หลักฐานทางการแพทย์ การตายของพระเยซูเป็นเรื่องเสแสร้ง และการเป็นขึ้นจากตายก็เป็นเรื่องหลอกลวงหรือ?

กระทู้สนทนา
เนื้อหานี้เป็นส่วนหนึ่งขอหนังสือ " คดีพระเยซู (THE CASE FOR THE CHRIST) "


คำถามที่ยาก และคำถามที่เว้นช่องว่างไว้ให้ตอบ ทำให้หนังสือเล่มนี้โดดเด่น และจับความสนใจเป็นวรรณกรรมที่ดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วแต่ไม่ใช่นวนิยาย นี่เป็นคำถามตอบย้ำประวัติศาสตร์ของบุคคลที่มีอิทธิพลที่สุด  
ลี สตรอเบล สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทด้านกฎหมายจากโรงเรียนกฎหมายเยล  เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศของ ชีคาโก ทรีบูน  จากผู้ที่เคยมีจิตวิญญาณสงสัยสู่การเป็นศิษยาภิบาลผู้สอนของคริสตจักร วิลโว ครีก คอมมิวนิตี้ ใกล้ชีคาโก

หลักฐานทางการแพทย์

การตายของพระเยซูเป็นเรื่องเสแสร้ง และ การเป็นขึ้นจากตายเป็นเรื่องหลอกหลวงหรือ?


       ผมหยุดอ่านป้ายที่แขวนในห้องรอตรวจคนไข้ในคลินิกแพทย์ “ให้เสียงคุยเงียบสงบ เสียงหัวเราะบินหาย นี่เป็นสถานที่ที่คนตายยินดีช่วยคนเป็น” แน่นอนว่า นี่คงไม่ใช่แพทย์ธรรมดา ผมกำลังไปพบ ดร. โรเบิร์ต เจ. สไตน์ นิติแพทย์ผู้มีชื่อเสียงระดับโลก เขาแต่งกายสีสันสดใส เสียงแหบห้าว เขาป้อนผมด้วยเรื่องราวอันโอชะ นั่นคือ เงือนงำที่เขาได้พบอย่างไม่คาดฝันระหว่างการชันสูตรศพสำหรับเขาแล้ว คนตาย ยังคง เล่าเรื่องอยู่ หรือความจริงก็คือ เรื่องที่สามารถทำให้คนเป็นต้องรับโทษอย่างยุติธรรม

       ช่วงเวลาระหว่างการทำหน้าที่นิติแพทย์ คุ๊กคันทรี อิลลินอยส์ เขาทำการผ่าตัดชันสูตรศพมากกว่า 20,000 ศพ
แต่ละครั้งเขาพยายามค้นหา และทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมของคนตายอย่างละเอียด อย่างพิถีพิถัน ด้วยสายตาแหลมคมถี่ถ้วนความรอบรู้เรื่องกายภาพของมนุษย์และสัณชาตญาณ การสืบสวนอันน่าอัศจรรย์ของเขาทำให้การสืบเสาะร่องรอยทางการแพทย์นี้ สามารถบอกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเหยื่อผู้ตายได้

        บางครั้งผลจากการค้นพบของเขาสามารถช่วยผู้บริสุทธิ์ให้พ้นข้อกล่าวหาได้ แต่โดยมากงานของสไตน์ เป็นดังตะปูตัวสุดท้ายที่ตอกโลงศพของจำเลยอย่างไม่มีทางหลุดได้ ดังเช่น กรณีของจอห์น เวนย์ แกซี่ ที่ได้รับโทษเมื่อสไตน์ได้ช่วยพิสูจน์ว่าเขาได้ฆาตกรรมเหยื่ออย่างโหดเหี้ยมถึง 33 รายด้วยกัน

