(1)
หรือนี่คือความฝัน ?
ทุกอย่างมันช่างดูเลือนลางและสับสน รอบข้างแม้สว่างจ้าแต่มองไปทางไหนล้วนเป็นสีขาว
ขาวราวกับอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันอันหนาทึบ มัวมิดจนมองไม่เห็นอะไรสักอย่างเดียว
ในโสตประสาทได้ยินแต่เสียงหึ่งๆดังขึ้นมาหลายครั้ง แทรกปนมาด้วยเสียงสนทนาของคนสองคน
มีทั้งเสียงผู้ชายและเสียงผู้หญิง กระแสเสียงบางครั้งอยู่ห่างไกล บางครั้งก็ดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับคนพูดเดินมาคุยกัน
ข้างเตียงที่เธอนอนอยู่นี้เอง แต่พวกเขาคุยอะไรกันเธอก็ฟังไม่ออก
มันเป็นภาษาแปลกๆไม่คุ้นหู ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
พวกเขาเป็นใคร แล้วที่นี่เป็นที่ไหนกันหนอ
ทำไมเธอถึงรู้สึกง่วงเหลือเกิน เปลือกตาหนักอึ้งจนหรี่ลืมไม่ขึ้น
แล้วก่อนที่สติสัมปชัญญะจะค่อยๆเลือนหายไปอีกครั้ง ..เด็กสาวก็รู้สึกว่ามีมือเรียวเล็กข้างหนึ่ง
ยื่นเข้ามาบีบมือเธอไว้เบาๆ บางสิ่งที่ถ่ายทอดส่งผ่านมาจากมือข้างนั้น อบอวลไปด้วยมิตรภาพและความ
เอื้ออาทร หลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของเธอจนรู้สึกอุ่นอิ่มอย่างบอกไม่ถูก
เดียร์ ?
นั่นเดียร์ใช่ไหม… ดีใจจังเดียร์กลับมาหาษิราแล้ว
ใบหน้ายิ้มตายิบหยีน่ารักของเพื่อนสนิทข้างบ้าน ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน นั่งเรียนโต๊ะเดียวกันมา
ตั้งแต่ป.1 ปรากฏรางๆขึ้นในมโนภาพดั่งความฝัน ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เดียร์ไม่เคยทิ้งษิราแม้แต่สักครั้งเดียว
จนกระทั่ง..ความตายได้พรากเดียร์ให้ไปจากษิราในที่สุด
เมื่อนึกขึ้นมาได้ถึงตรงนี้ กษิราก็รู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปลึกๆในหัวใจราวกับถูกใครแทงมีดใส่กลางอก
ยังดีที่ความเจ็บปวดนั้น แผ่ซ่านขึ้นมาแค่ไม่กี่วินาทีก็ดับหายไปพร้อมกับสติสัปชัญญะทั้งหมดของเธอ
หึ่ง หึ่ง..
ทิ้งช่วงไปนานแสนนานในความรู้สึก เสียงนั่นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังดังใกล้ๆราวอยู่ในหัว
มันจึงก่อกวนจนเธอรู้สึกหูอื้ออึงสมองมึนงงไปหมด
“ เมื่อไหร่เธอจะฟื้นล่ะท่านรามอส …”
“ ต้องใจเย็นรอขอรับ “
“ แล้วต้องใจเย็นรออีกถึงเมื่อไหร่ ? “
“ สักอีกครู่ขอรับ “
สุ้มเสียงอันคุ้นหูดังขึ้นที่ข้างเตียงอีกแล้ว เป็นเสียงผู้หญิงกับผู้ชายคาดว่าคงเป็นคนเดิม
กับที่กษิราเคยได้ยินก่อนหลับไป
พวกเขายังคงสนทนากันโดยใช้ภาษาพูดแบบเดิม
แต่น่าแปลก..ที่คราวนี้พอได้ยิน เธอก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่ทั้งคู่สนทนากัน ในตอนแรก
อาจใช้เวลาตั้งหลักปรับตัวอยู่สักเล็กน้อย แต่พอตั้งใจฟังไปสองสามประโยค สมองค่อยจูนติด
สื่อรับกับภาษาที่พวกเขาพูดอย่างอัตโนมัติราวกับว่าคุ้นเคยกับภาษานี้มาตั้งแต่แรกเกิด
“ อีกสักครู่ของคุณทำไมมันนานจัง นี่ก็ผ่านมาสามสี่ชั่วโมงแล้วนะ ยาสลบแค่นิดเดียว
ทำไมออกฤทธิ์กับเธอนานขนาดนั้น ? เธอจะเป็นอะไรอย่างอื่นรึเปล่า ? “
กระแสเสียงหวานใสดังเจื้อยแจ้วเจือแววร้อนรุ่มแบบนี้ คนพูดคงยังเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น
“ ยาสลบคงหมดฤทธิ์นานแล้วล่ะขอรับ ….”
