สวัสดีค่ะ วันนี้อยู่ดีๆก็นึกถึงนักเตะคนนึงขึ้นมา เลยลองไปติดตามข่าวคราวล่าสุดของเขาดู เลยลองเขียนโพสต์นี้ขึ้นมา
เราจะเฉลยตอนท้ายนะคะว่าเป็นใคร อยากให้ลองอ่านแล้วเดากันก่อนว่าเป็นใคร และคุณทราบตั้งแต่บรรทัดไหนว่าเป็นนักเตะคนนี้
เราไม่รู้ฉายาเค้าจริงๆคืออะไร แต่ขอตั้งว่า จอมฉาวนะคะ
ยาวเลเวล B (6,000 ตัวอักษร) พร้อมแล้วไปโลด!
มีนักเตะคนนึง ที่เราได้ยินชื่อเสียงมาก่อนหน้าตา ตอนนั้นเราได้ยินชื่อหมอนี่บ่อยมาก ทั้งที่ไม่ใช่นักเตะในทีมที่เราเชียร์
หนึ่ง. เพราะชื่อแปลก
สอง. เพราะย้ายมาอยู่ทีมที่กำลังโด่งดัง
ชื่อของเขาถูกพูดออกอากาศอยู่บ่อยๆ เราเองได้ยินชื่อของเขามากกว่าได้อ่านจากหนังสือพิมพ์หรือเว็ปไซต์ สมัยที่สื่อทีวียังเป็นสื่อหลักที่เราใช้ติดตามข่าวกีฬา
ราคาของเขาในตอนนั้นคือ หลัก 20 ล้านยูโร จากซีรี่ เอ มาพรีเมียร์ลีก และยังไม่ใช่นักเตะขั้นเวิร์ลด คลาส ราคานี้จึงถือว่าเป็นราคาที่แพงบรรลัย
คนคาดหวัง
และเขาไม่ทำให้ผิดหวัง
นักเตะคนนี้เริ่มต้นฤดูกาลให้ทีมต้นสังกัดด้วยความน่าประทับใจ เขายิง 4 ประตูใน 3 นัดแรกที่ลงเล่นให้ทีม ด้วยชื่อเสียงที่ยังไม่เป็นที่รู้จักนักในอังกฤษ (หมอนี่โด่งดังมากในอิตาลี) การยิงสนั่นตั้งแต่เริ่มฤดูกาล เป็นเวทีเปิดตัวที่งดงามสำหรับเขา ผู้คนจำชื่อสั้นๆของเขาได้ในทันที บวกกับหน้าตาที่จัดว่าหล่อพอไปวัดวาได้ เขาโด่งดังในอังกฤษได้ไม่ยากเลย
แต่ชื่อเสียงมีอยู่แค่เพียงช่วงสั้นๆเหลือเกิน
ที่เหลือคือชื่อเสีย
เขาจบฤดูกาลแรกกับต้นสังกัดด้วยผลประตูที่ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก หากฤดูกาลแรกว่าแย่แล้ว ฤดูกาลต่อมา ก็ต้องเรียกว่าเลวร้าย
เขาถูกจับได้ว่าเสพโคเคน ในปีที่ 2 ในอังกฤษ...
