คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ส่วนตัวเป็นเด็กนักเรียน year 11 เรียนอยู่โรงเรียนในอังกฤษ มีความใฝ่ฝันว่าอยากจะเดินสายเรียนแพทย์มาตั้งแต่เด็ก เมื่อช่วงอยู่ประถมที่อยู่เมืองไทยก็มีเรียนพิเศษบ้าง จะเป็นคุมองคิดเลขเร็วอย่างเดียวเพราะว่าส่วนตัวเราเข้าใจเนื้อหาที่สอนในห้องเรียน เลยไม่เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเรียนพิเศษอื่นๆเพิ่มเติมค่ะ
มาอยู่ที่นี้ตั้งแต่year5 จนตอนนี้จะจบ secondary school แล้ว ไม่เคยเห็นเพื่อนคนไหนไปเรียนพิเศษนอกเวลาเลย เพราะว่าที่นี้ไม่มีโรงเรียนสอนเรียนพิเศษ (ใน ลอนดอนเป็นไปได้ว่าอาจจะมี แต่ส่วนตัวไม่เคยเห็นค่ะ เผอิญอยู่บ้านนอก หุหุ)
ตอนอยู่เมืองไทยก็ถูกโรงเรียนส่งไปแข่งวิทย์ คณิต และ ได้เป็นที่หนึ่งของห้องอยู่บ่อยๆ ( ต้องการจะบอกว่าเป็นคนเรียนได้อยู่ ไม่ได้มีเจตนาจะโม้หรือ กร่างแต่อย่างใดน่ะจ้า) พอมาเข้าเรียนระบบการศึกษาที่นี้ซึ่งในชั้นประถมนั้น ตามหลังไทยอยู่เยอะมาก (หรือเมืองไทยอัดเยอะเกินไปก็มิอาจบอกได้) โดยเฉพาะเลข แต่ด้วยความที่การศึกษาไทยอัดให้เด็กทำงานและการบ้านอยู่ตลอดเวลา เรารู้สึกว่าในส่วนนึงมันเป็นเรื่องดีเพราะว่าสมองเราได้ถูกลับให้คมอยู่ตลอดเวลา
เวลาล่วงเลยมาถึงประมาณyear 8 - 9 เรารู้สึกว่าความสามารถในการคิดเลขเร็วของเรามันถดถ่อยไปเยอะมาก วิทย์ที่เคยนำโด่งมาตลอดกลับตกลงมาระดับปานกลาง เพราะทุกอย่างที่ทำในรรมันง่ายไปหมด ไม่มีใครมาผลักดันเราให้ทำนู้นนี้นั้นเยอะๆอยู่ตลอดเวลา เลยไปปรึกษาแม่ว่าอยากได้แบบฝึกหัดมาทำ อยากเรียนเพิ่มเหมือนสมัยก่อน ไปเดินหาทุกร้านหนังสือกลับไม่มีแบบฝึกหัดให้ทำเลย โรงเรียนสอนเรียนพิเศษก็ไม่มี
บวกกับภาษาอังกฤษซึ่งไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา ทำให้เรารู้สึกว่าความรู้ความสามารถเรามันถูกlimit และเราไม่สามารถโชว์ศักรยภาพที่แท้จริงของเราออกมาได้. ขึ้น Year 9 สอบเลขครั้งแรกได้ D เราตกใจมากพอไปคุยกัยครูครูบอกว่า ก็ predicted grade เธอมันก็แค่ C (grade นี้มาจากข้อสอบตอนyear 6 ซึ่งรรประถมจะส่งต่อมาให้รรมัธยมเพื่อประเมิณดูว่าเด็กคนนี้ดูมีศักรภาพมากน้อยแค่ไหน ซึ่งตอนนั้นภาษา เราก็ยังไม่ได้ ทำข้อสอบไปก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง) เราโกรธมากเพราะรู้ตัวว่าสามารถทำได้ดีกว่านี้ เราเลยหันมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเองที่บ้าน โหลดแอพเกมคิดเลขเร็วมาเล่น ตั้งใจในห้องมากขึ้น จนมาวันนี้ เราสอบ gcse mathematics ไปแล้ว ได้ A* และวิทย์ก็สอบได้ A* มาตลอดเช่นกัน
