี้เป็นคำที่มีความหมายด้านลบมาตั้งแต่ยุคนั้น และเนื่องจากกระแส backlash ได้เพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนกลายการล่มสลายของ second-wave feminism
Third-wave feminism
การกำเนิดของเวฟสามสืบเนื่องมาจากการสิ้นสุดของเวฟสอง เวฟนี้เกิดขึ้นช่วงปี 1990s โดยผู้หญิงรุ่นใหม่ ที่ออกมาต่อต้านแนวคิดและการเคลื่อนไหวด้านลบของเวฟสอง จุดเด่นของเวฟสามที่ต่อต้านเวฟสองอย่างเห็นได้ชัดก็คือแนวคิดที่ว่าความสวยของผู้หญิงคืออำนาจ เพราะฉะนั้นสาวๆในเวฟนี้จะนิยมการแต่งหนัา แต่งตัว ภูมิใจในเรือนร่างของผู้หญิงและภูมิใจในความเป็นเพศหญิง แต่เวฟนี้ก็ยังมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิต่างๆที่เวฟแรกและเวฟสองได้เริ่มไว้
อย่างไรก็คำว่า feminism สำหรับคนทั่วไปโดยเฉพาะคนรุ่นก่อนๆ ในประเทศตะวันตก ก็ยังเป็นคำที่มีความหมายเป็นลบอยู่ดี เนื่องจากแนวคิดการเคลื่อนไหวของเวฟสองที่ทำไว้ยังฝังหัวอยู่ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมฝรั่งถึงเกลียดคำว่า feminism มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเคลื่อนไหวของ feminism ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ได้แพ้วถางทางและโอกาสให้ผู้หญิงในยุคหลัง สำหรับในเมืองไทยจะเห็นได้ว่าสาวๆ ของเรามีโอกาสในสังคมค่อนข้างดีกว่าสาวๆ ในประเทศอื่นกันมาก จึงอาจเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราไม่ค่อยสนใจหรือศึกษาเรื่องนี้กันนัก
และในยุคนี้ ยุคที่ดูเหมือนว่าผู้หญิงได้รับโอกาสเท่าเทียมผู้ชาย มีโอกาสศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสได้ทำงานในตำแหน่งเช่นเดียวกับผู้ชาย สามารถหาเงินได้มากพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ และยังได้สิทธิต่างๆ ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมแล้ว งั้นมันก็ควรจะหมดยุคของ feminism แล้วไม่ใช่หรือ
คำว่า Post-feminism หรือยุคหลังสตรีนิยมจึงได้ถึอกำเนิดขึ้นมา มาดูกันซิว่า ผู้หญิงรุ่นใหม่ในยุคนี้ยังต้องการอะไร???
ขอพักแป๊บ เดี๋ยวมาต่อกับแนวคิด Post-feminism กันค่ะ
ปล. ที่ยังมีการเคลื่อนไหวเรียกร้องความเท่าเทียมของเพศหญิงและเพศชายอยู่ เป็นเพราะว่ายังมีผู้หญิงที่ยังไม่ได้รับโอกาสและความเท่าเทียมกันอยู่อีกมากมายหลายประเทศทั่วโลก หรือแม้แต่ประเทศทางตะวันตกเองที่ดูเหมือนจะมีความเท่าเทียมกันระหว่างเพศแล้ว แต่ก็ยังมีเหตุการเหยียดเพศหรือความเหลื่อมล้ำทางเพศเกิดขึ้นอยู่ดี
** อ่านเรื่อง Post-Feminism และสรุปความหมายของคำว่า Feminism ได้ในความคิดเห็นที่ 4 นะคะ