        หลักฐานทางการแพทย์มีความสำคัญยิ่ง เพราะบอกได้ว่าเด็กคนหนึ่งตายเพราะถูกทำร้ายหรือพลัดตกเองด้วยอุบัติเหตุ หลักฐานด้านการแพทย์บอกได้ชัดว่าผู้ตาย เสียชีวีตด้วยสาเหตุธรรมชาติหรือมีคนลอบตอกโลงศพด้วยสารหนู หลักฐานที่ได้ยังสามารถสนันสนุนหรือลบล้างข้อแก้ตัวของจำเลยเรื่องเวลาที่เหยื่อเสียชีวิต โดยการตรวจสอบจำนวนโปรแตสเซียมในตาของผู้ตาย

        เช่นเดียวกันแม้แต่กรณีที่คนหนึ่งถูกตรึงตายอย่างโหดเหี้ยมบนไม้กางเขนของโรมันเมื่อสองพันปีก่อน หลักฐานทางการแพทย์ให้ข้อสนับสนุนเด็ดขาดที่สามารถลบล้างข้อโต้แย้งตลอดมาของพวกที่อ้างว่าการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซู ซึ่งข้อพิสูจน์ความเป็นพระเจ้าของพระองค์นั้น ไม่ใช่เรื่องอะไรมากไปกว่าเป็นการตบตาหลอกลวงเท่านั้น

เป็นขึ้นจากตาย หรือ เพียงเกือบจะตาย

        ความคิดเรื่องพระเยซูไม่ได้ตายบนไม้กางเขนจริงนั้นพบได้ในโคราน ซึ่งเขียนในศตวรรษที่ 7 ความจริงแล้ว อมาทิยา มุสลิม ยืนยันว่า พระเยซูได้หนีไปอินเดีย ปัจจุบันยังมีแท่นบูชาเป็นเครื่องหมายแสดงที่ฝังศพของพระเยซู  ในศรีนาการ์ แคชเมียร์

        ต้นศตวรรษที่ 19 คาร์ล บาฮท คาร์ล เวนทูรินิ และคนอื่นๆ พยายามอธิบายเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูว่า ความจริงแล้ว พระเยซูเพียงแค่สลบไปเพราะความเหนื่อยอ่อนบนไม้กางเขน หรือเพราะพระองค์ได้รับยาที่ทำให้ดูเหมือนว่าตาย แล้วต่อมาก็ฟื้นคืนสติเพราะอากาศเย็นในอุโมงค์ฝังศพ

        พวกนักคิดเหล่านี้หนุนทฤษฎีของพวกเขาโดยชี้ว่า พระเยซูได้รับยาอะไรสักอย่างฟองน้ำที่มีคนส่งให้ระหว่างอยู่บนกางเขน(มาระโก 15:36) และนั่นเป็นเหตุให้ปีลาตต้องประหลาดใจที่พระเยซูสิ้นชีวิตอย่างรวดเร็ว (มาระโก 15:44) พวกเขาบอกว่า ผลก็คือ การปรากฏตัวของพระเยซู  ไม่ใช่การเป็นขึ้นจากความตายอย่างอัศจรรย์อะไร แต่เป็นเพราะโชคดีที่พระเยซูแค่เกือบตายบนกางเขนเท่านั้นเอง และอุโมงค์ฝังศพว่างเปล่าก็เพราะว่าพระองค์ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อมา

         ขณะที่นักวิชาการมาตรฐานทั้งหลายต่างไม่ยอมรับทฤษฎีเรื่องการสลบนี้ แต่เรื่องนี้กลับปรากฏขึ้นในวรรณกรรมยอดนิยมเสมอ ค.ศ. 1929 ดี เฮชลอเรนซ์ ได้ถักทอเรื่องนี้ในหนังสือของเขาโดยบอกว่าพระเยซูได้หนีไปอียิปต์และได้ตกหลุมรักกับเทพธิดาไอซิส
                                                                  
         ปี 1965 หนังสือขายดีที่สุด ของ ฮิวท์สคอนฟิลด์ เรื่อง The Passover piotอ้างว่านอกจากพวกทหารโรมันจะไม่ได้แทงสีข้างพระเยซูเท่านั้น พระองค์จึงหนีจากกางเขนไปได้ แต่กระนั้นสคอนฟิลด์ก็ยอมรับว่า “เราไม่อาจอ้างได้ว่า หนังสือเล่มนี้บอกทุกอย่างตามที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ”