ฝ่ายบุรุษตอบด้วยเสียงสุขุมเยือกเย็น ฟังจากน้ำเสียงก็พอประมาณออกว่าเขาน่าจะสูงวัย
กว่าหลายปี แต่คาดว่าเด็กสาวคงมีศักดิ์ฐานะซึ่งสูงกว่าเขา ดังนั้นคำพูดที่ใช้จึงแฝงแววเกรงใจและ
ให้เกียรติตลอดเวลา
“ กระผมคิดว่า เวลานี้เธอคงหลับไปเพราะอาการสมองอ่อนล้า …จากการโอนถ่ายข้อมูล
ผ่านคลื่นสมองมากกว่า “
กษิรารู้สึกปวดมึนศีรษะและเปลือกตาหนักอึ้งเกินกว่าจะลืมขึ้นมองพวกเขาไหว จึงได้แต่
นอนหลับตาฟังนิ่งๆ แล้วจับใจความในสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง
นี่เธอหมดสติไปสามสี่ชั่วโมงเองจริงหรือ แต่ทำไมกลับรู้สึกราวกับหลับใหลไปเป็นวันๆ
ก็ไม่ปาน หลับนานจนมึนหัวกล้ามเนื้อทั่วร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียง่อยไปหมดทีเดียว
แล้วการโอนถ่ายข้อมูลผ่านคลื่นสมองอะไรนั่นอีก มันคืออะไร ?
คนพวกนี้เป็นใคร หรือว่าเป็นพวกผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ พวกเขากำลังโอนถ่าย “ข้อมูล” อะไร
ใส่เข้ามาในสมองของเธอ นี่คือการ “ล้างสมอง” ใช่รึเปล่า?
“ แต่เราใส่ข้อมูลปริมาณนิดหน่อยเองนะ มีแค่พวกภาษาพูดภาษาเขียนเฉพาะที่เป็นภาษาหลัก
กับข้อมูลพื้นฐานบางอย่างเพื่อให้สะดวกรวดเร็วกับการปรับตัว อะไรกันแค่นี้ถึงกับทำให้สมองเธอล้าเชียวหรือ
แสดงว่าพวกมนุษย์ดาวโลก สมองส่วนเก็บข้อมูลคงจะเล็กเอามากๆเลยสินะ “
กษิรากระตุกหัวคิ้วเข้าหากันอย่างรู้สึกขัดหู สมองเล็กหรือ ? ความหมายของอีกฝ่ายกำลังจะบอก
ว่าเธอโง่สินะ ? แต่ชั่วอึดใจหลังจากนั้นค่อยนึกสะดุดกับคำพูดบางคำ
พวกมนุษย์ดาวโลก ?
ทำไมอีกฝ่ายถึงเรียกเธอว่าเป็นพวกมนุษย์ดาวโลก หรือว่าพวกเขาไม่ใช่ ?
ไม่มั้ง ! อย่าบอกนะว่าคนพวกนี้มาจากต่างดาว นี่เธอกำลังถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวมาบนยานหรือ ?
บ้าไปแล้ว…ษิรา.. นี่เธอต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ ..เมื่อไหร่จะตื่นขึ้นมาเสียทีนะ ?
แต่ว่าเธอจะตื่นได้อย่างไร ในเมื่อเธอยังไม่ได้หลับ ทุกอย่าง ณ ที่นี่ และเวลานี้ล้วนไม่ใช่ความฝัน
หากแต่เป็นความจริง ความจริงที่ว่า..เธอกำลังเผชิญหน้ากับเอเลี่ยนต่างดาว !
…………………………..
.
<<::<<@ เมื่อเราข้ามดวงดาวมารักกัน @>>::>> ตอนที่ 1
..............
ในเวลานี้ไม่มีฉัน....
..... ณ เวลานั้นก็ไม่มีเธอ
แต่ชะตาลิขิตให้สองเรามาพบเจอ
เรียกหาฉันและเธอ.. ข้ามดวงดาวมารักกัน
..................
