สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิพทุกคนนะครับ...
จั่วหัวมาแบบนี้บางคนคงสัยสัยแน่นอน ฮ่าๆ
ขนาดตัวผมยังไม่เข้าใจเลยว่ามันเป็นไปได้ยังไง!!!
เมื่อสักครู่ ผมคุยโทรศัพท์กับแฟนผม และ อยู่ๆแฟนผมก็ถามว่า "เธอเคยบอกรักฉันรึป่าว?" พอฟังปุ๊บ ก็นึกคิดแป๊บนึง แล้วเราก็หัวเราะกันทั้งคู่
ตัวผมเองก็แปลกใจ ผมไม่เคยบอกรักเธอ เธอก็ไม่เคยบอกรักผม แต่มันก็ผ่านล่วงเลยมาเป็นสิบๆปีและอีกไม่กี่เดือนก็จะแต่งงานกัน
และเรื่องราวไม่น่าเชื่อ
เริ่มเลยละกัน..
ผมกับเธอเจอกันที่ร้านเหล้าใกล้มหาวิทยาลัย เธอเป็นเด็กเชียร์เบียร์น้ำหมักตราเสือ ส่วนผมเป็นนักดนตรี
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ปี 2 ส่วนเธอ เรียนอยู่ปี 1 (ผมมารู้พักหลังๆที่เราคุยกัน เธอต้องทำงานส่งตัวเองเรียน ซึ่งผมไม่เคยมองเธอว่าทำอาชีพที่น่ารังเกียจ และตัวผมเองก็มองว่างานพริตตี้ เด็กเชียร์เบียร์ หรือพวกเชียร์เหล้า อะไรพวกนี้ เป็นแค่งานๆนึงที่ได้เงินมาโดยสุจริต... ไม่ได้ขอพ่อแม่แล้วดัดจริตแสร้งทำเป็นรวย)
ทุกๆวันเราเจอกันที่ร้านแห่งนี้ ซึ่งผมเล่นหลายร้านครับ แต่เธออยู่ที่ร้านนี้ตลอด(เป็นสัญญาระหว่างร้านกับบริษัทน้ำหมัก) เวลาที่ผมมาเล่นร้านเมื่อไร จะรูสึกมีกำลังใจ และมีความตื่นเต้นที่อยากจะมาเล่นตลอด ระหว่างเล่นดนตรีผมก็แอบแซวเธอเป็นพักๆระหว่างที่เล่นดนตรี โดยมุกที่ผมใช้บ่อย คือ "เด็กเชียร์เบียร์ร้านนี้น่ารัก อยากลองรักดูบ้างจังเลยนะครับ" มันเป็นมุกควายๆ แต่มันได้ผล!!!
ณ จุดๆนี้บอกเลยว่าตอนนั้นมีคนมาจีบเธอเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ผมเล่นดนตรีครั้งไหนต้องมีคนขอเบอร์เธอทุกครั้ง อย่างผมก็ได้แต่มองอยู่แค่บนเวทีแหละครับ จนบางทีเธอมองมาและยิ้มให้(ใจแทบละลายยยยย)
และต่อมาวันๆนึง และทำอีท่าไหนไม่รู้ ระหว่างที่ผมเล่นดนตรีเสร็จ เจ้าของร้านเลยเลี้ยงเบียร์ นั่งกันจนร้านปิด และเธอก็นั่งกินอยู่ด้วยกัน..ได้แต่มองครับ และตอนที่เธอกำลังจะกลับ ผมเลยรวบรวมความกล้า(ที่แทบไม่มี)ไปขอเบอร์เธอครับ... เพื่อนๆในวงดนตรี กับเจ้าของร้าน ก็ตะโกนแซวลั่นร้านเลยครับ ณ จุดๆนั้นผมอายมากๆ และเธอก็หัวเราะในความรั่วกับการทำอะไรไม่ถูกของผมที่ไปขอเบอร์เธอ และมีประโยคนึงที่เธอพูดว่า..."นี่เป็นคนแรกที่ให้เบอร์ส่วนตัวจริงๆเลยนะนิ" ผมก็อึ้งครับ(เพิ่งรู้ทีหลังว่า ที่เวลามีคนขอเบอร์เธอตอนเชียร์เบียร์เป็นเบอร์ปลอมมั่ง เบอร์เพื่อน หรือมั่วขึ้นมา ไม่รู้ว่าจริงป่าว แต่ชั่งมันเถอะ 555+) และหลังจากนั้นเราก็เริ่มโทรคุยกันมาเรื่อยๆ
ก็เหมือนชีวิตรักวัยรุ่นทั่วไปๆครับ มีกินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยวทะเล ภูเขาบ้าง แต่นิสัยผมกับแฟนค่อยข้างเหมือนกันครับ อะไรก็ได้...โกรธยาก หายง่าย...ไม่ค่อยสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ เพราะทุกๆวันแฟนผมต้องไปเชียร์เบีย กลับมาก็นอน กลางวันก็เรียน ส่วนชีวิตผมหรอครับก็เหมือนเธอ เพียงแค่ผมเล่นดนตรี
