เมื่อถึงคราววิกฤต Honda ไม่สามารถกดราคา Brio ลงต่ำกว่าคู่แข่งเท่าที่ควรเนื่อง
จากราคาการพัฒนารถ eco car ระดับ A segment และ B segment มีความใกล้เคียงกัน
จึงนำมาสู่ การต่อยอดเป็นรุ่น Mobilio จากเดิมที่เคยคิดว่าเป็นการนำเข้ามาจาก indonesia
จ้าวแห่งรถยนต์แวน 7 ที่นั่ง กลายมาเป็นการ localize และแน่นอนเป็นแผนการที่ช่วยระบาย
สต๊อกชิ้นส่วน Brio หลายๆ ชิ้นไปด้วยในตัว เนื่องจากยอดขายทั้ง Brio และ Amaze นั้น ไปไม่ถึงฝั่งฝันนั่นเอง
มาดูกันว่า ยกที่สามของมหากาฟย์ Brio จาก Honda จะจบลงยังไงและจะสามารถทำยอด
ขายที่คาดหวังไว้ที่ 10,000 คันต่อปีได้หรือไม่ หรือเป็นจำนวนประมาณเดือนละ 800 กว่าคันนั่นเอง
เท่าๆ กับยอดขายต่อเดือนของ Jazz โฉมที่แล้วเลยนะเนี่ย!
Honda มีโจทย์หลักๆ อยู่ 2 โจทย์ นั่นคือการช่วยแบ่งเบาภาระค่า tooling ของ Brio และเข้ามา
ต่อกรกับ mini MPV ในท้องตลาดได้แก่ Spin / Avanza / Ertiga ซึ่งแก๊งพวกนี้มีฐานการตลาดมาจาก
อินโดนีเซียทั้งนั้น สำหรับ Mobilio ก็เช่นกัน แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ทั้งสามตัวถัง Honda ให้แต่ละประเทศ
ทำของใครของมัน ดังนั้นมันจึงมี mould, die, tooling ต่างๆ เบิ้ลกันถึง 3 ชุดด้วยกัน อาจจะไม่ทุก part
แต่คิดว่าส่วนใหญ่แยกจากกัน เพราะเป็นการคำนวณ tooling แชร์ในหลายโมเดลที่อยู่ในอนุกรม Brio
ถือว่าเป็นการเดิมพันธ์ครั้งใหญ่ของ Honda เพราะ ลงทุนประกอบในหลายประเทศเหมือน Brio เป็นโมเดลหลัก
อย่าง Jazz หรือ Civic และปรากฎว่า สำหรับตลาดไทย 2 โมเดล จากทั้ง 3 เจ๊งไปแล้วเรียบร้อย
เมื่อมองในหลายองค์ประกอบทำให้สงสัยว่า ทำไม Honda Thailand ถึงลดต้นทุนได้ไม่มากนัก
ทั้งๆ ที่ตัวรถ Brio ก็ดูด้อยราคากว่า March จริงๆ แต่ถ้ามองว่า การผลิตโมเดลกันในหลายๆ ประเทศ
ทำให้ยอด volume ส่งออกถูกแบ่งให้หลายประเทศ และ Brio ก็ไม่ได้ถูกส่งไปขายในญี่ปุ่นหรือยุโรป
เพื่อให้ได้ยอดผลิตเยอะจนสามารถ cut cost ลงได้ นี่น่าจะเป็นประเด็นที่ Honda วางแผนผิดพลาดเอง
หาใช่เรื่องโชคชะตา ความบังเอิญ หรือเป็นการวางแผนของคู่แข่งไม่ เพราะ Brio ไม่ว่ายังไงก็เป็นรถที่มองแล้ว
ดูเป็นรถราคาต่ำเมื่อเทียบกับรถที่ผลิตจากคู่แข่งหมดทุกค่าย เมื่อกดต้นทุนให้ทำราคาตามที่เหมาะสมไม่ได้
จึงต้องจำขายในราคาเท่าๆ กับรถที่มีเกรดสูงกว่า และขายไม่ออกในที่สุด
ต่อจากนั้น นั่นคือหน้าที่ว่าจะทำอย่างไร ให้ tooling ที่ลงทุนไปแล้วผลิตขายได้
