นิยายพีเรียด อ่านกันเพื่อความบันเทิงครับ
........................
บทนำ
เรือลำนี้หรือ คือพาหนะนำพาหล่อนสู่หัตถ์แห่งมัจจุราช
เรือประทุนเก่าลอยลำอยู่ตรงหน้า เรือไม้สภาพผ่านวันเวลามายาวนาน รอยปริแตก และรอยปะบนประทุนเรือคล้ายเป็นเครื่องบ่งบอกว่านี่คือการเดินทางครั้งสุดท้าย
“ช่างเหมาะสมกับข้าเสียจริง” หล่อนรำพึงในใจ
หญิงสาวหลับตา พยายามฝืนไม่ให้น้ำตารื้น ไม่ต้องการให้ใครเห็นความอ่อนแอ สมเพชเวทนา ชะตากรรมของหล่อนถูกลิขิตไว้โดยไม่อาจเลือกกำหนดด้วยตนเอง และไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น
ผู้ที่หวังเป็นเพื่อนพึ่งยามยาก กลุ่มคนที่เคยรู้จัก ให้ความช่วยเหลือ ยามเมื่อภัยย่างกรายมาถึง ไมตรีที่เคยแสดงออกอย่างล้นปรี่กลับถูกเก็บซุกไว้ในหีบเหล็กลงกุญแจแน่นหนา เหลือเพียงสันดานเห็นแก่ตัวเปิดเผยออกมาแจ่มชัด
ฤๅนี่เป็นสัจธรรมของโลก ของเหล่ามนุษย์ชั่วร้าย ผู้ที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ในใจเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
“ดอญ่า...”
เสียงเรียกจากทหารหนุ่มข้างๆ เตือนหล่อนให้เดินหน้า ก้าวลงเรือประทุนคร่ำครึ
หล่อนมองเจ้าของคำเรียก นายทหารร่างใหญ่หนา ผมแดง ดวงตาสีน้ำตาล แต่งกายด้วยเชิ้ตขาวทับด้วยโค้ตสีน้ำเงิน สวมหมวกปักขนนก รองเท้าบู๊ตหนา ทว่าทั้งชุดเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่น เศษดิน และเชื้อรา น่าสังเวชนัก ทหารในเครื่องแบบทรงเกียรติแห่งองค์สุริยะราชผู้ยิ่งใหญ่จากดินแดนประจิมทิศ เพลานี้ดูคล้ายถูกห่อหุ้มด้วยเศษผ้าขี้ริ้วปูนอนของสุนัขขี้เรื้อนข้างทางในตลาดอโยธยา เหล่าทหารหาญที่เดินทางผ่านมหาสมุทรกว้างมาเพื่อเชิดชูเกียรติแห่งพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส และสถาปนาคริสต์ศาสนาในดินแดนนี้ กลับกลายเป็นเพียงควายป่าในท่ามกลางฝูงจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ฝูงควายยินยอมสังเวยหนึ่งให้ผู้ล่า เพื่อที่เหลือจะได้กลับไปเสวยสุขตามเดิม
“ล่วงเลยเวลามานานแล้วขอรับ ดอญ่า” ทหารแห่งองค์พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสเร่งรัดอีกครั้ง
“รู้แล้ว”
หล่อนตอบกลับไปห้วนๆ ไม่ปรารถนาได้รับความเห็นใจจากคนเหล่านี้
มาดามก็องสต็องซ์ค่อยๆ ก้าวขาอันเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลถลอก แม้ช่วงเวลาไม่กี่วันในป้อมเมืองบางกอก มีโอกาสชำระร่างกาย ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ทว่ายามนี้ หล่อนยังคงเลือกสวมใส่อาภรณ์เปรอะเปื้อนชุดเดิม เสื้อคอกว้าง กระโปรงชายลูกไม้ สีขาวของชุดถูกหม่นลงด้วยฝุ่นดิน มีร่องรอยขาดเล็กน้อย หมวกปีกประดับดอกลิลลีบนศีรษะแลดูไร้ชีวิตประหนึ่งดอกไม้จันทน์ซึ่งชาวสยามใช้ในงานศพ