จนเวลาผ่านไป ผมเรียนจบสาขาวิชาการบัญชี และเธอก็ขึ้นปึ 3 ... ผมก็ได้สอบได้เป็นพนักงานธนาคารของรัฐแห่งหนึ่ง และโชคดีได้บรรจุในสาขาแถวมหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นผมกับแฟนอยู่ด้วยกันครับ เธอเรียนและทำงานเชียร์เบียร์เหมือนเดิมบางทีก็ไปรับถ่ายแบบตามชมรมคนชองถ่ายภาพ ได้ค่าขนมเล็กๆน้อยๆ ส่วนผมก็ทำธนาคาร เย็นมาก็กินเหล้า..เอ้ยย.. เล่นดนตรีไปด้วย เหมือนเดิม แต่เล่นหนักแบบเดิมคงไม่ได้ เพราะงานประจำก็หนักแล้ว ชีวิตเราทั้งคู่ไม่มีอะไรมากครับ เพราะเราต้องหาเงินดันตัวเอง
เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆๆๆๆ ชีวิตก็เหมือนเดิม เธอก็เรียน+ทำงาน แต่ผมทำแต่งานประจำอย่างเดียว เพราะผมก็ได้เรียน ป.โท MBA ภาคพิเศษไปด้วย (ใจจริงอยากเล่นดนตรีด้วย แต่ไม่ไหว ป.โท งานวิจัยมันหนักมากครับ!!! ) ส่วนเธอก็อยู่ปี 4 และขึ้นปี5(เธอเรียนคุรุศาสตร์สายวิทย์ ครับ) เธอก็ไปฝึกสอนประมาน 9เดือนที่โรงเรียนแถวๆมหาลัย และเมื่อเธอจบปี 5 ผมก็เรียน จบ ป.โทพร้อมกันกับเธอ..
และเมื่อเรียนจบผมก็ทำงานในสายของผม เธอก็ออกไปทำงานตามสายของเธอ และเธอก็สอบใบครู(ไม่รู้เรียกว่าอะไรนะครับ ใครเป็นครูขอโทดด้วย มันจะเป็นใบประจำตัวครูและมีสิทธิสอนได้ และเป็นพนักงานราชการครู) เธอก็ได้บรรจุลงในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง และเราทั้งคู่ก็ต่างทำงาน และใช้ชีวิตตามปกติ โดยเพียงแค่คุยโทรศัพท์ และเวลาหยุดทศกาลยาวๆ เราก็จะไปเที่ยวทะเล หรือตามสถานที่ต่างๆ
เวลามันผ่านไปเร็วมากจนผ่านไป 8 ปี เราไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง!!!! มันแปลกไหมครับ ที่ไม่เคยทะเลาะกันเลย
ผมก็แฟน โทรหากันวันละ 2-3 นาที บางวันก็ไม่ได้โทร แต่เพื่อนๆ พี่ๆ บางคนคุยกันโดยประมาณ 1-3 ชม.ต่อวัน
โดยทั้งเธอและผมคิดเหมือนกันว่า เวลาที่เราคุยโทรศัพท์ สามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้ได้หลายอย่าง
เช่นผม เอาเวลานี้ไปเล่นดนตรี เธอก็เอาเวลานี้ไปสอนพิเศษเด็กๆ และเตรียมแผนการสอน
หรืออาจจะเอาไปออกกำลังกายก็ได้! บางคนถามว่า คุยกัน 2-3 นาที ไม่ใช่ ทั้งผมและเธอ แอบมีคนใหม่รึป่าว
ผมค่อนข้างมั่นใจในตัวเธอครับ และเธอก็มั่นใจในตัวผม บอกตรงๆว่าเวลาเจอคนน่ารัก ก็มองอยู่ แต่ก็แค่มองจริงๆครับ เพราะใจผมมันไปอยู่กับเธอแล้วนินา :p
และโรงเรียนแถวบ้านผมก็มีตำแหน่งครูสอนวิทย์ว่างพอดี เธอจึงทำเรื่องย้ายมา และพักอยู่ที่บ้านผมจนถึงปัจจุบัน ก็ 2 ปีกว่าแล้วครับ
ซึ่งตรงจุดๆนี้ผมก็อุ่นใจเรื่องนอกใจได้เปราะนึงเลย 555+ และแม่ผมชอบเธอมาก จนลืมไปแล้วว่ามีผมเป็นลูกอยู่...