มีแต่การต้องเพิ่มคุณค่าของของที่ตัวเองมีเท่านั้น Mobilio คือไพ่ใบสุดท้าย หรือถ้ายังไม่ท้ายที่สุด ยังมี
Brio ในร่าง SUV อีกรุ่น ยังไม่มีใครรู้ในตอนนี้ แต่ทั้ง mini van 7 ที่นั่ง และ SUV (Crossover) มัน
บวกราคาขายได้อีกมากโข โดยไม่ต้องคำนึงถึงรากเหง้าอย่าง Brio ให้มากนัก ยกเว้น แดชบอร์ดกับคอนโซล
ที่ตอนนี้โดนด่ากันไปเป็นที่เรียบร้อย ว่ายกเอาของ Brio มาใช้อีกทำไม! แต่กลับกัน ถ้าสังเกตุเปลือกตัวถังดีๆ
เฉพาะ Thailand Only part ทุกชิ้นไม่มีการ carry over มาจาก Brio เลยสักชิ้นนะครับ! มีแค่ไฟหน้า Brio
ที่ถูกมาใช้ต่อในรุ่น S กับรุ่น V
Mobilio รุ่น S
ราคา MT 597,000
และ AT 642,000
ให้ดูไปที่ Brio ในทันที Honda ที่ใครๆ เคยก่นด่าว่า ทำรถแฮชแบ็กที่ตูดรถถูกตัดหายไปครึ่ีงคันออกมาได้ยังไง
รุ่น S 5 ที่นั่งนี่แหล่ะคือรุ่นที่ตอบโจทย์ที่เคยโดนว่ามา โดยเพิ่มความยาวจาก 3,610 มม. เป็น 4,386 มม.(4,398 มม.ในรุ่น RS)
หรือเพิ่มท้ายมาให้อีก 776 มม. กลายเป็นรถที่มีความยาวเท่าๆ รถ C segment hatchback ในทันที ไม่ว่าจะเป็น Pulsar (4,295)
Focus (4,358) Mazda 3 (4,460) เท่ากับตอนนี้เป็น Brio เต็มคัน และมาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 จึงไม่ใช่ eco car อีกแล้ว
ราคาที่เพิ่มขึ้นมาจาก Brio รุ่น V, V limited ที่ราคา 5 แสนต้นๆ นั้น เพิ่มมาอีก 1 แสนกว่าๆ ได้ทั้งตัวถังเต็มตัวและได้เครื่อง
ใหญ่ขึ้น แถมตัวถังยังยาวมากๆ เท่ารถ C segment ฐานล้อยาว 2,650 มม. ก็เท่าๆ กับรถ C segment เช่นเดียวกัน
ถ้ามองในด้านการต่อยอดจาก Brio ก็เป็นการเพิ่มราคามาตรฐานปกติของโรงงานรถยนต์ทั่วไป คือถ้าเครื่องใหญ่ขึ้นก็บวกไป
อีก 4-5 หมื่น ส่วนตัวถังที่ใหญ่ขึ้น บวกไปอีก 6-7 หมื่น ถือว่า วิน-วินทั้งสองฝ่าย ทั้งคนขายและคนซื้อ ถ้าไม่ไปเทียบกับ
รถนำเข้าอินโดทั้ง Avanza และ Ertiga ที่บริหารจัดการ cost มาอย่างดี และมีตลาดแบ็กอัพที่ใหญ่มาก ตั้งราคาหน้าโรงงาน
ถูกมากๆ ได้
กลายเป็นประเด็นของความก้ำกึ่ง
เพราะในเมื่อ Mobilio รุ่น S ก็คือ Brio hatchback ที่ถูกขยายฐานล้อ และบอดี้ และใส่เครื่องในพิกัด B segment 1500cc
มาให้ มันก็ต้องถูกจัดอยู่ในกลุ่มรถ hatchback ทั่วไปไม่ใช่หรือ??? แต่มันก็ก้ำกึ่งอยู่ตรงที่ว่า หุ่นหรือรูปร่างมันไปในทาง
mini MPV แต่ก็อีก สำหรับท่านั่งในการขับ เมื่อขับดูก็จะรู้ว่า มันคือรถ hatchback ท้ายยาว ง่ายๆ เท่านั้นเลย!