แน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องร้ายแรงอันดับต้นๆในชีวิตนักกีฬา (อันที่จริงก็ชีวิตของคนทุกคนนั่นแหละ) สโมสรตัดหางปล่อยวัดทันที หนำซ้ำยังเรียกค่าปรับจนแทบหมดตัว ข้อหาผิดสัญญากับสโมสร (ซื้อมาแพงแต่ใช้งานได้แค่ปีเดียว)
ปัญหาเรื่องสัญญา - ค่าปรับ - พี้ยา - ย้ายทีม ของเขาคาราคาซังอยู่พักนึง หลังจากขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่หลายครั้งหลายหน ที่สุดแล้ว เขาก็กลับไปตายรังในอิตาลี คราวนี้เป็นทีมยักษ์ใหญ่อย่าง ยูเวนตุส ที่สนใจดึงตัวไปร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว แต่เพราะติดกฏโควต้านักเตะยุโรป และ ตัวนักเตะยังติดโทษแบนคดีพบสารเสพย์ติด (แบน 7 เดือน) ทำให้ยูเว่ หาทางลงแบบเกร๋ๆ ด้วยการปล่อยตัวเขายืมไปลิเวอร์โน่
เมื่อเขากลับมาอิตาลี มันเหมือนจะดีขึ้น แต่ปัญหาที่เขาก่อในอังกฤษก็ตามมาอีกจนได้ เมื่อเชลซี สั่งเรียกค่าปรับเพิ่มเติ่ม จนศาลพิจารณาให้ ทั้ง ยูเว่ และ ลิเวอร์โน่ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าว ในฐานะที่รับตัวนักเตะไปร่วมทีม (แบบที่คิดว่ากะจะคว้าของฟรี)
**คดีและการยื่นอุทรธ์นี้ยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ปี 2006 จนคดีสิ้นสุดตอนปี 2013 คือ ทั้งสองสโมสรต้องจ่ายค่าชดเชยให้เชลซีเป็นเงิน 17 ลย.**
ด้วยความที่มีฝีมืออยู่แล้ว เขาไม่ต้องปรับตัวมากมายกับบอลอิตาลี ลีกที่สร้างชื่อของเขา
ยูเว่ฯ อาจไม่ใช่เวทีที่ทำให้เขากลับมาโด่งดังอีกครั้ง แต่เป็นแค่ด่านแรกในการทวงบัลลังก์นักฆ่าหน้าหยกแห่งกัลโช่ ที่ที่ทำให้เขากลับมาระเบิดฟอร์มได้อีกครั้งคือ "ม่วงมหากาฬ - เดอะ วิโอล่า" ฟิออเรนติน่า
เขาย้ายจากยูเว่ฯมายัง ฟิออเรนติน่า หลายคนพยายามทำใจลืมเรื่องความประพฤติที่ไม่ค่อยดีนักของเขาก่อนหน้านี้ อาจเพราะฟอร์มในสนามทำให้แฟนๆให้อภัยเขาได้ง่ายขึ้น และยังเป็นเพราะ เขาได้กลับมาร่วมงานกับโค้ชที่ปลุกปั้นเขามาสมัยยังเป็นนักเตะวัยละอ่อน
เซซาเร่ ปรันเดลี่ ไม่ทำให้แฟนๆม่วงมหากาฬผิดหวัง เขาขุดฟอร์มนักเตะจอมฉาวขึ้นมาได้อีกครั้ง หนนี้มันต้องสวยงามแน่นอน เขาระเบิดประตูเป็นว่าเล่น โด่งดังพร้อมกับคู่หูของทีมในตอนนั้น อย่าง ลูก้า โทนี่ พวกเขายิงประตูกันระเบิดเทิดเทิง จบฤดูกาลแรกกับ ฟิออฯ ด้วยตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยม
หน้าที่การงานเขามีแต่ดีขึ้น ยิงประตูได้เรื่อยๆ ทำสถิติผ่านเกมสำคัญกับสโมสรมากมาย มีทั้งเพลงเชียร์ ทั้งฉายาที่แฟนๆตั้งให้ด้วยความสเน่ห์หา และยังแสดงความภักดีด้วยการปฏิเสธ โรม่า ที่ยื่นดีลซื้อตัวเขาเข้ามาด้วยราคามหาศาล และเลือกอยู่กับทีมต่อ ทั้งยังโปรยคำหวานว่า
"เขาจะแขวนสตั๊ดที่นี่แน่นอน"
แค่ปีเดียวเท่านั้นหลังจากที่เขาพูดคำนั้น ฤดูกาลที่ 3 ของเขากับฟิออเรนติน่า ฝันร้ายมาเยือนอีกครั้ง