และสิ้นปีนี้ผมกับเธอจะแต่งงานกันในวันคริสมาส ... ละครับ
ผมต้องขอบคุณความคิดบางอย่างเธอนะครับ
ทำให้เรามีความมั่งคงในชีวิต และมั่นคงในหน้าที่งานสูง(เธอเป็นข้าราชการครับซึ่งเพื่อนๆผม ชอบแซวผมว่ากินของหลวง...ผิดกฎหมายเว้ยยย!!!!)และทำให้ผมได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากๆครับ
............................................................................................................................
ผมไม่รู้ว่าชีวิตคนอื่นเป็นยังไงนะครับ แต่นี่แหละชีวิตผม
ไม่เคยบอกรักเลย แต่เราคบกัน และจะแต่งงานกัน
คำว่า "รัก" มันคงไม่จำเป็นสำหรับผมครับ เพราะผมกับเธอคงรู้สึกกันเองโดยไม่ต้องพูดออกมา
เราไม่เคยบอก "รัก" กันและกัน แต่เราก็ไม่เคยทะเลาะกัน
แล้วคุณล่ะครับ คำพูดว่า "รัก" คิดว่ามันมีความสำคัญสำหรับคุณหรือเปล่า?
คบกับแฟนมา 10 ปีและกำลังจะแต่งงานกันสิ้นปีนี้...แต่ยังไม่เคยบอก"รัก"กันเลยสักคำ
จั่วหัวมาแบบนี้บางคนคงสัยสัยแน่นอน ฮ่าๆ
ขนาดตัวผมยังไม่เข้าใจเลยว่ามันเป็นไปได้ยังไง!!!
เมื่อสักครู่ ผมคุยโทรศัพท์กับแฟนผม และ อยู่ๆแฟนผมก็ถามว่า "เธอเคยบอกรักฉันรึป่าว?" พอฟังปุ๊บ ก็นึกคิดแป๊บนึง แล้วเราก็หัวเราะกันทั้งคู่
ตัวผมเองก็แปลกใจ ผมไม่เคยบอกรักเธอ เธอก็ไม่เคยบอกรักผม แต่มันก็ผ่านล่วงเลยมาเป็นสิบๆปีและอีกไม่กี่เดือนก็จะแต่งงานกัน
และเรื่องราวไม่น่าเชื่อ
เริ่มเลยละกัน..
ผมกับเธอเจอกันที่ร้านเหล้าใกล้มหาวิทยาลัย เธอเป็นเด็กเชียร์เบียร์น้ำหมักตราเสือ ส่วนผมเป็นนักดนตรี
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ปี 2 ส่วนเธอ เรียนอยู่ปี 1 (ผมมารู้พักหลังๆที่เราคุยกัน เธอต้องทำงานส่งตัวเองเรียน ซึ่งผมไม่เคยมองเธอว่าทำอาชีพที่น่ารังเกียจ และตัวผมเองก็มองว่างานพริตตี้ เด็กเชียร์เบียร์ หรือพวกเชียร์เหล้า อะไรพวกนี้ เป็นแค่งานๆนึงที่ได้เงินมาโดยสุจริต... ไม่ได้ขอพ่อแม่แล้วดัดจริตแสร้งทำเป็นรวย)
ทุกๆวันเราเจอกันที่ร้านแห่งนี้ ซึ่งผมเล่นหลายร้านครับ แต่เธออยู่ที่ร้านนี้ตลอด(เป็นสัญญาระหว่างร้านกับบริษัทน้ำหมัก) เวลาที่ผมมาเล่นร้านเมื่อไร จะรูสึกมีกำลังใจ และมีความตื่นเต้นที่อยากจะมาเล่นตลอด ระหว่างเล่นดนตรีผมก็แอบแซวเธอเป็นพักๆระหว่างที่เล่นดนตรี โดยมุกที่ผมใช้บ่อย คือ "เด็กเชียร์เบียร์ร้านนี้น่ารัก อยากลองรักดูบ้างจังเลยนะครับ" มันเป็นมุกควายๆ แต่มันได้ผล!!!