จะเป็นไรมั้ย ถ้าจะแบ่งให้ Mobilio S อยู่ในกลุ่มตลาดเดียวกับ Jazz, Mazda 2, Fiesta แต่ถ้าเป็น Mobilio V, RS
อยู่ในกลุ่ม Avanza, Ertiga
ถ้าว่ากันด้วยต้นกำเนิด และสภาพการใช้งาน Mobilio S ควรจัดอยู่ในกลุ่มแฮชแบ็ก ซึ่งราคาก็ถือว่า
สมเหตุสมผล เพียงแต่ option ยังน้อยกว่าคู่แข่ง แต่ได้บอดี้ใหญ่มาแทน หรือนี่อาจจะเป็นคู่แข่งโดยตรงของ
Nissan Livina ก็ว่าได้ แต่ต้องเพิ่มเงินอีก 7 หมื่น ถึงจะได้รุ่นเกียร์ออโต้รุ่นล่างสุด
ในส่วนของ Mobilio S MT ราคา 597,000 นั้น แน่นอนเป็นการถอยราคาลงอีก 45,000 เพื่อให้
ราคาดูน่าคบยิ่งขึ้น และยิ่งดูคุ้มถ้าจะซื้อไปไว้ทำธุรกิจที่ใช้ขนของขนาดไปกันกับตัวรถ
ในวีดีโอ presentation ที่ชัดเจนมากๆ ที่สื่อความต้องการของตัวผู้ผลิต ว่าต้องการ
จะสื่ออะไรไปให้ลูกค้า และลูกค้ากลุ่มไหนที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ ดูเข้าถึงง่าย
แถมยังมีการจิกกัดเล็กๆ โดยการนำเอารถปิ๊กอัพของ Toyota คู่อริหลัก หรือคู่รักคู่แค้น
มาเข้าฉากให้ตัวละครยิ้มเริงร่า ในความลำบากของคนงานแบกของ หรือยิ้มเพราะภูมิใจ
ที่รถตัวเองก็ขนของได้ ทั้งๆ ที่เป็นรถแฮชแบ็ก อันเป็นวิถีที่ Honda ตั้งใจทำมาตั้งแต่รุ่น Jazz แล้ว
ตรงนี้ Honda กำลังบอกไปทางลูกค้ากลุ่ม Girl power ให้เห็นถึงความสำคัญของตัวรถที่สามารถ
ตอบสนองความต้องการพื้นฐานในชีวิตได้ สังเกตุว่า แม้จะมีสองที่นั่ง แต่ให้มีตัวละครหญิงแค่คน
เดียว เข้าถึงใจของผู้หญิงที่ต้องสู้ชีวิตทำมาค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นงานหลัก หรืองานเสริมได้ ซึ่งไม่มี
รุ่นอื่นใน segment b car 1500cc ทำได้เท่า นี่เป็นการกลบจุดอ่อนที่มี option ด้อยกว่าคู่แข่งได้ไปในตัว
มาดูกันที่ Mobilio รุ่น V A/T
ราคา 682,000 บาท
แรกเริ่มรุ่นนี้คือรุ่นท็อปในตลาดโลก ทำตลาดมานานพอสมควรตั้งแต่ปีที่แล้ว ภายในสีเบจแบบนี้
ตัดกับแดชบอร์ดสีดำแบบหน้าด้านๆ ไม่สนใจใยดีว่าจะเข้ากันมั้ย เป็นดีไซน์ original ตั้งแต่แรกเริ่มที่
Mobilio ถือกำเนิดมาในแผ่นภาพสเก็ตช์ และสีเบจล้วนก็เป็นสีที่ Ertiga ใช้เป็น main หลักเช่นกัน เพื่อช่วยให้
ภายในรู้สึกกว้างขวาง สบาย และบ่งบอกถึงความเป็นรถพ่อบ้านอีกด้วย ดังนั้น ถือว่ารุ่น 682,000 บาท รุ่นนี้คือรุ่น
ท๊อปราคา 682,000 บาท ของ Mobilio โฉมปกติ ก็พูดได้ แต่อาจจะปรับสเป็คลงมาบ้างบางอย่างนิดหน่อย
ใครจะเกลียดสีภายในแบบนี้ ถ้ากลุ่มเป้าหมายของ Mobilio V คือกลุ่มพ่อบ้านตัวจริง ที่ไม่เคยแม้แต่จะดอดไป
มีกิ๊กที่ไหน และห่วงแม้กระทั่ง ลูกจะรู้สึกไม่อบอุ่น ถ้าภายในมีสีที่มืดเกินไป
Mobilio รุ่น V จะเปรียบเทียบได้กับรุ่นเหล่านี้ อันไหนคุ้มกว่าอันไหนก็ลองไปเปรียบเทียบเอาเอง
แต่ขอร้องว่า อย่าเอา Ertiga รุ่น 689,000 มาเทียบกับ Mobilio RS ราคา 739,000
ถ้าไม่รังเกียจช่วยฟังเหตุผลนิดนึงว่า การที่มีรุ่นพิเศษแต่งหน้าทาปากใหม่มาให้เรียบร้อยเป็นชุดแต่งหรือเปลี่ยน