(1)
หรือนี่คือความฝัน ?
ทุกอย่างมันช่างดูเลือนลางและสับสน รอบข้างแม้สว่างจ้าแต่มองไปทางไหนล้วนเป็นสีขาว
ขาวราวกับอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันอันหนาทึบ มัวมิดจนมองไม่เห็นอะไรสักอย่างเดียว
ในโสตประสาทได้ยินแต่เสียงหึ่งๆดังขึ้นมาหลายครั้ง แทรกปนมาด้วยเสียงสนทนาของคนสองคน
มีทั้งเสียงผู้ชายและเสียงผู้หญิง กระแสเสียงบางครั้งอยู่ห่างไกล บางครั้งก็ดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับคนพูดเดินมาคุยกัน
ข้างเตียงที่เธอนอนอยู่นี้เอง แต่พวกเขาคุยอะไรกันเธอก็ฟังไม่ออก
มันเป็นภาษาแปลกๆไม่คุ้นหู ไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
พวกเขาเป็นใคร แล้วที่นี่เป็นที่ไหนกันหนอ
ทำไมเธอถึงรู้สึกง่วงเหลือเกิน เปลือกตาหนักอึ้งจนหรี่ลืมไม่ขึ้น
แล้วก่อนที่สติสัมปชัญญะจะค่อยๆเลือนหายไปอีกครั้ง ..เด็กสาวก็รู้สึกว่ามีมือเรียวเล็กข้างหนึ่ง
ยื่นเข้ามาบีบมือเธอไว้เบาๆ บางสิ่งที่ถ่ายทอดส่งผ่านมาจากมือข้างนั้น อบอวลไปด้วยมิตรภาพและความ
เอื้ออาทร หลั่งไหลเข้าสู่หัวใจของเธอจนรู้สึกอุ่นอิ่มอย่างบอกไม่ถูก
เดียร์ ?
นั่นเดียร์ใช่ไหม… ดีใจจังเดียร์กลับมาหาษิราแล้ว
ใบหน้ายิ้มตายิบหยีน่ารักของเพื่อนสนิทข้างบ้าน ซึ่งเติบโตมาด้วยกัน นั่งเรียนโต๊ะเดียวกันมา
ตั้งแต่ป.1 ปรากฏรางๆขึ้นในมโนภาพดั่งความฝัน ไม่ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เดียร์ไม่เคยทิ้งษิราแม้แต่สักครั้งเดียว
จนกระทั่ง..ความตายได้พรากเดียร์ให้ไปจากษิราในที่สุด
เมื่อนึกขึ้นมาได้ถึงตรงนี้ กษิราก็รู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปลึกๆในหัวใจราวกับถูกใครแทงมีดใส่กลางอก
ยังดีที่ความเจ็บปวดนั้น แผ่ซ่านขึ้นมาแค่ไม่กี่วินาทีก็ดับหายไปพร้อมกับสติสัปชัญญะทั้งหมดของเธอ
หึ่ง หึ่ง..
ทิ้งช่วงไปนานแสนนานในความรู้สึก เสียงนั่นก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังดังใกล้ๆราวอยู่ในหัว
มันจึงก่อกวนจนเธอรู้สึกหูอื้ออึงสมองมึนงงไปหมด
“ เมื่อไหร่เธอจะฟื้นล่ะท่านรามอส …”
“ ต้องใจเย็นรอขอรับ “
“ แล้วต้องใจเย็นรออีกถึงเมื่อไหร่ ? “
“ สักอีกครู่ขอรับ “
สุ้มเสียงอันคุ้นหูดังขึ้นที่ข้างเตียงอีกแล้ว เป็นเสียงผู้หญิงกับผู้ชายคาดว่าคงเป็นคนเดิม
กับที่กษิราเคยได้ยินก่อนหลับไป
พวกเขายังคงสนทนากันโดยใช้ภาษาพูดแบบเดิม
แต่น่าแปลก..ที่คราวนี้พอได้ยิน เธอก็สามารถเข้าใจในสิ่งที่ทั้งคู่สนทนากัน ในตอนแรก
อาจใช้เวลาตั้งหลักปรับตัวอยู่สักเล็กน้อย แต่พอตั้งใจฟังไปสองสามประโยค สมองค่อยจูนติด
สื่อรับกับภาษาที่พวกเขาพูดอย่างอัตโนมัติราวกับว่าคุ้นเคยกับภาษานี้มาตั้งแต่แรกเกิด
“ อีกสักครู่ของคุณทำไมมันนานจัง นี่ก็ผ่านมาสามสี่ชั่วโมงแล้วนะ ยาสลบแค่นิดเดียว
ทำไมออกฤทธิ์กับเธอนานขนาดนั้น ? เธอจะเป็นอะไรอย่างอื่นรึเปล่า ? “
กระแสเสียงหวานใสดังเจื้อยแจ้วเจือแววร้อนรุ่มแบบนี้ คนพูดคงยังเป็นเด็กสาววัยแรกรุ่น
“ ยาสลบคงหมดฤทธิ์นานแล้วล่ะขอรับ ….”
