เมื่อ "พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย"....

เหตุการเริ่มต้น  การตายต่อหน้าสาธารณชน  

ในระหว่างเทศกาลปัสกาของพวกยิว  ฝูงชนที่โกรธแค้นได้จับกุมพระเยซู  และนำพระองค์ไปมอบให้ศาลสูงของโรมัน

เมื่อพระองค์ยืนต่อหน้าปีลาต (ปอนทิอัส ปิลาต  ผู้ว่าราชการของโรมประจำยูเดีย  ระหว่าง ค.ศ. 23-36 เป็นผู้ที่ออกคำสั่งให้ประหารพระเยซูคริสต์อย่างไม่เต็มใจ  เพราะท่านเห็นว่าพระเยซูมิได้กระทำผิดแต่ประการใด)  เจ้าเมืองแคว้นยูเดียนั้น  ผู้นำศาสนาได้กล่าวหาพระเยซูว่า  พระองค์ทรงอ้างตนเป็นกษัตริย์ของพวกยิว

ประชาชนเรียกร้องความตายของพระองค์  พระองค์ทรงถูกเฆี่ยน โบยตี และลงโทษให้ถูกประหารกลางแจ้ง  บนภูเขานอกกรุงเยรูซาเล็ม  พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนอยู่ระหว่างอาชญากร 2 คน  เพื่อนที่จิตใจปวดร้าว และศัตรูที่เยาะเย้ยพระองค์ต่างเฝ้าดูการตายของพระองค์

เมื่อวันสะบาโต (วันสะบาโต คือ วันเสาร์  ซึ่งเป็นวันหยุดของพวกยิว)  ใกล้เข้ามา  ทหารโรมันได้รับคำสั่งให้เร่งการประหารนักโทษให้ตาย  โดยที่พวกเขาต้องหักขาของอาชญากรทั้งสองคน  แต่เมื่อมาถึงพระเยซู  พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น  เพราะพวกเขารู้ได้จากประสบการณ์ว่า  พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว

อย่างไรก็ตาม  เพื่อความมั่นใจครั้งสุดท้าย  พวกเขาแทงหอกเข้าไปที่สีข้างของพระองค์  เพราะพระองค์อาจสร้างปัญหาให้พวกเขาได้อีก  หากว่าพระองค์เพียงแค่สลบไป และฟื้นขึ้นมา


เหตุการณ์ที่ 2 ต่อมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ประทับตราที่อุโมงค์ฝังศพ

วันต่อมา  ผู้นำศาสนามาหาปิลาตอีก  พวกเขากล่าวว่า  พระเยซูทรงทำนายว่าพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาในวันที่ 3  เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาไม่สามารถคบคิดกันทำการฟื้นคืนพระชนม์เท็จขึ้น  ปิลาตจึงสั่งให้ประทับตราของโรมันไว้ที่อุโมงค์  เพื่อเตือนพวกที่คิดจะเจาะอุโมงค์เข้าไป และเพื่อย้ำคำสั่งนี้  ทหารได้เฝ้ายามอยู่หน้าอุโมงค์  ซึ่งสาวกคนใดที่ต้องการจะยุ่งกับพระศพ  ยากที่จะผ่านเข้าไปได้  ทหารโรมันเฝ้ายามอยู่อย่างเข้มแข็ง  เพราะว่าโทษของการหลับยาม คือความตาย

    "ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ มีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากบ้านอาริมาเธีย ชื่อโยเซฟเป็นศิษย์ของพระเยซูได้เข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู ปีลาตจึงสั่งให้มอบแก่เขา โยเซฟก็เชิญพระศพเอาผ้าป่านที่สะอาด พันหุ้มไว้ แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ที่อุโมงค์ใหม่ของตน ซึ่งเขาได้สกัดไว้ในศิลา กลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็ไป ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้น ก็นั่งอยู่ที่นั่นตรงหน้าอุโมงค์ ในวันรุ่งขึ้น คือวันถัดจากวันตระเตรียม พวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีพากันไปหาปีลาต เรียนว่า

“เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า 'ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่' เหตุฉะนั้นขอเจ้าคุณได้มีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรง จนถึงวันที่สาม เกลือกว่าสาวกของเขาจะมาลักเอาศพไป แล้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก”

ปีลาตจึงบอกเขาว่า “พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่ทำได้” เขาจึงไปทำอุโมงค์ให้มั่นคง ประทับตราไว้ที่หิน และวางยามประจำอยู่" (มัทธิว 27:57-66)


เหตุการณ์ที่ 3  ต่อมา แม้ว่ามียาม อุโมงค์ว่างเปล่า

ในตอนเช้าหลังวันสะบาโต  สาวกบางคนได้ไปที่อุโมงค์เพื่อจะชโลมพระศพ  แต่เมื่อไปถึง  พวกเขาต้องแปลกใจในสิ่งที่พบ  หินก้อนใหญ่ซึ่งได้ปิดทางเข้าอุโมงค์ได้ถูกเคลื่อนไป  และพระศพของพระเยซูก็หายไป