หน้ามาให้มันต้องบวกราคาขึ้นไปอีกอยู่แล้ว เหมือนกับการซื้อรถไปแต่งเอง จะต้องแต่งเพิ่ม 2-3 หมื่น หรือมาก
กว่านั้นก็แล้วแต่ แม้บางคนจะมองว่ามันไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่รุ่นที่เอามาเปรียบเทียบเอง ก็ไม่มีของดังกล่าว
ดังนั้น รุ่นที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Mobilio RS คือ Avanza โฉม Veloz ราคา 699,000 และรุ่น S touring 749,000
ส่วน Spin ที่ราคา 760,000 กว่าๆ ถือว่า ตั้งราคามาเกินตัวมากไปอยู่แล้ว แทบขายไม่ได้
เมื่อเทียบราคาระหว่างรุ่น V และรุ่น RS
ประเด็นหลักๆ ก็คือ RS เป็น Mobilio โฉมพิเศษที่ทำขึ้นมาให้ดูดีเป็นพิเศษ คาดหมายว่าน่าจะออกแบบและพัฒนา
โดยทีมดีไซน์ในบ้านเรา ถึงกว่าจะเผยโฉม ก็ต้องรอ Mobilio ใกล้ๆ ขายในบ้านเราก่อน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ รุ่น
RS อาจจะเริ่ม launch ไปก่อนบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าต้องรอกันเป็นปี กว่าจะมีรุ่น RS พร้อมๆ กับรอบ้านเราเริ่มขาย
Mobilio
ราคาที่ต่างกัน 59,000 บาท มีส่วนประกอบไหนที่แตกต่างในโฉม RS
กระจังหน้า กันชนหน้า กันชนหลัง สเกิร์ตข้าง สปอยเล่อร์หลัง ล้อแม็ก ไฟหน้า projector led
สำหรับ Toyota ถ้าเป็นไฟหน้า projector led แบบนี้เบิกศูนย์ 6 หมื่น เอาไม่อยู่ครับ
โดยรวมแล้วชุดแต่งแบบนี้ถ้าเป็นยนตระกละหรือเป็นแบบชุดแต่ง Hyundai Elantra ล่าสุด ราคารวมคงไป
ไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท และเท่าที่ผมทราบ Swift รับแต่งเป็นรุ่น sport แท้โดยโชว์รูม Suzuki เอง
part คงพอๆ ใกล้เคียงกัน ราคาก็ไปเป็นแสนเช่นกัน
ถ้าพูดถึงโฉมพิเศษ ในที่นี้ ผมว่า Avanza โฉม Veloz ที่ได้มาเป็นรุ่นท็อปในบ้านเราก็ถือว่าคุ้มค่า
ส่วน Mobilio RS ก็ถือว่าคุ้มค่าเช่นกัน เพราะให้มาไม่น้อย ยากที่ Mobilio รุ่น V จะแต่งตามไหว
ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองไม่เอาโฉมพิเศษเข้ามาบวก คงมองว่า Honda ตั้งราคามาแพงเกินเหตุสำหรับ
รถพื้นฐาน Brio แต่ในความเป็นจริง ราคานี้ถือว่าสมเหตุสมผลมาก ในขณะที่ใครไม่สนชุดแต่ง ก็ไปที่
รุ่น V แล้วบวกลบคูณหารเอาว่ามันคุ้มค่าเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นหรือไม่
-สิ่งที่น่าสนใจ กับการใช้เครื่องยนต์เก่าของ Jazz แต่เติม E85 ไม่ได้
ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ทำไมไม่ทำให้เติม E85 ได้ เท่าที่เข้าใจอาจเป็นการ
ปกป้อง Jazz ซึ่งเป็น product champion ของตัวเองด้วยในระดับหนึ่ง ซึ่งมีขาคล่อม
กันอยู่กับ Mobilio ต้องแบ่งๆ จุดเด่นกันไป ประการถัดมา คู่แข่งยังไม่มีใครใช้ E85 ได้
และถัดมาอีก คือการประหยัดต้นทุนได้อีกหน่อย ทั้งใช้เครื่องเก่า และไม่ต้องเปลี่ยนแปลง
part ต่างๆ ให้รองรับ E85