ฝ่ายบุรุษตอบด้วยเสียงสุขุมเยือกเย็น ฟังจากน้ำเสียงก็พอประมาณออกว่าเขาน่าจะสูงวัย
กว่าหลายปี แต่คาดว่าเด็กสาวคงมีศักดิ์ฐานะซึ่งสูงกว่าเขา ดังนั้นคำพูดที่ใช้จึงแฝงแววเกรงใจและ
ให้เกียรติตลอดเวลา
“ กระผมคิดว่า เวลานี้เธอคงหลับไปเพราะอาการสมองอ่อนล้า …จากการโอนถ่ายข้อมูล
ผ่านคลื่นสมองมากกว่า “
กษิรารู้สึกปวดมึนศีรษะและเปลือกตาหนักอึ้งเกินกว่าจะลืมขึ้นมองพวกเขาไหว จึงได้แต่
นอนหลับตาฟังนิ่งๆ แล้วจับใจความในสิ่งที่ได้ยินอย่างงุนงง
นี่เธอหมดสติไปสามสี่ชั่วโมงเองจริงหรือ แต่ทำไมกลับรู้สึกราวกับหลับใหลไปเป็นวันๆ
ก็ไม่ปาน หลับนานจนมึนหัวกล้ามเนื้อทั่วร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียง่อยไปหมดทีเดียว
แล้วการโอนถ่ายข้อมูลผ่านคลื่นสมองอะไรนั่นอีก มันคืออะไร ?
คนพวกนี้เป็นใคร หรือว่าเป็นพวกผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ พวกเขากำลังโอนถ่าย “ข้อมูล” อะไร
ใส่เข้ามาในสมองของเธอ นี่คือการ “ล้างสมอง” ใช่รึเปล่า?
“ แต่เราใส่ข้อมูลปริมาณนิดหน่อยเองนะ มีแค่พวกภาษาพูดภาษาเขียนเฉพาะที่เป็นภาษาหลัก
กับข้อมูลพื้นฐานบางอย่างเพื่อให้สะดวกรวดเร็วกับการปรับตัว อะไรกันแค่นี้ถึงกับทำให้สมองเธอล้าเชียวหรือ
แสดงว่าพวกมนุษย์ดาวโลก สมองส่วนเก็บข้อมูลคงจะเล็กเอามากๆเลยสินะ “
กษิรากระตุกหัวคิ้วเข้าหากันอย่างรู้สึกขัดหู สมองเล็กหรือ ? ความหมายของอีกฝ่ายกำลังจะบอก
ว่าเธอโง่สินะ ? แต่ชั่วอึดใจหลังจากนั้นค่อยนึกสะดุดกับคำพูดบางคำ
พวกมนุษย์ดาวโลก ?
ทำไมอีกฝ่ายถึงเรียกเธอว่าเป็นพวกมนุษย์ดาวโลก หรือว่าพวกเขาไม่ใช่ ?
ไม่มั้ง ! อย่าบอกนะว่าคนพวกนี้มาจากต่างดาว นี่เธอกำลังถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวมาบนยานหรือ ?
บ้าไปแล้ว…ษิรา.. นี่เธอต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ ..เมื่อไหร่จะตื่นขึ้นมาเสียทีนะ ?
แต่ว่าเธอจะตื่นได้อย่างไร ในเมื่อเธอยังไม่ได้หลับ ทุกอย่าง ณ ที่นี่ และเวลานี้ล้วนไม่ใช่ความฝัน
หากแต่เป็นความจริง ความจริงที่ว่า..เธอกำลังเผชิญหน้ากับเอเลี่ยนต่างดาว !
…………………………..
.