เขาตรวจโด๊ปไม่ผ่าน
เหมือนฟ้าผ่ากลางใจแฟนๆ แต่คดีนี้นักเตะหน้าหยกขวัญใจแฟนๆยังพอเถียงขึ้นอยู่บ้าง โดยเขาอ้างว่า เขาแค่ "กินยาลดความอ้วน" เท่านั้น ซึ่งเขาไม่รู้มาก่อนว่า ยาที่เขากินจะมีสารประกอบที่ผิดกฏหมาย (บนฉลากยาไม่แจ้ง ต้องตรวจหลายขั้นตอนถึงพบ ซึ่งตัวยาก็ไม่มีฤทธิ์กระตุ้นความเก่งกาจอะไร แต่ถ้าได้รับปริมาณมากจะเป็นอันตรายต่อหัวใจ จึงถูกสั่งห้ามจำหน่ายในยุโรป) เคสนี้ แฟนๆค่อนข้างเชื่อใจว่าเขาไม่เจตนา แต่ผลตรวจชัดเจน เขาจึงถูกแบนอีกครั้ง โดยหนนี้ นานถึง 9 เดือน (ลดลงจาก 1 ปี) หลังพ้นโทษแบน ดูเหมือนอะไรๆก็ไม่เวิร์คซะแล้ว เมื่อเขาตัดสินใจอำลา "ม่วงมหากาฬ" ในที่สุด
อันที่จริงนอกจากฟอร์มบนสนามแล้ว ชีวิตนอกสนามของเขา ก็ไม่ดีเท่าไรนักจริงๆ นอกจากเรื่องสารกระตุ้น ยังมีเรื่อง มีปัญหาในสนามซ้อม และ ทะเลาะวิวาทในผับ
สุดท้าย เขาก็ขอไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับ เซเชน่า ทีมร่วมลีกกัลโช่ในขณะนั้น
ขณะนั้นเขาอายุ 32 แล้ว ถือเป็นบั้นปลายอาชีพเต็มที แต่เขาก็ยังรักษาฟอร์มบนสนามได้ดี แม้ยิงไม่มากเท่าเก่า แต่ก็ยังมีสกอร์ให้ชื่นใจ จบฤดูกาล เชเซ่น่าตกชั้น เขาก็โบกมืออำลาสโมสรในอิตาลี แล้วไป เริ่มต้นใหม่ (อีกแล้ว) ที่ฝรั่งเศส
ปี 2012 เป็นปีที่ ลีกเอิงกลับมาคึกคักด้วยการที่ สโมสรที่พึ่งผ่านการรีบูทอย่าง ปารีส แซง เชกเมงต์ ขนสตาร์ดังๆมาร่วมทีมจนเป็นที่ฮือฮา กับอดีตนักเตะที่เคยสร้างชื่อแบบเขา ก็ถือว่าน่าท้าทายอยู่ไม่น้อยในการเริ่มต้นใหม่ที่ฝรั่งเศส
ขณะนั้นชื่อของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิค เป็นที่โด่งดังในระดับโลก ทั้งสไตล์การเล่น ทัศนคติทางฟุตบอล การมีปัญหากับโค้ช และ การย้ายทีมเป็นว่าเล่น ตลอดอาชีพค้าแข้ง รวมทั้งอายุที่ใกล้เคียงกัน ดูแล้ว เขาทั้งคู่ก็มีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง
แต่ถ้าเทียบกันตามคดีความบนชั้นศาล ซลาตันแทบจะกลายเป็นเด็กเรียนไปเลย
แม้หน้าตาและรูปร่างภายนอกของทั้งคู่ แทบจะสลับบทบาทกันได้สบาย แต่นี่ก็เป็นตัวอย่างของคำกล่าวที่ว่า เราไม่อาจตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกได้เลย
ในฝรั่งเศส เหมือนทุกอย่างจะจบลงแล้ว เขามาอยู่ในทีมที่ไม่ได้โด่งดังอะไรนักแบบ อาจักซิโอ แต่เรื่องราวชีวิตของเขามันยังไม่สิ้นสุดเท่านั้น
ปลายปี 2013 ทีมชาติของเขามีแข่งรอบเพลย์ออฟไปบอลโลกที่บราซิลกับกรีซ
นักเตะคนดังหวังว่าเขาจะได้ลงเล่น แต่โค้ชตัดสินใจตัดชื่อเขาออก นั่นทำให้เขา นึกอะไรแผลงๆ โพสต์รูปล้อเลียนโค้ชลงบนเฟซบุ๊คตัวเอง .. รูปมันค้างอยู่บนโลกโซเชียลไม่นาน เขานึกได้และลบออก แต่มันก็นานพอให้มีคนเซฟและส่งต่อ การกระทำแผลงๆนั่น ส่งผลให้เขา ถูกแบนจากทีมชาติ "ตลอดชีวิต" ทันที