ณ จุดๆนี้บอกเลยว่าตอนนั้นมีคนมาจีบเธอเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ผมเล่นดนตรีครั้งไหนต้องมีคนขอเบอร์เธอทุกครั้ง อย่างผมก็ได้แต่มองอยู่แค่บนเวทีแหละครับ จนบางทีเธอมองมาและยิ้มให้(ใจแทบละลายยยยย)
และต่อมาวันๆนึง และทำอีท่าไหนไม่รู้ ระหว่างที่ผมเล่นดนตรีเสร็จ เจ้าของร้านเลยเลี้ยงเบียร์ นั่งกันจนร้านปิด และเธอก็นั่งกินอยู่ด้วยกัน..ได้แต่มองครับ และตอนที่เธอกำลังจะกลับ ผมเลยรวบรวมความกล้า(ที่แทบไม่มี)ไปขอเบอร์เธอครับ... เพื่อนๆในวงดนตรี กับเจ้าของร้าน ก็ตะโกนแซวลั่นร้านเลยครับ ณ จุดๆนั้นผมอายมากๆ และเธอก็หัวเราะในความรั่วกับการทำอะไรไม่ถูกของผมที่ไปขอเบอร์เธอ และมีประโยคนึงที่เธอพูดว่า..."นี่เป็นคนแรกที่ให้เบอร์ส่วนตัวจริงๆเลยนะนิ" ผมก็อึ้งครับ(เพิ่งรู้ทีหลังว่า ที่เวลามีคนขอเบอร์เธอตอนเชียร์เบียร์เป็นเบอร์ปลอมมั่ง เบอร์เพื่อน หรือมั่วขึ้นมา ไม่รู้ว่าจริงป่าว แต่ชั่งมันเถอะ 555+) และหลังจากนั้นเราก็เริ่มโทรคุยกันมาเรื่อยๆ
ก็เหมือนชีวิตรักวัยรุ่นทั่วไปๆครับ มีกินข้าว ดูหนัง ไปเที่ยวทะเล ภูเขาบ้าง แต่นิสัยผมกับแฟนค่อยข้างเหมือนกันครับ อะไรก็ได้...โกรธยาก หายง่าย...ไม่ค่อยสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ เพราะทุกๆวันแฟนผมต้องไปเชียร์เบีย กลับมาก็นอน กลางวันก็เรียน ส่วนชีวิตผมหรอครับก็เหมือนเธอ เพียงแค่ผมเล่นดนตรี
จนเวลาผ่านไป ผมเรียนจบสาขาวิชาการบัญชี และเธอก็ขึ้นปึ 3 ... ผมก็ได้สอบได้เป็นพนักงานธนาคารของรัฐแห่งหนึ่ง และโชคดีได้บรรจุในสาขาแถวมหาวิทยาลัย ระหว่างนั้นผมกับแฟนอยู่ด้วยกันครับ เธอเรียนและทำงานเชียร์เบียร์เหมือนเดิมบางทีก็ไปรับถ่ายแบบตามชมรมคนชองถ่ายภาพ ได้ค่าขนมเล็กๆน้อยๆ ส่วนผมก็ทำธนาคาร เย็นมาก็กินเหล้า..เอ้ยย.. เล่นดนตรีไปด้วย เหมือนเดิม แต่เล่นหนักแบบเดิมคงไม่ได้ เพราะงานประจำก็หนักแล้ว ชีวิตเราทั้งคู่ไม่มีอะไรมากครับ เพราะเราต้องหาเงินดันตัวเอง
เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆๆๆๆ ชีวิตก็เหมือนเดิม เธอก็เรียน+ทำงาน แต่ผมทำแต่งานประจำอย่างเดียว เพราะผมก็ได้เรียน ป.โท MBA ภาคพิเศษไปด้วย (ใจจริงอยากเล่นดนตรีด้วย แต่ไม่ไหว ป.โท งานวิจัยมันหนักมากครับ!!! ) ส่วนเธอก็อยู่ปี 4 และขึ้นปี5(เธอเรียนคุรุศาสตร์สายวิทย์ ครับ) เธอก็ไปฝึกสอนประมาน 9เดือนที่โรงเรียนแถวๆมหาลัย และเมื่อเธอจบปี 5 ผมก็เรียน จบ ป.โทพร้อมกันกับเธอ..