ข้อดีของการใช้เครื่องเก่ามันก็ดี ตรงที่เรื่องอะไหล่ เรื่องปัญหาต่างๆ น่าจะโอเคหมด
เหมาะกับรถทำงานทำการแบบในรุ่น S Mobilio น่าจะเป็นอีกรุ่นที่ problem free
การติดแก็สก็เหมือนของเครื่องเดิม สามารถวางถังโดนัทแทนยางอะไหล่ใต้รถได้
สุดท้ายนี้จุดเด่นมันอยู่ที่ตรงไหน เพราะใช้ครึ่ีงหน้าร่วมกับ Brio ท่านั่งขับจึงเป็นแบบรถเก๋ง Honda
ส่วนคู่แข่ง จะมีท่านั่งขับเฉพาะเป็นแบบรถพ่อบ้าน ดูสูงๆ หน่อย ซึ่งบางคนไม่ชอบ และมันเหมาะจะเป็นรถ
คันรองมากกว่า ในขณะที่รถที่นั่งขับแบบเก๋งเหมาะกับการขับไปไหนมาไหนในชิวิตประจำวัน และยังให้ความรู้สึก
ที่คุ้นเคยมากกว่า เว้นแต่จะเป็นแฟนพันธ์แท้รถพ่อบ้าน Ertiga จะวินเหนือรุ่นอื่นๆ ทั้งหมด แต่ถ้าคุณมีรถแค่คันเดียว
Mobilio มันจะตอบโจทย์ได้หมด ไม่นับเรื่องศูนย์ที่ดีอีกด้วย//
มาเจาะประเด็น Honda Mobilio ต่อ
เมื่อถึงคราววิกฤต Honda ไม่สามารถกดราคา Brio ลงต่ำกว่าคู่แข่งเท่าที่ควรเนื่อง
จากราคาการพัฒนารถ eco car ระดับ A segment และ B segment มีความใกล้เคียงกัน
จึงนำมาสู่ การต่อยอดเป็นรุ่น Mobilio จากเดิมที่เคยคิดว่าเป็นการนำเข้ามาจาก indonesia
จ้าวแห่งรถยนต์แวน 7 ที่นั่ง กลายมาเป็นการ localize และแน่นอนเป็นแผนการที่ช่วยระบาย
สต๊อกชิ้นส่วน Brio หลายๆ ชิ้นไปด้วยในตัว เนื่องจากยอดขายทั้ง Brio และ Amaze นั้น ไปไม่ถึงฝั่งฝันนั่นเอง
มาดูกันว่า ยกที่สามของมหากาฟย์ Brio จาก Honda จะจบลงยังไงและจะสามารถทำยอด
ขายที่คาดหวังไว้ที่ 10,000 คันต่อปีได้หรือไม่ หรือเป็นจำนวนประมาณเดือนละ 800 กว่าคันนั่นเอง
เท่าๆ กับยอดขายต่อเดือนของ Jazz โฉมที่แล้วเลยนะเนี่ย!
Honda มีโจทย์หลักๆ อยู่ 2 โจทย์ นั่นคือการช่วยแบ่งเบาภาระค่า tooling ของ Brio และเข้ามา
ต่อกรกับ mini MPV ในท้องตลาดได้แก่ Spin / Avanza / Ertiga ซึ่งแก๊งพวกนี้มีฐานการตลาดมาจาก
อินโดนีเซียทั้งนั้น สำหรับ Mobilio ก็เช่นกัน แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ ทั้งสามตัวถัง Honda ให้แต่ละประเทศ
ทำของใครของมัน ดังนั้นมันจึงมี mould, die, tooling ต่างๆ เบิ้ลกันถึง 3 ชุดด้วยกัน อาจจะไม่ทุก part
แต่คิดว่าส่วนใหญ่แยกจากกัน เพราะเป็นการคำนวณ tooling แชร์ในหลายโมเดลที่อยู่ในอนุกรม Brio
ถือว่าเป็นการเดิมพันธ์ครั้งใหญ่ของ Honda เพราะ ลงทุนประกอบในหลายประเทศเหมือน Brio เป็นโมเดลหลัก
อย่าง Jazz หรือ Civic และปรากฎว่า สำหรับตลาดไทย 2 โมเดล จากทั้ง 3 เจ๊งไปแล้วเรียบร้อย
เมื่อมองในหลายองค์ประกอบทำให้สงสัยว่า ทำไม Honda Thailand ถึงลดต้นทุนได้ไม่มากนัก
ทั้งๆ ที่ตัวรถ Brio ก็ดูด้อยราคากว่า March จริงๆ แต่ถ้ามองว่า การผลิตโมเดลกันในหลายๆ ประเทศ
ทำให้ยอด volume ส่งออกถูกแบ่งให้หลายประเทศ และ Brio ก็ไม่ได้ถูกส่งไปขายในญี่ปุ่นหรือยุโรป
เพื่อให้ได้ยอดผลิตเยอะจนสามารถ cut cost ลงได้ นี่น่าจะเป็นประเด็นที่ Honda วางแผนผิดพลาดเอง