แน่นอนว่า ในวัย 34 สำหรับเขา มันอาจไม่ใช่เรื่องเสียประโยชน์อะไรนัก เขาอายุมากพอสมควรแล้ว อันที่จริงน่าจะประกาศรีไทร์ไปแล้วด้วยซ้ำ การไม่ได้เล่นทีมชาติอาจไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางทวงกลับมาได้คือ เกียรติยศสำหรับนักฟุตบอลคนหนึ่ง เขาได้ปล่อยโอกาสอำลาทีมชาติอย่างมีเกียรติไปแล้ว
โอกาสและชื่อเสียงเพียง อย่างเดียวที่เขาสามารถรักษาไว้ได้ในฐานะนักฟุตบอล ทั้งที่เขาเคยทำประตูมากมายในทีมชาติมาตั้งแต่อายุ 16 ยิงประตูได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนนัดที่ลงเล่น
ชีวิตหลังจากนั้น ไม่มีอะไรน่าพูดถึงนัก .. เขากลับไปเล่นในสโมสรเล็กๆที่บ้านเกิด ล่าสุดเล่นให้ลีกในอินเดีย และยังมีคิวเล่นหนังบ้างตามโอกาส โดดไปโผล่ตาม Music Video ด้วยเป็นบางหน
จนตอนนี้คนอาจลืมไปแล้วว่า เขาเคยถูกจดจำในฐานะ นักเตะหน้าหล่อที่ระเบิดฟอร์ม ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก หนึ่งในกองหน้าที่ได้รับการขนานนามว่า โดดเด่นที่สุดแห่งยุค และ มีชื่อเสียงมากพอๆกับชื่อเสีย
เราหวังว่าคุณจะจำเขาได้
หอกเลือดรอม
อาเดรียน มูตู : Adrian Mutu
ON FIELD #1 : นักเตะที่คุณคงคิดถึง ... "จอมฉาว"
เราจะเฉลยตอนท้ายนะคะว่าเป็นใคร อยากให้ลองอ่านแล้วเดากันก่อนว่าเป็นใคร และคุณทราบตั้งแต่บรรทัดไหนว่าเป็นนักเตะคนนี้
เราไม่รู้ฉายาเค้าจริงๆคืออะไร แต่ขอตั้งว่า จอมฉาวนะคะ
ยาวเลเวล B (6,000 ตัวอักษร) พร้อมแล้วไปโลด!
มีนักเตะคนนึง ที่เราได้ยินชื่อเสียงมาก่อนหน้าตา ตอนนั้นเราได้ยินชื่อหมอนี่บ่อยมาก ทั้งที่ไม่ใช่นักเตะในทีมที่เราเชียร์
หนึ่ง. เพราะชื่อแปลก
สอง. เพราะย้ายมาอยู่ทีมที่กำลังโด่งดัง
ชื่อของเขาถูกพูดออกอากาศอยู่บ่อยๆ เราเองได้ยินชื่อของเขามากกว่าได้อ่านจากหนังสือพิมพ์หรือเว็ปไซต์ สมัยที่สื่อทีวียังเป็นสื่อหลักที่เราใช้ติดตามข่าวกีฬา
ราคาของเขาในตอนนั้นคือ หลัก 20 ล้านยูโร จากซีรี่ เอ มาพรีเมียร์ลีก และยังไม่ใช่นักเตะขั้นเวิร์ลด คลาส ราคานี้จึงถือว่าเป็นราคาที่แพงบรรลัย
คนคาดหวัง
และเขาไม่ทำให้ผิดหวัง
นักเตะคนนี้เริ่มต้นฤดูกาลให้ทีมต้นสังกัดด้วยความน่าประทับใจ เขายิง 4 ประตูใน 3 นัดแรกที่ลงเล่นให้ทีม ด้วยชื่อเสียงที่ยังไม่เป็นที่รู้จักนักในอังกฤษ (หมอนี่โด่งดังมากในอิตาลี) การยิงสนั่นตั้งแต่เริ่มฤดูกาล เป็นเวทีเปิดตัวที่งดงามสำหรับเขา ผู้คนจำชื่อสั้นๆของเขาได้ในทันที บวกกับหน้าตาที่จัดว่าหล่อพอไปวัดวาได้ เขาโด่งดังในอังกฤษได้ไม่ยากเลย
แต่ชื่อเสียงมีอยู่แค่เพียงช่วงสั้นๆเหลือเกิน
ที่เหลือคือชื่อเสีย
เขาจบฤดูกาลแรกกับต้นสังกัดด้วยผลประตูที่ไม่เป็นที่น่าพอใจนัก หากฤดูกาลแรกว่าแย่แล้ว ฤดูกาลต่อมา ก็ต้องเรียกว่าเลวร้าย
เขาถูกจับได้ว่าเสพโคเคน ในปีที่ 2 ในอังกฤษ...