         สมมติฐานเรื่องการสลบกลับมาอีกในหนังสือเรื่อง The Jesus Scroll  ของดอนโอวาน จอยซ์ ในปี 1972 ซึ่งผู้เชียวชาญเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู แกรี ฮาเบอร์มัส บอกว่าในหนังสือนี้ “มีเรื่องราวไม่น่าเป็นไปได้มากเกินกว่าเรื่องเหลือเชื่อของสคอนฟิลด์อีก” ใน ค.ศ. 1982 หนังสือเรื่อง Holy blood Holy grail เพิ่มปมขมวดโดยบอกว่าปีลาตรับสินบน เพื่อแลกกับการนำตัวพระเยซูลงจากกางเขนก่อนที่พระองค์จะสิ้นชีวิต แต่กระนั้นผู้เขียนก็สารภาพว่า “เราไม่อาจ...และคงไม่สามารถพิสูจน์ว่า ข้อสรุปนี้เป็นความจริง”

         ไม่นานมานี้ปี 1992 นักวิชาการ ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้จักนักจากออสเตรเลีย บาร์บาร่า เธียริ่ง ได้ก่อกระแสทฤษฎีเรื่องการสลบขึ้นอีกในหนังสือ พระเยซูและปริศนาหนังสือม้วนแห่งทะเลตาย ซึ่งสำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของอเมริกาได้โหมประชาสัมพันธ์อย่างหนัก แต่ก็ถูกตอกกลับโดยนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Emory ลุคทิโมธี จอห์นสันว่า “เป็นเรื่องเหลวไหล ไร้สาระอย่างสิ้นเชิง นี้เป็นผลผลิตจากความฝันเพ้อเจ้อมากกว่าวิเคราะห์ทางวิชาการอย่างรอบคอบ”

          เหมือนกับเรื่องลึกลับในสังคมเมือง ทฤษฏีเรื่องการสลบนี้ยังดำรงอยู่ต่อมา ผมได้ยินเรื่องนี้ทุกคราวเมื่องสนทนาเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูกับคนที่กำลังแสวงหาฝ่ายวิญญาณ แต่หลักฐานทีได้นั้นบอกอะไรแก่เรา? มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นในการถูกตรึงกางเขน? อะไรเป็นสาเหตุการตายของพระเยซู? มีความเป็นไปได้ที่พระองค์สามารถทนทุกข์ทรมานสาหัสนี้ได้หรือ? เหล่านี้คือ คำถามที่ผมหวังว่าหลักฐานทางการแพทย์จะช่วยสรุปได้
         ดังนั้นผมจึงบินไปแคลิฟอร์เนียร์ใต้ เคาะประตูบ้านแพทย์ผู้มีชื่อเสียง ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ โบราณคดี และข้อมูลทางกาแรพทย์เกี่ยวกับการตายของพระเยซูแห่งนาซาเร็ธ และเพราะความลึกลับเรื่องศพที่หายไป จึงไม่เคยมีการผ่าชันสูตรศพในกรณีนี้เลย

การสัมภาษณ์ 10:  อเล็กซานเดอตร์เมธอเรลล์M.D., PH.D.
         บรรยากาศนุ่มนวลรอบข้างตรงข้ามกับเรื่องที่เรากำลังคุยกันอย่างสุดขั้วเรานั่งอยู่ในห้องรับแขกแสนสบายในบ้านของเมธอเรลล์ เย็นวันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ลมทะเลอุ่นบางเบาพัดผ่านหน้าต่าง ขณะเราคุยกันถึงเรื่องโหดเหี้ยมเกินจินตาการการโบยตีอันป่าเถื่อนที่กระทบความรู้สึกอย่างรุนแรง โทษประหารอันเลวร้ายที่กลายเป็นที่ประจักษ์พยานถึงความไร้คุณธรรมมนุษย์ที่ทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