หาใช่เรื่องโชคชะตา ความบังเอิญ หรือเป็นการวางแผนของคู่แข่งไม่ เพราะ Brio ไม่ว่ายังไงก็เป็นรถที่มองแล้ว
ดูเป็นรถราคาต่ำเมื่อเทียบกับรถที่ผลิตจากคู่แข่งหมดทุกค่าย เมื่อกดต้นทุนให้ทำราคาตามที่เหมาะสมไม่ได้
จึงต้องจำขายในราคาเท่าๆ กับรถที่มีเกรดสูงกว่า และขายไม่ออกในที่สุด
ต่อจากนั้น นั่นคือหน้าที่ว่าจะทำอย่างไร ให้ tooling ที่ลงทุนไปแล้วผลิตขายได้
มีแต่การต้องเพิ่มคุณค่าของของที่ตัวเองมีเท่านั้น Mobilio คือไพ่ใบสุดท้าย หรือถ้ายังไม่ท้ายที่สุด ยังมี
Brio ในร่าง SUV อีกรุ่น ยังไม่มีใครรู้ในตอนนี้ แต่ทั้ง mini van 7 ที่นั่ง และ SUV (Crossover) มัน
บวกราคาขายได้อีกมากโข โดยไม่ต้องคำนึงถึงรากเหง้าอย่าง Brio ให้มากนัก ยกเว้น แดชบอร์ดกับคอนโซล
ที่ตอนนี้โดนด่ากันไปเป็นที่เรียบร้อย ว่ายกเอาของ Brio มาใช้อีกทำไม! แต่กลับกัน ถ้าสังเกตุเปลือกตัวถังดีๆ
เฉพาะ Thailand Only part ทุกชิ้นไม่มีการ carry over มาจาก Brio เลยสักชิ้นนะครับ! มีแค่ไฟหน้า Brio
ที่ถูกมาใช้ต่อในรุ่น S กับรุ่น V
Mobilio รุ่น S
ราคา MT 597,000
และ AT 642,000
ให้ดูไปที่ Brio ในทันที Honda ที่ใครๆ เคยก่นด่าว่า ทำรถแฮชแบ็กที่ตูดรถถูกตัดหายไปครึ่ีงคันออกมาได้ยังไง
รุ่น S 5 ที่นั่งนี่แหล่ะคือรุ่นที่ตอบโจทย์ที่เคยโดนว่ามา โดยเพิ่มความยาวจาก 3,610 มม. เป็น 4,386 มม.(4,398 มม.ในรุ่น RS)
หรือเพิ่มท้ายมาให้อีก 776 มม. กลายเป็นรถที่มีความยาวเท่าๆ รถ C segment hatchback ในทันที ไม่ว่าจะเป็น Pulsar (4,295)
Focus (4,358) Mazda 3 (4,460) เท่ากับตอนนี้เป็น Brio เต็มคัน และมาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 จึงไม่ใช่ eco car อีกแล้ว
ราคาที่เพิ่มขึ้นมาจาก Brio รุ่น V, V limited ที่ราคา 5 แสนต้นๆ นั้น เพิ่มมาอีก 1 แสนกว่าๆ ได้ทั้งตัวถังเต็มตัวและได้เครื่อง
ใหญ่ขึ้น แถมตัวถังยังยาวมากๆ เท่ารถ C segment ฐานล้อยาว 2,650 มม. ก็เท่าๆ กับรถ C segment เช่นเดียวกัน
ถ้ามองในด้านการต่อยอดจาก Brio ก็เป็นการเพิ่มราคามาตรฐานปกติของโรงงานรถยนต์ทั่วไป คือถ้าเครื่องใหญ่ขึ้นก็บวกไป
อีก 4-5 หมื่น ส่วนตัวถังที่ใหญ่ขึ้น บวกไปอีก 6-7 หมื่น ถือว่า วิน-วินทั้งสองฝ่าย ทั้งคนขายและคนซื้อ ถ้าไม่ไปเทียบกับ
รถนำเข้าอินโดทั้ง Avanza และ Ertiga ที่บริหารจัดการ cost มาอย่างดี และมีตลาดแบ็กอัพที่ใหญ่มาก ตั้งราคาหน้าโรงงาน
ถูกมากๆ ได้
กลายเป็นประเด็นของความก้ำกึ่ง
เพราะในเมื่อ Mobilio รุ่น S ก็คือ Brio hatchback ที่ถูกขยายฐานล้อ และบอดี้ และใส่เครื่องในพิกัด B segment 1500cc
มาให้ มันก็ต้องถูกจัดอยู่ในกลุ่มรถ hatchback ทั่วไปไม่ใช่หรือ??? แต่มันก็ก้ำกึ่งอยู่ตรงที่ว่า หุ่นหรือรูปร่างมันไปในทาง
mini MPV แต่ก็อีก สำหรับท่านั่งในการขับ เมื่อขับดูก็จะรู้ว่า มันคือรถ hatchback ท้ายยาว ง่ายๆ เท่านั้นเลย!