แน่ละ มีเหตุผลใดเล่า ให้หล่อนต้องเลอโฉมเช่นวันวาน หาจำเป็นที่ต้องให้คนซึ่งรอคอยอยู่อโยธยาเห็นรูปโฉมงดงามตามที่ปรารถนา หล่อนยินดีตายไปด้วยสภาพนี้ แม้เป็นสภาพที่ตัวเองไม่เคยนึกฝัน กระนั้นหล่อนก็ยังปรารถนา
เสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยวัยใกล้ครบขวบปีท่าทางงัวเงีย ทำให้หล่อนโอบร่างน้อยให้กระชับขึ้น เอ่ยบอกเสียงเบาๆ
“เราจะได้กลับบ้านกันแล้วลูก” หล่อนลูบศีรษะบุตรชาย “เราจะได้กลับบ้านกันแล้ว”
มาดามก็องสต็องซ์อุ้มเด็กน้อยก้าวย่างลงเหยียบพื้นไม้เรือประทุน ยกมือจับหมวกไม่ให้แรงลมพัดพาให้หลุดลอย แนวต้นไม้ริมตลิ่งส่ายไหว เสมือนการโบกอำลาเป็นคราสุดท้าย
ใต้ประทุนเรือ เด็กน้อยหลับตาพริ้ม มารีมองแก้วตาดวงใจของตัวเอง มือหนึ่งลูบศีรษะแผ่วเบา ในมืออีกข้าง อัญมณีสีฟ้าก้อนกลมบนสายสร้อยสีเงิน วางนิ่งบนฝ่ามือ หล่อนหวนรำลึกถึงวันที่ได้รับ สิ่งของสำคัญ สิ่งที่หล่อนเคยตั้งใจว่าจะนำติดตัวไปตลอดชีวิต ของล้ำค่าที่เคยเป็นสิ่งแทนรัก แทนตัวของเขายามห่างไกล ทว่าวันนี้ดูเหมือนไร้ค่าแล้วสำหรับหล่อน
เรือลำน้อยค่อยๆ เคลื่อนที่ แหวกกระแสน้ำไหลเอื่อยเชื่องช้า ท่ามกลางความเงียบงันของสองฝั่งอันเต็มไปด้วยป่ารกชัฏ
หล่อนสูดหายใจลึก จ้องมองล็อคเก็ตอัญมณีบลูซัฟฟาย จำเป็นอีกฤๅที่ต้องเก็บไว้ สายธารคงช่วยดูดกลืนสิ่งนี้ไปพร้อมกับความทรงจำทั้งหมดทั้งมวล ทั้งดีและร้ายให้หายสิ้นจนลับตา พ้นไปจนสิ้นสูญ
หล่อนกอดเด็กน้อยไว้แน่น น้ำตาไหล บุตรชายคือสิ่งล้ำค่าสุดท้ายที่หล่อนยังอาลัย เขาบริสุทธิ์เกินกว่าจะรับรู้ผลแห่งความโง่เขลาของใครหลายๆ คน หล่อนประสงค์ให้พระเป็นเจ้าประทานโอกาสรอดให้เขาพ้นจากชะตากรรมเลวร้ายนี้ ประทานให้จอร์จได้อยู่ และเติบโตขึ้น หล่อนเคยวาดหวังว่าจะได้คอยแต่งตัว จัดปกคอเสื้อสูทของลูกชายก่อนเขาก้าวออกไปอย่างองอาจ ท่ามกลางผู้คนหลายหลากที่ต่างปรบมือต้อนรับในฐานะผู้เป็นที่ชื่นชม หากมีวันนั้นก็คงดี แม้ต้องยอมแลกด้วยความเจ็บปวดทรมานมากเพียงไรก็ตาม หล่อนก็ยินยอม
ทว่าความหวังที่ว่าเฉกเช่นแสงหิ่งห้อยหลงทางในป่ามืด
อย่างไรก็ตาม หากแม้นสิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าเป็นประสงค์จากพระเป็นเจ้า หล่อนก็พร้อมและยินดี อย่างน้อยในวาระสุดท้าย ตัวหล่อนจะได้ออกเดินทางไปสถิตอยู่กับพระองค์พร้อมกับแก้วตาดวงใจของตน
เรือล่องเอื่อยแหวกสายน้ำเป็นริ้วคลื่นบางเบา ริมตลิ่งมีแนวต้นจำปีเรียงรายเป็นทิวแถว ดอกงามร่วงหล่นไปจนสิ้นแล้ว ไม่มีหลงเหลือที่ยังสวยสดให้เห็น ไร้กลิ่นหอมให้สัมผัส เสมือนตอกย้ำชะตากรรม ชีวิตที่กำลังจะร่วงหล่นสูญสิ้นดังดอกจำปี
น้ำตาของหล่อนยังเอ่อคลอยามทอดสายตามองแนวไม้ริมตลิ่ง ห้วงคิดคำนึง ระลึกย้อน ชีวิตหล่อนเหมือนดอกจำปี เริ่มต้นผลิดอกงาม เบ่งบานสดสวย ก่อนร่วงโรยลงสู่พื้นธุลี