แน่นอนว่า นี่เป็นเรื่องร้ายแรงอันดับต้นๆในชีวิตนักกีฬา (อันที่จริงก็ชีวิตของคนทุกคนนั่นแหละ) สโมสรตัดหางปล่อยวัดทันที หนำซ้ำยังเรียกค่าปรับจนแทบหมดตัว ข้อหาผิดสัญญากับสโมสร (ซื้อมาแพงแต่ใช้งานได้แค่ปีเดียว)
ปัญหาเรื่องสัญญา - ค่าปรับ - พี้ยา - ย้ายทีม ของเขาคาราคาซังอยู่พักนึง หลังจากขึ้นโรงขึ้นศาลอยู่หลายครั้งหลายหน ที่สุดแล้ว เขาก็กลับไปตายรังในอิตาลี คราวนี้เป็นทีมยักษ์ใหญ่อย่าง ยูเวนตุส ที่สนใจดึงตัวไปร่วมทีมแบบไม่มีค่าตัว แต่เพราะติดกฏโควต้านักเตะยุโรป และ ตัวนักเตะยังติดโทษแบนคดีพบสารเสพย์ติด (แบน 7 เดือน) ทำให้ยูเว่ หาทางลงแบบเกร๋ๆ ด้วยการปล่อยตัวเขายืมไปลิเวอร์โน่
เมื่อเขากลับมาอิตาลี มันเหมือนจะดีขึ้น แต่ปัญหาที่เขาก่อในอังกฤษก็ตามมาอีกจนได้ เมื่อเชลซี สั่งเรียกค่าปรับเพิ่มเติ่ม จนศาลพิจารณาให้ ทั้ง ยูเว่ และ ลิเวอร์โน่ ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายดังกล่าว ในฐานะที่รับตัวนักเตะไปร่วมทีม (แบบที่คิดว่ากะจะคว้าของฟรี)
**คดีและการยื่นอุทรธ์นี้ยืดเยื้อยาวนานมาตั้งแต่ปี 2006 จนคดีสิ้นสุดตอนปี 2013 คือ ทั้งสองสโมสรต้องจ่ายค่าชดเชยให้เชลซีเป็นเงิน 17 ลย.**
ด้วยความที่มีฝีมืออยู่แล้ว เขาไม่ต้องปรับตัวมากมายกับบอลอิตาลี ลีกที่สร้างชื่อของเขา
ยูเว่ฯ อาจไม่ใช่เวทีที่ทำให้เขากลับมาโด่งดังอีกครั้ง แต่เป็นแค่ด่านแรกในการทวงบัลลังก์นักฆ่าหน้าหยกแห่งกัลโช่ ที่ที่ทำให้เขากลับมาระเบิดฟอร์มได้อีกครั้งคือ "ม่วงมหากาฬ - เดอะ วิโอล่า" ฟิออเรนติน่า
เขาย้ายจากยูเว่ฯมายัง ฟิออเรนติน่า หลายคนพยายามทำใจลืมเรื่องความประพฤติที่ไม่ค่อยดีนักของเขาก่อนหน้านี้ อาจเพราะฟอร์มในสนามทำให้แฟนๆให้อภัยเขาได้ง่ายขึ้น และยังเป็นเพราะ เขาได้กลับมาร่วมงานกับโค้ชที่ปลุกปั้นเขามาสมัยยังเป็นนักเตะวัยละอ่อน
เซซาเร่ ปรันเดลี่ ไม่ทำให้แฟนๆม่วงมหากาฬผิดหวัง เขาขุดฟอร์มนักเตะจอมฉาวขึ้นมาได้อีกครั้ง หนนี้มันต้องสวยงามแน่นอน เขาระเบิดประตูเป็นว่าเล่น โด่งดังพร้อมกับคู่หูของทีมในตอนนั้น อย่าง ลูก้า โทนี่ พวกเขายิงประตูกันระเบิดเทิดเทิง จบฤดูกาลแรกกับ ฟิออฯ ด้วยตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยม
หน้าที่การงานเขามีแต่ดีขึ้น ยิงประตูได้เรื่อยๆ ทำสถิติผ่านเกมสำคัญกับสโมสรมากมาย มีทั้งเพลงเชียร์ ทั้งฉายาที่แฟนๆตั้งให้ด้วยความสเน่ห์หา และยังแสดงความภักดีด้วยการปฏิเสธ โรม่า ที่ยื่นดีลซื้อตัวเขาเข้ามาด้วยราคามหาศาล และเลือกอยู่กับทีมต่อ ทั้งยังโปรยคำหวานว่า
"เขาจะแขวนสตั๊ดที่นี่แน่นอน"
แค่ปีเดียวเท่านั้นหลังจากที่เขาพูดคำนั้น ฤดูกาลที่ 3 ของเขากับฟิออเรนติน่า ฝันร้ายมาเยือนอีกครั้ง
เขาตรวจโด๊ปไม่ผ่าน
เหมือนฟ้าผ่ากลางใจแฟนๆ แต่คดีนี้นักเตะหน้าหยกขวัญใจแฟนๆยังพอเถียงขึ้นอยู่บ้าง โดยเขาอ้างว่า เขาแค่ "กินยาลดความอ้วน" เท่านั้น ซึ่งเขาไม่รู้มาก่อนว่า ยาที่เขากินจะมีสารประกอบที่ผิดกฏหมาย (บนฉลากยาไม่แจ้ง ต้องตรวจหลายขั้นตอนถึงพบ ซึ่งตัวยาก็ไม่มีฤทธิ์กระตุ้นความเก่งกาจอะไร แต่ถ้าได้รับปริมาณมากจะเป็นอันตรายต่อหัวใจ จึงถูกสั่งห้ามจำหน่ายในยุโรป) เคสนี้ แฟนๆค่อนข้างเชื่อใจว่าเขาไม่เจตนา แต่ผลตรวจชัดเจน เขาจึงถูกแบนอีกครั้ง โดยหนนี้ นานถึง 9 เดือน (ลดลงจาก 1 ปี) หลังพ้นโทษแบน ดูเหมือนอะไรๆก็ไม่เวิร์คซะแล้ว เมื่อเขาตัดสินใจอำลา "ม่วงมหากาฬ" ในที่สุด
อันที่จริงนอกจากฟอร์มบนสนามแล้ว ชีวิตนอกสนามของเขา ก็ไม่ดีเท่าไรนักจริงๆ นอกจากเรื่องสารกระตุ้น ยังมีเรื่อง มีปัญหาในสนามซ้อม และ ทะเลาะวิวาทในผับ
สุดท้าย เขาก็ขอไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับ เซเชน่า ทีมร่วมลีกกัลโช่ในขณะนั้น
ขณะนั้นเขาอายุ 32 แล้ว ถือเป็นบั้นปลายอาชีพเต็มที แต่เขาก็ยังรักษาฟอร์มบนสนามได้ดี แม้ยิงไม่มากเท่าเก่า แต่ก็ยังมีสกอร์ให้ชื่นใจ จบฤดูกาล เชเซ่น่าตกชั้น เขาก็โบกมืออำลาสโมสรในอิตาลี แล้วไป เริ่มต้นใหม่ (อีกแล้ว) ที่ฝรั่งเศส
ปี 2012 เป็นปีที่ ลีกเอิงกลับมาคึกคักด้วยการที่ สโมสรที่พึ่งผ่านการรีบูทอย่าง ปารีส แซง เชกเมงต์ ขนสตาร์ดังๆมาร่วมทีมจนเป็นที่ฮือฮา กับอดีตนักเตะที่เคยสร้างชื่อแบบเขา ก็ถือว่าน่าท้าทายอยู่ไม่น้อยในการเริ่มต้นใหม่ที่ฝรั่งเศส