และเมื่อเรียนจบผมก็ทำงานในสายของผม เธอก็ออกไปทำงานตามสายของเธอ และเธอก็สอบใบครู(ไม่รู้เรียกว่าอะไรนะครับ ใครเป็นครูขอโทดด้วย มันจะเป็นใบประจำตัวครูและมีสิทธิสอนได้ และเป็นพนักงานราชการครู) เธอก็ได้บรรจุลงในโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัดแห่งหนึ่ง และเราทั้งคู่ก็ต่างทำงาน และใช้ชีวิตตามปกติ โดยเพียงแค่คุยโทรศัพท์ และเวลาหยุดทศกาลยาวๆ เราก็จะไปเที่ยวทะเล หรือตามสถานที่ต่างๆ
เวลามันผ่านไปเร็วมากจนผ่านไป 8 ปี เราไม่เคยทะเลาะกันเลยสักครั้ง!!!! มันแปลกไหมครับ ที่ไม่เคยทะเลาะกันเลย
ผมก็แฟน โทรหากันวันละ 2-3 นาที บางวันก็ไม่ได้โทร แต่เพื่อนๆ พี่ๆ บางคนคุยกันโดยประมาณ 1-3 ชม.ต่อวัน
โดยทั้งเธอและผมคิดเหมือนกันว่า เวลาที่เราคุยโทรศัพท์ สามารถทำอะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้ได้หลายอย่าง
เช่นผม เอาเวลานี้ไปเล่นดนตรี เธอก็เอาเวลานี้ไปสอนพิเศษเด็กๆ และเตรียมแผนการสอน
หรืออาจจะเอาไปออกกำลังกายก็ได้! บางคนถามว่า คุยกัน 2-3 นาที ไม่ใช่ ทั้งผมและเธอ แอบมีคนใหม่รึป่าว
ผมค่อนข้างมั่นใจในตัวเธอครับ และเธอก็มั่นใจในตัวผม บอกตรงๆว่าเวลาเจอคนน่ารัก ก็มองอยู่ แต่ก็แค่มองจริงๆครับ เพราะใจผมมันไปอยู่กับเธอแล้วนินา :p
และโรงเรียนแถวบ้านผมก็มีตำแหน่งครูสอนวิทย์ว่างพอดี เธอจึงทำเรื่องย้ายมา และพักอยู่ที่บ้านผมจนถึงปัจจุบัน ก็ 2 ปีกว่าแล้วครับ
ซึ่งตรงจุดๆนี้ผมก็อุ่นใจเรื่องนอกใจได้เปราะนึงเลย 555+ และแม่ผมชอบเธอมาก จนลืมไปแล้วว่ามีผมเป็นลูกอยู่...
และสิ้นปีนี้ผมกับเธอจะแต่งงานกันในวันคริสมาส ... ละครับ
ผมต้องขอบคุณความคิดบางอย่างเธอนะครับ
ทำให้เรามีความมั่งคงในชีวิต และมั่นคงในหน้าที่งานสูง(เธอเป็นข้าราชการครับซึ่งเพื่อนๆผม ชอบแซวผมว่ากินของหลวง...ผิดกฎหมายเว้ยยย!!!!)และทำให้ผมได้เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากๆครับ
............................................................................................................................
ผมไม่รู้ว่าชีวิตคนอื่นเป็นยังไงนะครับ แต่นี่แหละชีวิตผม
ไม่เคยบอกรักเลย แต่เราคบกัน และจะแต่งงานกัน
คำว่า "รัก" มันคงไม่จำเป็นสำหรับผมครับ เพราะผมกับเธอคงรู้สึกกันเองโดยไม่ต้องพูดออกมา
เราไม่เคยบอก "รัก" กันและกัน แต่เราก็ไม่เคยทะเลาะกัน
แล้วคุณล่ะครับ คำพูดว่า "รัก" คิดว่ามันมีความสำคัญสำหรับคุณหรือเปล่า?