ขออภัยที่เขียนมายาวยืดขนาดนี้น้ะคะ 555 แต่อยากจะบอกว่าเรียนที่นี้ การพึ่งตัวเองสำคัญที่สุด รรสอนพิเศษไม่มี บางคนอาจจะมีtutorพิเศษไปสอนที่บ้าน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำอย่างนั้น ส่วนตัวเราเองไม่ได้ความช่วยเหลือนอกห้องเรียนเลย พึ่งการตัดสินใจของตัวเองว่าเราดีพอหรือยัง ถ้ายัง ก็ดูว่าไม่เข้าใจตรงไหน และหาในเน็ตเพิ่มเอง อ่านหนังสือเพิ่ม จนกว่าจะเข้าใจค่ะ บางทีเราเคยคิดว่า รร เอกชนของที่นี้คงจะดันเด็กมากกว่านี้ แม่ก็บอกว่าถ้าอยากไปแม่จะส่งไปเอง แต่เราบอกว่าไม่ ถึงรรเราจะเป็นรรรัฐบาลเล็กๆ แต่ทุกที่ก็ต้องมีstandard เท่ากันสิ ครูก็ต้องสอนเนื้อหาเดียวกัน ถึงอาจจะไม่ได้มีใครมาช่วยสนันสนุนให้สอบง่ายผ่านฉลุยขนาดนั้น แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง เราไม่ง้อใครแล้วหันมาขยันขึ้นเอง จนวันนี้ก็อยู่ในระดับที่มีความเป็นไปได้ ณ จุด นี้ที่จะเข้า medicine ในมหาลัยต่อไป
สุดท้ายแล้วคนที่จะเข้าเรียนสาขาวิชายากๆ อย่างแพทย์ หรือ วิศวะ ในมหาลัยที่นี้ ทุกคนล้วนต้องฝึกฝนและหาทางด้วยตัวเองจนมาจะมาถึงจุดนี้ได้ เพราะรรไม่ให้เด็กเรียนหนักเลยจริงๆค่ะ มันแสดงให้เขาเห็นว่าเรามีความรับผิดชอบต่อตัวเอง และมีความตั้งใจจริงเพราะขนาดไม่มีตัวช่วย เราก็ยังฝ่าฟันมาได้จนถึงจุดนี้ด้วยตัวของเราเอง ดังนั้นจุดนี้จะทำให้เขารู้ว่าคนๆนี้จะสามารถเป็นหมอ วิศวะ etc. ที่ดีได้ในอนาคตจริงๆ
มาอยู่ที่นี้ตั้งแต่year5 จนตอนนี้จะจบ secondary school แล้ว ไม่เคยเห็นเพื่อนคนไหนไปเรียนพิเศษนอกเวลาเลย เพราะว่าที่นี้ไม่มีโรงเรียนสอนเรียนพิเศษ (ใน ลอนดอนเป็นไปได้ว่าอาจจะมี แต่ส่วนตัวไม่เคยเห็นค่ะ เผอิญอยู่บ้านนอก หุหุ)
ตอนอยู่เมืองไทยก็ถูกโรงเรียนส่งไปแข่งวิทย์ คณิต และ ได้เป็นที่หนึ่งของห้องอยู่บ่อยๆ ( ต้องการจะบอกว่าเป็นคนเรียนได้อยู่ ไม่ได้มีเจตนาจะโม้หรือ กร่างแต่อย่างใดน่ะจ้า) พอมาเข้าเรียนระบบการศึกษาที่นี้ซึ่งในชั้นประถมนั้น ตามหลังไทยอยู่เยอะมาก (หรือเมืองไทยอัดเยอะเกินไปก็มิอาจบอกได้) โดยเฉพาะเลข แต่ด้วยความที่การศึกษาไทยอัดให้เด็กทำงานและการบ้านอยู่ตลอดเวลา เรารู้สึกว่าในส่วนนึงมันเป็นเรื่องดีเพราะว่าสมองเราได้ถูกลับให้คมอยู่ตลอดเวลา
เวลาล่วงเลยมาถึงประมาณyear 8 - 9 เรารู้สึกว่าความสามารถในการคิดเลขเร็วของเรามันถดถ่อยไปเยอะมาก วิทย์ที่เคยนำโด่งมาตลอดกลับตกลงมาระดับปานกลาง เพราะทุกอย่างที่ทำในรรมันง่ายไปหมด ไม่มีใครมาผลักดันเราให้ทำนู้นนี้นั้นเยอะๆอยู่ตลอดเวลา เลยไปปรึกษาแม่ว่าอยากได้แบบฝึกหัดมาทำ อยากเรียนเพิ่มเหมือนสมัยก่อน ไปเดินหาทุกร้านหนังสือกลับไม่มีแบบฝึกหัดให้ทำเลย โรงเรียนสอนเรียนพิเศษก็ไม่มี