         ผมไปพบเมธอเรลล์ เพราะได้ยินวาเขาสามารถอธิบายเรื่องการตรึงการเขนทั้งในแง่มุมการแพทย์และวิทยาศาสตร์ แต่ผมยังกระตุ้นอีกอย่างคือ มีคนบอกว่าเขาอภิปรายประเด็นนี้โดยปราศจากอคติเท่าๆกับ ความถูกต้องแม่นยำซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผม เพราะผมต้องการให้ข้อเท็จจริงพูดด้วยตัวมันเอง ไม่มีการเพิ่มเติมหรือเล่นสำนวนโวหาร ซึ่งอาจมีผลครอบงำความรู้สึกได้

         เหมือนที่คุณคาดหวังจากผู้มีปริญญาแพทย์ศาสตร์ (มหาวิทยาลัย Miami ฟลอริด้า) วิศกรรมดุษฎีบัณฑิต (มหาวิทยาลัย Bristol ประเทศอังกฤษ) เมธอเรลล์ พูดจาเป็นหลักการอย่างนักวิทยาศาสตร์ เขามีปริญญาประกอบโรคศิลป์จากแพทยสภาอเมริกันทางด้านรังสีวิทยา เขาเป็นที่ปรึกษาของสถาบันโรคหัวใจและปอดแห่งชาติ และสถาบันโลหิตแห่งศูนย์สุขภาพแห่งซาติเบธเซดา แมรีแลนด์

         เขาเคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ นักค้นคว้า และสอนที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย เมธอเรลล์ เป็นบรรณาธิการหนังสือวิทยาศาสตร์ห้าเล่มและได้ เขียนบทความให้สำนักพิมพ์ ตั้งแต่ aerospace medicine จนถึง scientific American บทวิเคราะห์อันปราดเปรื่องเรื่องการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อของได้รับการตีพิมพ์ทั้งในวารสารสำหรับนักกายภาพบำบัด และชีวิฟิสิกส์ (the phusiologistและ biophysics) เขามีบทบาทโดนเด่นในด้านการแพทย์ ร่างสง่า ผมสีเงิน มีอัธยาศัยไมตรีแต่กระนั้นก็เจ้าระเบียบ

         บางครั้งผมแปลกใจว่าเมธอเรลล์กำลังคิดอะไรอยู่ข้างใน ด้วยการเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่ขยายความเอง พูดช้าๆ เป็นระบบ และเขาก็ไม่ได้แสดงสะเทือนอารมณ์ใดๆ แต่อธิบายเรื่องการตายอย่างสยดสยองของพระเยซูอย่างสงบ ในฐานะคริสเตียนคนหนึ่งไม่ว่าเขาจะรู้เศร้าสลดอย่างไรภายในเมื่อต้องพูดถึงการตายอย่างโหดเหี้ยมของพระเยซู แต่เขาก็สามารถเก็บความรู้สึกเหล่านั้น และทำหน้าที่ของผู้เชี่ยวขาญซึ่งเกิดจากค้นคว้านับหลายทศวรรษได้อย่างดี
         เขาแต่เสนอข้อเท็จจริง – ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด นี้เป็นข้อเท็จจริงที่ผมเดินทางข้ามประเทศมาหา

การทรมานก่อนกางเขน
        สิ่งแรก ผมต้องการให้เมธอเรลล์อธิบายเหตุการณ์ที่ทำให้พระเยซูสิ้นชีวิต ดังนั้นหลังจากทักทายกันแล้ว ผมวางแก้วชาเย็นลงและหันเก้าอี้ไปเผชิญหน้ากับเขาโดยตรง "ขอช่วยวาดภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพระเยซูด้วย" ผมเริ่มคำถาม

