....วิศวกรหัวใจเกษตร...หันมาเลี้ยงหมูขุน

....ถ้าคุณมีเงินเดือน 8 หมื่นบาท จากการเป็นวิศวกร 
อยู่ในบริษัทญี่ปุ่นที่ติดอันดับบริษัทชื่อดังเบอร์ต้นๆ
หลายคนคงคิดว่านี้คือความมั่นคงในชีวิต
แต่กับ สมเกียรติ โหสกุล วัย 58 ปีแล้ว เขากลับไม่คิดแบบนั้น

...นั่นเพราะอาชีพที่เขาทำอยู่นั้นคือลูกจ้าง
ทุกอย่างไม่ได้เป็นของตัวเอง
และด้วยมีคำพูดของอาจารย์ชาวญี่ปุ่น
เมื่อครั้งที่ได้ไปศึกษาด้านวิศวะเพิ่มเติมที่แดนอาทิตย์อุทัย ที่ว่า
“ทำอะไรก็ได้ที่เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วได้มองเห็นกิจการของตัวเองเติบโตขึ้นทุกๆวัน”
ยังติดอยู่ในใจตลอดเวลาทำให้ความคิดต่ออาชีพของเขาเปลี่ยนไป

...“คำพูดของอาจารย์กลายเป็นแรงบันดาลใจ
ทำให้เริ่มหันมามองที่อาชีพของตัวเอง
ที่เมื่อเราเกษียณก็ต้องเลิกทำ การมีอาชีพอื่นที่จะเลี้ยงตัวเองได้
โดยที่ยังใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองได้ต่อไป
จึงเป็นสิ่งที่ต้องพยายามค้นหา จนมาลงตัวที่อาชีพเลี้ยงหมูขุน
สมเกียรติ เล่าย้อนถึงที่มาของการเริ่มต้นอาชีพใหม่

...เมื่อถามว่าทำไมถึงต้องเป็นอาชีพเลี้ยงหมูขุน
สมเกียรติบอกว่า เพราะอาชีพนี้เหมาะสมกับพื้นที่
ที่ต.แพรกหา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
และเห็นว่าเพื่อเกษตรกรหลายๆคนก็ทำอาชีพนี้อยู่
แถมยังประสบความสำเร็จด้วย
เขาจึงได้เริ่มต้นศึกษาความเป็นไปได้ของอาชีพ
และพบว่าการร่วมเป็นเกษตรกรในโครงการเลี้ยงสุกรขุนแบบประกันรายได้
กับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟนั้น
เป็นอาชีพที่เริ่มต้นง่าย ไม่มีความเสี่ยง
โดยเขารับผิดชอบในการปลูกสร้างโรงเรือนตามมาตรฐานของบริษัท
จากนั้นบริษัทจะนำพันธุ์สัตว์ อาหาร ยารักษาโรค วัคซีนต่างๆ มาให้ตามโปรแกรมที่กำหนด
เรียกว่าฝากความเสี่ยงเรื่องวัตถุดิบการผลิตไว้กับบริษัทโดยสิ้นเชิง

....ส่วนตัวเองในฐานะเกษตรกร
ก็จะมีหน้าที่ดูแลให้การเลี้ยงหมูเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

..ที่ไม่เพียงทำให้เขามีรายได้ดีเท่านั้น
แต่ยังเป็นหนึ่งในห่วงโซ่การผลิตเนื้อหมูปลอดภัยเพื่อผู้บริโภค
ด้วยมาตรฐานการผลิตที่ซีพีเอฟผลักดันให้เกษตรกรทุกคนดำเนินการมาโดยตลอด
ทำให้การผลิตเป็นไปอย่างมีขั้นตอน ถูกต้องตามหลักวิชาการ
มีหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ควบคุมให้ได้มาตรฐาน เช่น กรมปศุสัตว์
โดยทุกฟาร์มต้องผ่านมาตรฐานฟาร์มตามข้อกำหนดของกรมปศุสัตว์
จึงจะสามารถเลี้ยงหมูขุนเพื่อการบริโภคอย่างปลอดภัยได้
ทั้งปลอดจากการใช้สารเร่งการเจริญเติบโตใดๆ และปลอดจากโรคระบาดต่างๆ

...“ถือว่าเราเป็นต้นทางการผลิตเนื้อหมูคุณภาพให้ผู้บริโภค
จึงต้องเอาใจใส่ในกระบวนการผลิต เพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพ
และจะเน้นเรื่องการป้องกันโรคที่เข้มงวดที่ช่วยลดอัตราสูญเสียจากเรื่องโรค
เพราะเมื่อหมูอยู่สบายก็ไม่มีโรคและไม่ต้องใช้ยารักษา
ที่สำคัญคือทำตามมาตรฐานต่างๆที่บริษัทแนะนำ
ซึ่งเท่าที่ร่วมโครงการคอนแทรคฟาร์มมากว่า 3 ปี
ผลผลิตก็ดีขึ้นมาตลอด” บุญทุ่ม กล่าวอย่างภูมิใจ