*****
<<<{นิยาย} ท้าวทองกีบม้า มหาสตรี หัวใจทรนง>>>
บทนำ
เรือลำนี้หรือ คือพาหนะนำพาหล่อนสู่หัตถ์แห่งมัจจุราช
เรือประทุนเก่าลอยลำอยู่ตรงหน้า เรือไม้สภาพผ่านวันเวลามายาวนาน รอยปริแตก และรอยปะบนประทุนเรือคล้ายเป็นเครื่องบ่งบอกว่านี่คือการเดินทางครั้งสุดท้าย
“ช่างเหมาะสมกับข้าเสียจริง” หล่อนรำพึงในใจ
หญิงสาวหลับตา พยายามฝืนไม่ให้น้ำตารื้น ไม่ต้องการให้ใครเห็นความอ่อนแอ สมเพชเวทนา ชะตากรรมของหล่อนถูกลิขิตไว้โดยไม่อาจเลือกกำหนดด้วยตนเอง และไม่อาจเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น
ผู้ที่หวังเป็นเพื่อนพึ่งยามยาก กลุ่มคนที่เคยรู้จัก ให้ความช่วยเหลือ ยามเมื่อภัยย่างกรายมาถึง ไมตรีที่เคยแสดงออกอย่างล้นปรี่กลับถูกเก็บซุกไว้ในหีบเหล็กลงกุญแจแน่นหนา เหลือเพียงสันดานเห็นแก่ตัวเปิดเผยออกมาแจ่มชัด
ฤๅนี่เป็นสัจธรรมของโลก ของเหล่ามนุษย์ชั่วร้าย ผู้ที่มีพระเจ้าสถิตอยู่ในใจเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
“ดอญ่า...”
เสียงเรียกจากทหารหนุ่มข้างๆ เตือนหล่อนให้เดินหน้า ก้าวลงเรือประทุนคร่ำครึ
หล่อนมองเจ้าของคำเรียก นายทหารร่างใหญ่หนา ผมแดง ดวงตาสีน้ำตาล แต่งกายด้วยเชิ้ตขาวทับด้วยโค้ตสีน้ำเงิน สวมหมวกปักขนนก รองเท้าบู๊ตหนา ทว่าทั้งชุดเปื้อนไปด้วยเศษฝุ่น เศษดิน และเชื้อรา น่าสังเวชนัก ทหารในเครื่องแบบทรงเกียรติแห่งองค์สุริยะราชผู้ยิ่งใหญ่จากดินแดนประจิมทิศ เพลานี้ดูคล้ายถูกห่อหุ้มด้วยเศษผ้าขี้ริ้วปูนอนของสุนัขขี้เรื้อนข้างทางในตลาดอโยธยา เหล่าทหารหาญที่เดินทางผ่านมหาสมุทรกว้างมาเพื่อเชิดชูเกียรติแห่งพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส และสถาปนาคริสต์ศาสนาในดินแดนนี้ กลับกลายเป็นเพียงควายป่าในท่ามกลางฝูงจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ฝูงควายยินยอมสังเวยหนึ่งให้ผู้ล่า เพื่อที่เหลือจะได้กลับไปเสวยสุขตามเดิม
“ล่วงเลยเวลามานานแล้วขอรับ ดอญ่า” ทหารแห่งองค์พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสเร่งรัดอีกครั้ง
“รู้แล้ว”
หล่อนตอบกลับไปห้วนๆ ไม่ปรารถนาได้รับความเห็นใจจากคนเหล่านี้
มาดามก็องสต็องซ์ค่อยๆ ก้าวขาอันเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลถลอก แม้ช่วงเวลาไม่กี่วันในป้อมเมืองบางกอก มีโอกาสชำระร่างกาย ผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ทว่ายามนี้ หล่อนยังคงเลือกสวมใส่อาภรณ์เปรอะเปื้อนชุดเดิม เสื้อคอกว้าง กระโปรงชายลูกไม้ สีขาวของชุดถูกหม่นลงด้วยฝุ่นดิน มีร่องรอยขาดเล็กน้อย หมวกปีกประดับดอกลิลลีบนศีรษะแลดูไร้ชีวิตประหนึ่งดอกไม้จันทน์ซึ่งชาวสยามใช้ในงานศพ