จะเป็นไรมั้ย ถ้าจะแบ่งให้ Mobilio S อยู่ในกลุ่มตลาดเดียวกับ Jazz, Mazda 2, Fiesta แต่ถ้าเป็น Mobilio V, RS
อยู่ในกลุ่ม Avanza, Ertiga
ถ้าว่ากันด้วยต้นกำเนิด และสภาพการใช้งาน Mobilio S ควรจัดอยู่ในกลุ่มแฮชแบ็ก ซึ่งราคาก็ถือว่า
สมเหตุสมผล เพียงแต่ option ยังน้อยกว่าคู่แข่ง แต่ได้บอดี้ใหญ่มาแทน หรือนี่อาจจะเป็นคู่แข่งโดยตรงของ
Nissan Livina ก็ว่าได้ แต่ต้องเพิ่มเงินอีก 7 หมื่น ถึงจะได้รุ่นเกียร์ออโต้รุ่นล่างสุด
ในส่วนของ Mobilio S MT ราคา 597,000 นั้น แน่นอนเป็นการถอยราคาลงอีก 45,000 เพื่อให้
ราคาดูน่าคบยิ่งขึ้น และยิ่งดูคุ้มถ้าจะซื้อไปไว้ทำธุรกิจที่ใช้ขนของขนาดไปกันกับตัวรถ
ในวีดีโอ presentation ที่ชัดเจนมากๆ ที่สื่อความต้องการของตัวผู้ผลิต ว่าต้องการ
จะสื่ออะไรไปให้ลูกค้า และลูกค้ากลุ่มไหนที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ ดูเข้าถึงง่าย
แถมยังมีการจิกกัดเล็กๆ โดยการนำเอารถปิ๊กอัพของ Toyota คู่อริหลัก หรือคู่รักคู่แค้น
มาเข้าฉากให้ตัวละครยิ้มเริงร่า ในความลำบากของคนงานแบกของ หรือยิ้มเพราะภูมิใจ
ที่รถตัวเองก็ขนของได้ ทั้งๆ ที่เป็นรถแฮชแบ็ก อันเป็นวิถีที่ Honda ตั้งใจทำมาตั้งแต่รุ่น Jazz แล้ว
ตรงนี้ Honda กำลังบอกไปทางลูกค้ากลุ่ม Girl power ให้เห็นถึงความสำคัญของตัวรถที่สามารถ
ตอบสนองความต้องการพื้นฐานในชีวิตได้ สังเกตุว่า แม้จะมีสองที่นั่ง แต่ให้มีตัวละครหญิงแค่คน
เดียว เข้าถึงใจของผู้หญิงที่ต้องสู้ชีวิตทำมาค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นงานหลัก หรืองานเสริมได้ ซึ่งไม่มี
รุ่นอื่นใน segment b car 1500cc ทำได้เท่า นี่เป็นการกลบจุดอ่อนที่มี option ด้อยกว่าคู่แข่งได้ไปในตัว
มาดูกันที่ Mobilio รุ่น V A/T
ราคา 682,000 บาท
แรกเริ่มรุ่นนี้คือรุ่นท็อปในตลาดโลก ทำตลาดมานานพอสมควรตั้งแต่ปีที่แล้ว ภายในสีเบจแบบนี้
ตัดกับแดชบอร์ดสีดำแบบหน้าด้านๆ ไม่สนใจใยดีว่าจะเข้ากันมั้ย เป็นดีไซน์ original ตั้งแต่แรกเริ่มที่
Mobilio ถือกำเนิดมาในแผ่นภาพสเก็ตช์ และสีเบจล้วนก็เป็นสีที่ Ertiga ใช้เป็น main หลักเช่นกัน เพื่อช่วยให้
ภายในรู้สึกกว้างขวาง สบาย และบ่งบอกถึงความเป็นรถพ่อบ้านอีกด้วย ดังนั้น ถือว่ารุ่น 682,000 บาท รุ่นนี้คือรุ่น
ท๊อปราคา 682,000 บาท ของ Mobilio โฉมปกติ ก็พูดได้ แต่อาจจะปรับสเป็คลงมาบ้างบางอย่างนิดหน่อย