....ที่สำคัญที่สมเกียรติฟาร์มนี้ไม่ได้มุ่งหวังเพียงแค่ผลกำไรจากการเลี้ยงหมู
แต่ยังมองเลยไปถึงการอยู่ร่วมกันกับชุมชนอย่างยั่งยืน
จึงเป็นที่มาของการนำเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้
โดยเฉพาะการใช้ระบบไบโอแก๊สมาบำบัดของเสียและน้ำเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิต

..ที่ช่วยเปลี่ยนขี้หมูที่เคยดูว่าไร้ค่าและเป็นปัญหาของชุมชนให้กลายเป็นแหล่งพลังงานสำคัญ
ที่ช่วยลดรายจ่ายให้กับสมเกียรติได้มากกว่า50%
จากที่เคยเสียค่าไฟถึงเดือนละกว่า 54,000 บาท
ปัจจุบันเขาจ่ายค่าไฟฟ้าทั้งเดือนละเพียง 27,000 บาท
เพราะขี้หมูที่ถูกนำเข้าระบบไบโอแก๊สแบบ Plug Flow ขนาดบ่อ 300 ลบ.ม.
สามารถสร้างก๊าซมีเทนที่นำไปเข้าเครื่องปันไฟแปลงก๊าซที่ได้เป็นกระแสไฟฟ้าใช้ภายในฟาร์ม
แถมยังนำแก๊สส่วนหนึ่งเข้าระบบท่อแก๊สรวมกับเพื่อนๆเกษตรกรในตำบลแพรกหา
กลายเป็นก๊าซหุงต้มลดค่าใช้จ่ายให้กับเพื่อนบ้านได้อีกด้วย

..."ขี้หมูทั้งหมดไม่มีทิ้งแม้แต่นิดเดียว
นอกจากแก๊สที่ได้ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้ฟาร์ม
ได้แก๊สหุงต้มให้เพื่อนบ้านแล้ว
กากขี้หมูที่ได้หลังจากผ่านระบบหมักแล้วเรายังดึกกากขึ้นมาตากขาย
เป็นปุ๋ยอินทรีย์ให้เพื่อนเกษตรกรสวนยาง สวนปาล์ม
เรียกว่าต้องจองล่วงหน้าทุกวันนี้แทบไม่พอขาย
ทำให้การเลี้ยงหมูขุน 2,200 ตัว รุ่นหนึ่งเลี้ยง 145-150 วัน
เรามีรายได้เสริมอีกราวๆ 49,000 บาท” สมเกียรติ กล่าว

....ส่วนน้ำหลังการบำบัดก็ไม่ทิ้งให้เปล่าประโยชน์
เพราะที่สมเกียรติฟาร์มเขายังแบ่งปันน้ำนี้ให้เพื่อนเกษตรที่ปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์
นำไปรดต้นหญ้าแบบฟรีๆ
ช่วยเพิ่มผลผลิตโดยไม่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยเคมี
ทำให้เพื่อนบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละกว่า 10,000 บาท

...“การตัดสินใจทิ้งอาชีพวิศวกร
ที่ทำมาเกือบตลอดชีวิตมาเป็นเกษตรกรเลี้ยงหมู เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
เป็นการเลือกที่ถูกต้อง
เพราะทุกๆ 5 เดือน ผมจะได้จับเงินล้าน
มีรายได้เฉลี่ยเดือนละประมาณ 2 แสนบาท
ที่สำคัญคือเราได้อยู่กับครอบครัว และมีเวลาค้นหาสิ่งใหม่
ศึกษาค้นคว้าเทคโนโลยีดีๆ มาปรับใช้กับอาชีพที่เป็นของเราเอง
ทุกวันนี้ผมบอกได้คำเดียวว่า มีความสุขกับอาชีพเกษตรกรที่สุดแล้ว” สมเกียรติ บอก

....ข้อสำคัญหนึ่งที่ทำให้สมเกียรติหันเข้ามาในระบบคอนแทรคฟาร์ม
เพราะบริษัทมีการทำสัญญาข้อตกลงไว้ตั้งแต่ต้นก่อนจะเริ่มโครงการ
ซึ่งจะระบุเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับ ผลผลิต ปริมาณ คุณภาพ ระยะเวลา
ตลอดจนมีการให้คำแนะนำทางวิชาการ การชดเชยค่าเสียหาย
โดยมีการจัดการเป็นระบบระเบียบชัดเจน
และซีพีเอฟก็จะมุ่งเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่บริษัทค้นคว้าพัฒนา
และได้รับการทดสอบแล้วว่าสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับเกษตรกรได้จริง
ขณะที่เกษตรกรอย่างเขาจะมุ่งมั่นใส่ใจในการผลิตให้ได้ตามมาตรฐาน
..ความสำเร็จจึงเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

....การส่งเสริมให้เกษตรกรมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตอาหารปลอดภัย
ที่ซีพีเอฟกำลังเดินหน้าดำเนินการอยู่นี้ก็เพื่อสร้างต้นทางอาหารที่ดีมีคุณภาพสู่ผู้บริโภค
และต้องชื่นชมเกษตรกรที่เปิดรับเทคโนโลยีและต่อยอดความสำเร็จอย่างไม่สิ้นสุด
เพื่อร่วมกันยกระดับภาคเกษตรของไทยด้วยทางหนึ่งนั่นเอง




สนับสนุนเนื้อหา  :  Matichon online
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่