แน่ละ มีเหตุผลใดเล่า ให้หล่อนต้องเลอโฉมเช่นวันวาน หาจำเป็นที่ต้องให้คนซึ่งรอคอยอยู่อโยธยาเห็นรูปโฉมงดงามตามที่ปรารถนา หล่อนยินดีตายไปด้วยสภาพนี้ แม้เป็นสภาพที่ตัวเองไม่เคยนึกฝัน กระนั้นหล่อนก็ยังปรารถนา
เสียงอ้อแอ้ของเด็กน้อยวัยใกล้ครบขวบปีท่าทางงัวเงีย ทำให้หล่อนโอบร่างน้อยให้กระชับขึ้น เอ่ยบอกเสียงเบาๆ
“เราจะได้กลับบ้านกันแล้วลูก” หล่อนลูบศีรษะบุตรชาย “เราจะได้กลับบ้านกันแล้ว”
มาดามก็องสต็องซ์อุ้มเด็กน้อยก้าวย่างลงเหยียบพื้นไม้เรือประทุน ยกมือจับหมวกไม่ให้แรงลมพัดพาให้หลุดลอย แนวต้นไม้ริมตลิ่งส่ายไหว เสมือนการโบกอำลาเป็นคราสุดท้าย
ใต้ประทุนเรือ เด็กน้อยหลับตาพริ้ม มารีมองแก้วตาดวงใจของตัวเอง มือหนึ่งลูบศีรษะแผ่วเบา ในมืออีกข้าง อัญมณีสีฟ้าก้อนกลมบนสายสร้อยสีเงิน วางนิ่งบนฝ่ามือ หล่อนหวนรำลึกถึงวันที่ได้รับ สิ่งของสำคัญ สิ่งที่หล่อนเคยตั้งใจว่าจะนำติดตัวไปตลอดชีวิต ของล้ำค่าที่เคยเป็นสิ่งแทนรัก แทนตัวของเขายามห่างไกล ทว่าวันนี้ดูเหมือนไร้ค่าแล้วสำหรับหล่อน
เรือลำน้อยค่อยๆ เคลื่อนที่ แหวกกระแสน้ำไหลเอื่อยเชื่องช้า ท่ามกลางความเงียบงันของสองฝั่งอันเต็มไปด้วยป่ารกชัฏ
หล่อนสูดหายใจลึก จ้องมองล็อคเก็ตอัญมณีบลูซัฟฟาย จำเป็นอีกฤๅที่ต้องเก็บไว้ สายธารคงช่วยดูดกลืนสิ่งนี้ไปพร้อมกับความทรงจำทั้งหมดทั้งมวล ทั้งดีและร้ายให้หายสิ้นจนลับตา พ้นไปจนสิ้นสูญ
หล่อนกอดเด็กน้อยไว้แน่น น้ำตาไหล บุตรชายคือสิ่งล้ำค่าสุดท้ายที่หล่อนยังอาลัย เขาบริสุทธิ์เกินกว่าจะรับรู้ผลแห่งความโง่เขลาของใครหลายๆ คน หล่อนประสงค์ให้พระเป็นเจ้าประทานโอกาสรอดให้เขาพ้นจากชะตากรรมเลวร้ายนี้ ประทานให้จอร์จได้อยู่ และเติบโตขึ้น หล่อนเคยวาดหวังว่าจะได้คอยแต่งตัว จัดปกคอเสื้อสูทของลูกชายก่อนเขาก้าวออกไปอย่างองอาจ ท่ามกลางผู้คนหลายหลากที่ต่างปรบมือต้อนรับในฐานะผู้เป็นที่ชื่นชม หากมีวันนั้นก็คงดี แม้ต้องยอมแลกด้วยความเจ็บปวดทรมานมากเพียงไรก็ตาม หล่อนก็ยินยอม
ทว่าความหวังที่ว่าเฉกเช่นแสงหิ่งห้อยหลงทางในป่ามืด
อย่างไรก็ตาม หากแม้นสิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้าเป็นประสงค์จากพระเป็นเจ้า หล่อนก็พร้อมและยินดี อย่างน้อยในวาระสุดท้าย ตัวหล่อนจะได้ออกเดินทางไปสถิตอยู่กับพระองค์พร้อมกับแก้วตาดวงใจของตน
เรือล่องเอื่อยแหวกสายน้ำเป็นริ้วคลื่นบางเบา ริมตลิ่งมีแนวต้นจำปีเรียงรายเป็นทิวแถว ดอกงามร่วงหล่นไปจนสิ้นแล้ว ไม่มีหลงเหลือที่ยังสวยสดให้เห็น ไร้กลิ่นหอมให้สัมผัส เสมือนตอกย้ำชะตากรรม ชีวิตที่กำลังจะร่วงหล่นสูญสิ้นดังดอกจำปี
น้ำตาของหล่อนยังเอ่อคลอยามทอดสายตามองแนวไม้ริมตลิ่ง ห้วงคิดคำนึง ระลึกย้อน ชีวิตหล่อนเหมือนดอกจำปี เริ่มต้นผลิดอกงาม เบ่งบานสดสวย ก่อนร่วงโรยลงสู่พื้นธุลี