ขณะนั้นชื่อของ ซลาตัน อิบราฮิโมวิค เป็นที่โด่งดังในระดับโลก ทั้งสไตล์การเล่น ทัศนคติทางฟุตบอล การมีปัญหากับโค้ช และ การย้ายทีมเป็นว่าเล่น ตลอดอาชีพค้าแข้ง รวมทั้งอายุที่ใกล้เคียงกัน ดูแล้ว เขาทั้งคู่ก็มีส่วนคล้ายกันอยู่บ้าง
แต่ถ้าเทียบกันตามคดีความบนชั้นศาล ซลาตันแทบจะกลายเป็นเด็กเรียนไปเลย
แม้หน้าตาและรูปร่างภายนอกของทั้งคู่ แทบจะสลับบทบาทกันได้สบาย แต่นี่ก็เป็นตัวอย่างของคำกล่าวที่ว่า เราไม่อาจตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกได้เลย
ในฝรั่งเศส เหมือนทุกอย่างจะจบลงแล้ว เขามาอยู่ในทีมที่ไม่ได้โด่งดังอะไรนักแบบ อาจักซิโอ แต่เรื่องราวชีวิตของเขามันยังไม่สิ้นสุดเท่านั้น
ปลายปี 2013 ทีมชาติของเขามีแข่งรอบเพลย์ออฟไปบอลโลกที่บราซิลกับกรีซ
นักเตะคนดังหวังว่าเขาจะได้ลงเล่น แต่โค้ชตัดสินใจตัดชื่อเขาออก นั่นทำให้เขา นึกอะไรแผลงๆ โพสต์รูปล้อเลียนโค้ชลงบนเฟซบุ๊คตัวเอง .. รูปมันค้างอยู่บนโลกโซเชียลไม่นาน เขานึกได้และลบออก แต่มันก็นานพอให้มีคนเซฟและส่งต่อ การกระทำแผลงๆนั่น ส่งผลให้เขา ถูกแบนจากทีมชาติ "ตลอดชีวิต" ทันที
แน่นอนว่า ในวัย 34 สำหรับเขา มันอาจไม่ใช่เรื่องเสียประโยชน์อะไรนัก เขาอายุมากพอสมควรแล้ว อันที่จริงน่าจะประกาศรีไทร์ไปแล้วด้วยซ้ำ การไม่ได้เล่นทีมชาติอาจไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีทางทวงกลับมาได้คือ เกียรติยศสำหรับนักฟุตบอลคนหนึ่ง เขาได้ปล่อยโอกาสอำลาทีมชาติอย่างมีเกียรติไปแล้ว
โอกาสและชื่อเสียงเพียง อย่างเดียวที่เขาสามารถรักษาไว้ได้ในฐานะนักฟุตบอล ทั้งที่เขาเคยทำประตูมากมายในทีมชาติมาตั้งแต่อายุ 16 ยิงประตูได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนนัดที่ลงเล่น
ชีวิตหลังจากนั้น ไม่มีอะไรน่าพูดถึงนัก .. เขากลับไปเล่นในสโมสรเล็กๆที่บ้านเกิด ล่าสุดเล่นให้ลีกในอินเดีย และยังมีคิวเล่นหนังบ้างตามโอกาส โดดไปโผล่ตาม Music Video ด้วยเป็นบางหน
จนตอนนี้คนอาจลืมไปแล้วว่า เขาเคยถูกจดจำในฐานะ นักเตะหน้าหล่อที่ระเบิดฟอร์ม ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก หนึ่งในกองหน้าที่ได้รับการขนานนามว่า โดดเด่นที่สุดแห่งยุค และ มีชื่อเสียงมากพอๆกับชื่อเสีย
หอกเลือดรอม
อาเดรียน มูตู : Adrian Mutu