บวกกับภาษาอังกฤษซึ่งไม่ใช่ภาษาแม่ของเรา ทำให้เรารู้สึกว่าความรู้ความสามารถเรามันถูกlimit และเราไม่สามารถโชว์ศักรยภาพที่แท้จริงของเราออกมาได้. ขึ้น Year 9 สอบเลขครั้งแรกได้ D เราตกใจมากพอไปคุยกัยครูครูบอกว่า ก็ predicted grade เธอมันก็แค่ C (grade นี้มาจากข้อสอบตอนyear 6 ซึ่งรรประถมจะส่งต่อมาให้รรมัธยมเพื่อประเมิณดูว่าเด็กคนนี้ดูมีศักรภาพมากน้อยแค่ไหน ซึ่งตอนนั้นภาษา เราก็ยังไม่ได้ ทำข้อสอบไปก็รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง) เราโกรธมากเพราะรู้ตัวว่าสามารถทำได้ดีกว่านี้ เราเลยหันมาหาข้อมูลเพิ่มเติมเองที่บ้าน โหลดแอพเกมคิดเลขเร็วมาเล่น ตั้งใจในห้องมากขึ้น จนมาวันนี้ เราสอบ gcse mathematics ไปแล้ว ได้ A* และวิทย์ก็สอบได้ A* มาตลอดเช่นกัน
ขออภัยที่เขียนมายาวยืดขนาดนี้น้ะคะ 555 แต่อยากจะบอกว่าเรียนที่นี้ การพึ่งตัวเองสำคัญที่สุด รรสอนพิเศษไม่มี บางคนอาจจะมีtutorพิเศษไปสอนที่บ้าน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ทำอย่างนั้น ส่วนตัวเราเองไม่ได้ความช่วยเหลือนอกห้องเรียนเลย พึ่งการตัดสินใจของตัวเองว่าเราดีพอหรือยัง ถ้ายัง ก็ดูว่าไม่เข้าใจตรงไหน และหาในเน็ตเพิ่มเอง อ่านหนังสือเพิ่ม จนกว่าจะเข้าใจค่ะ บางทีเราเคยคิดว่า รร เอกชนของที่นี้คงจะดันเด็กมากกว่านี้ แม่ก็บอกว่าถ้าอยากไปแม่จะส่งไปเอง แต่เราบอกว่าไม่ ถึงรรเราจะเป็นรรรัฐบาลเล็กๆ แต่ทุกที่ก็ต้องมีstandard เท่ากันสิ ครูก็ต้องสอนเนื้อหาเดียวกัน ถึงอาจจะไม่ได้มีใครมาช่วยสนันสนุนให้สอบง่ายผ่านฉลุยขนาดนั้น แต่ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง เราไม่ง้อใครแล้วหันมาขยันขึ้นเอง จนวันนี้ก็อยู่ในระดับที่มีความเป็นไปได้ ณ จุด นี้ที่จะเข้า medicine ในมหาลัยต่อไป
สุดท้ายแล้วคนที่จะเข้าเรียนสาขาวิชายากๆ อย่างแพทย์ หรือ วิศวะ ในมหาลัยที่นี้ ทุกคนล้วนต้องฝึกฝนและหาทางด้วยตัวเองจนมาจะมาถึงจุดนี้ได้ เพราะรรไม่ให้เด็กเรียนหนักเลยจริงๆค่ะ มันแสดงให้เขาเห็นว่าเรามีความรับผิดชอบต่อตัวเอง และมีความตั้งใจจริงเพราะขนาดไม่มีตัวช่วย เราก็ยังฝ่าฟันมาได้จนถึงจุดนี้ด้วยตัวของเราเอง ดังนั้นจุดนี้จะทำให้เขารู้ว่าคนๆนี้จะสามารถเป็นหมอ วิศวะ etc. ที่ดีได้ในอนาคตจริงๆ
แสดงความคิดเห็น
ที่บอกว่าพวกฝรั่งเรียนไม่หนัก แล้วพวกฝรั่งที่อยากเป็นหมอ หรือวิศวกร หรือนักบัญชี พวกนี้เรียนพิเศษรึเปล่าครับ
อยากรู้ครับ พวกฝรั่งที่อยากเป็นหมอ มันใช้ชีวิตยังไง อ่านหนังสือ ติวหนังสือ เหมือนกับประเทศไทยรึเปล่า