เมื่อเรื่องนี้แพร่ออกไป  สาวก 2 คนวิ่งไปยังที่ฝังศพ  อุโมงค์ว่างเปล่า  พบแต่ผ้าพันพระศพของพระเยซูวางอยู่อย่างเรียบร้อย

ในระหว่างนั้น  ทหารยามบางคนได้เข้าไปในกรุงเยรูซาเล็ม  และบอกกับเจ้าหน้าที่ยิวว่า  พวกเขาหมดสติไปต่อหน้าทูตสวรรค์ที่มากลิ้งหินออก  เมื่อพวกเขาตื่นขึ้น  อุโมงค์ก็ว่างเปล่า  เจ้าหน้าที่จึงจ่ายเงินจำนวนมาก  ให้ทหารยามเพื่อให้โกหก  และกล่าวว่า  พวกสาวกได้ขโมยพระศพไปในตอนที่พวกทหารหลับอยู่  เจ้าหน้าที่ยังยืนยันกับยามว่า  ถ้าข่าวเรื่องพระศพหายไปนี้ไปถึงเจ้าเมือง  พวกเขาจะช่วยพูดได้

    "เมื่อหญิงเหล่านั้นกำลังไป มียามบางคนในพวกที่เฝ้าอุโมงค์นั้น เข้าไปในเมืองเล่าเหตุการณ์ทั้งปวง ซึ่งบังเกิดขึ้นนั้นให้พวกมหาปุโรหิตฟัง เมื่อพวกมหาปุโรหิตประชุมปรึกษากันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็แจกเงินเป็นอันมากให้แก่พวกทหาร สั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า 'พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืน เมื่อเรานอนหลับอยู่' ถ้าความนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง เราจะพูดแก้ไขให้พวกเจ้าพ้นโทษ” ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วจึงทำตามคำแนะนำ และความนี้ก็เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้" (มัทธิว 28:11-15)


เหตุการณ์ที่ 4  ต่อมา มีคนหลายคนอ้างว่าได้เห็นพระองค์ทรงพระชนม์อยู่

ประมาณ ค.ศ. 55  อัครทูตเปาโลบันทึกว่า  พระคริสต์ ซึ่งเป็นขึ้นจากความตาย  ได้ปรากฎแก่เปโตร  อัครทูต 12 คน และสาวกกว่า 500 คน (หลายคนยังมีชีวิตอยู่ในเวลาที่ท่านเขียนนั้น)  รวมทั้ง ยากอบ และตัวท่านเอง (1โครินธ์ 15:5-8) โดยการกล่าวเปิดเผยเช่นนี้  ท่านให้โอกาสแก่ผู้จับผิดในการตรวจสอบด้วยตนเอง

ยิ่งกว่านั้น  พันธสัญญาใหม่ ยังเริ่มต้นประวัติโดยการที่สาวกของพระคริสต์กล่าวว่าพระเยซู

   "ครั้นพระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานแล้ว ได้ทรงแสดงพระองค์แก่คนพวกนั้นด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และได้ทรงปรากฏแก่เขาทั้งหลายระหว่างสี่สิบวัน และได้ทรงสนทนากับเขาถึงเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า" (กิจการ 1:3)

    

เหตุการณ์ที่ 5  ต่อมา ชีวิตของอัครทูตได้เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง

เมื่อสาวกใกล้ชิดคนหนึ่งของพระเยซู ละทิ้งและทรยศต่อพระองค์  ส่วนอัครทูตคนอื่น ๆ  ต่างหนีเอาชีวิตรอด  แม้แต่เปโตรซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยืนยันว่า  พร้อมจะตายเพื่ออาจารย์ของตน  ก็ยังกลัว  และได้ปฏิเสธว่าไม่เคยรู้จักกับพระเยซู

แต่พวกอัครทูตกลับได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง  ภายในไม่กี่สัปดาห์  พวกเขายืนขึ้นต่อหน้าผู้ที่ได้ตรึงกางเขนผู้นำของตน  จิตใจของพวกเขาแกร่งเหมือนเหล็ก  และกลายเป็นคนที่ไม่มีใครหยุดได้ในความมุมานะที่จะสละทุกสิ่งเพื่อผุ้ที่พวกเขาเรียกว่าองค์พระผู้ช่วยให้รอด และองค์พระผู้เป็นเจ้า  แม้หลังจากที่พวกเขาถูกจำคุก เฆี่ยนตี และห้ามกล่าวในพระนามของพระเยซูอีก

หลังจากที่พวกเขาถูกเฆี่ยน  เพราะไม่ได้เชื่อฟังคำสั่งของสภาชาวยิว  อัครทูตจึงกล่าวกับผู้นำชาวยิวว่า

    "ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆตอบว่า 'ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์' " (กิจการ 5:29)

พวกอัครทูตที่ครั้งหนึ่งเคยขลาดกลัวนี้

    "ที่ในบริเวณพระวิหารและตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอนและประกาศข่าวประเสริฐทุกๆวันมิได้ขาด ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์" (กิจการ 5:42)


                              
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่