        เขากระแอม "เริ่มจากอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูกับพวกสาวกก็ไปที่ภูเขามะกอกเทศ - ไปที่สวนเกทเสมนี และที่นั่น ถ้าคุณจำได้ พระองค์อธิษฐานตลอดคืน ระหว่างเวลานั้นพระองค์ทรงรู้ถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในวันรุ่งขึ้น เมื่อทรงรู้ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใด โดยธรรมชาติก็เกิดความกดดันด้านจิตใจอย่างมาก"

        ผมยกมืดหยุดเขา "ถ้าอย่างนั้น...ตรงนี้แหล่ะที่พวกขี้สงสัยได้ช่องพอดีเลย" ผมบอก "พระกิตติคุณบอกว่าเหงื่อของพระองค์ไหลเป็นเลือด นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจินตนาการไปหน่อยหรือ? เพราะเหตุนี้ทำให้เกิดคำถามว่าผู้เขียนพระกิตติคุณได้เขียนอย่างถูกต้องหรือไม่?"

        ไม่ได้ผล เมธอเรลล์สั่นหัว "ไม่ใช่อย่างนั้นเลย" เขาตอบนี้เป็นอาการเหงื่อออกเป็นเลือดที่การแพทย์รู้จักกันดี ไม่ใช่เรื่องธรรมดานัก แต่เกี่ยวข้องกับระดับความกดดันด้านจิตใจอย่างหนัก

        "อาการนี้เกิดขึ้นเพราะความวิตกกังวลแสนสาหัส สามารถผลิตสารเคมีที่ทำให้เส้นเลือดฝอยในต่อมเหงื่อแตกออก ผลคือมีเลือดเล็กน้อยออกในต่อมเหล่านี้ เหงื่อจึงหยดออกมาพร้อมกับเลือดด้วย เราไม่ได้พูดถึงเลือดไหลเป็นทาง แต่จำนวนน้อยมาก"

         แม้ไม่หนักแน่นนักแต่ผมถามต่อ "เรื่องนี้มีผลอย่างไรต่อร่างกายอีกไหม?
"ผลคือทำให้ผิวหนังอ่อนบางมาก เมื่อพระเยซูถูกทหารโรมันเฆี่ยนตี ในวันรุ่งขึ้นผิวหนังจึงถูกบาดได้ง่ายมาก"

         ผมยั้งตัวเองไม่พยายามคิดภาพที่กำลังจะผุดขึ้นในใจ ในฐานะนักข่าว ผมเคยเห็นศพมากมาย คนบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชน ไฟไหม้ หรือจากการต่อสู้ ล้างแค้น แต่ไม่มีอะไรเขย่าขวัญได้เท่ากับฟังเรื่องที่ใครคนหนึ่งถูกลงโทษ โดยบีบคั้นให้ต้องทนทุกข์ทรมานมากที่สุดเท่าที่ทำได้

         "ช่วยอธิบาย การเฆี่ยนนั้นเป็นอย่างไร?" ผมบอก
เมเธอเรลล์ไม่ได้เบนสายตาไปจากผมเลย "รู้ดีกันว่าการเฆี่ยนของโรมันนั้นป่าเถื่อนโหดร้ายอย่างที่สุด ปกติแล้วจะทำการเฆี่ยน 39 ที แต่บ่อยครั้ง ก็มากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของทหารในการลงแส้

        "ทหารจะเฆี่ยนนักโทษโดยใช้แส้หนังที่ถักโลหะเล็กๆ เข้าไว้ด้วย เมื่อแส้กระทบผิวหนัง โลหะเหล่านี้จะทำให้เกิดรอยฟกซ้ำหรือแผลถลอกและเป็นแผลเปิดลึกทุกครั้งเมื่อถูกแส้ต่อไป และบางทีก็เป็นกระดูกแหลมคมที่บาด ผิวหนังอย่างสาหัส

        "หลังของคนนั้นแตก มีชิ้นส่วนเนื้อหลุดออกมา และบางครั้งเห็นกระดูกสันหลังด้วยเพราะบาดแผลลึกมาก การเฆี่ยนตีตั้งแต่หัวไหล่ลงไปถึงหลัง ก้นและน่อง สยองขวัญจริงๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่