ใครจะเกลียดสีภายในแบบนี้ ถ้ากลุ่มเป้าหมายของ Mobilio V คือกลุ่มพ่อบ้านตัวจริง ที่ไม่เคยแม้แต่จะดอดไป
มีกิ๊กที่ไหน และห่วงแม้กระทั่ง ลูกจะรู้สึกไม่อบอุ่น ถ้าภายในมีสีที่มืดเกินไป
Mobilio รุ่น V จะเปรียบเทียบได้กับรุ่นเหล่านี้ อันไหนคุ้มกว่าอันไหนก็ลองไปเปรียบเทียบเอาเอง
แต่ขอร้องว่า อย่าเอา Ertiga รุ่น 689,000 มาเทียบกับ Mobilio RS ราคา 739,000
ถ้าไม่รังเกียจช่วยฟังเหตุผลนิดนึงว่า การที่มีรุ่นพิเศษแต่งหน้าทาปากใหม่มาให้เรียบร้อยเป็นชุดแต่งหรือเปลี่ยน
หน้ามาให้มันต้องบวกราคาขึ้นไปอีกอยู่แล้ว เหมือนกับการซื้อรถไปแต่งเอง จะต้องแต่งเพิ่ม 2-3 หมื่น หรือมาก
กว่านั้นก็แล้วแต่ แม้บางคนจะมองว่ามันไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่รุ่นที่เอามาเปรียบเทียบเอง ก็ไม่มีของดังกล่าว
ดังนั้น รุ่นที่เป็นคู่แข่งโดยตรงของ Mobilio RS คือ Avanza โฉม Veloz ราคา 699,000 และรุ่น S touring 749,000
ส่วน Spin ที่ราคา 760,000 กว่าๆ ถือว่า ตั้งราคามาเกินตัวมากไปอยู่แล้ว แทบขายไม่ได้
เมื่อเทียบราคาระหว่างรุ่น V และรุ่น RS
ประเด็นหลักๆ ก็คือ RS เป็น Mobilio โฉมพิเศษที่ทำขึ้นมาให้ดูดีเป็นพิเศษ คาดหมายว่าน่าจะออกแบบและพัฒนา
โดยทีมดีไซน์ในบ้านเรา ถึงกว่าจะเผยโฉม ก็ต้องรอ Mobilio ใกล้ๆ ขายในบ้านเราก่อน ในขณะที่ประเทศอื่นๆ รุ่น
RS อาจจะเริ่ม launch ไปก่อนบ้างเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าต้องรอกันเป็นปี กว่าจะมีรุ่น RS พร้อมๆ กับรอบ้านเราเริ่มขาย
Mobilio
ราคาที่ต่างกัน 59,000 บาท มีส่วนประกอบไหนที่แตกต่างในโฉม RS
กระจังหน้า กันชนหน้า กันชนหลัง สเกิร์ตข้าง สปอยเล่อร์หลัง ล้อแม็ก ไฟหน้า projector led
สำหรับ Toyota ถ้าเป็นไฟหน้า projector led แบบนี้เบิกศูนย์ 6 หมื่น เอาไม่อยู่ครับ
โดยรวมแล้วชุดแต่งแบบนี้ถ้าเป็นยนตระกละหรือเป็นแบบชุดแต่ง Hyundai Elantra ล่าสุด ราคารวมคงไป
ไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท และเท่าที่ผมทราบ Swift รับแต่งเป็นรุ่น sport แท้โดยโชว์รูม Suzuki เอง
part คงพอๆ ใกล้เคียงกัน ราคาก็ไปเป็นแสนเช่นกัน
ถ้าพูดถึงโฉมพิเศษ ในที่นี้ ผมว่า Avanza โฉม Veloz ที่ได้มาเป็นรุ่นท็อปในบ้านเราก็ถือว่าคุ้มค่า
ส่วน Mobilio RS ก็ถือว่าคุ้มค่าเช่นกัน เพราะให้มาไม่น้อย ยากที่ Mobilio รุ่น V จะแต่งตามไหว
ถ้าคิดเข้าข้างตัวเองไม่เอาโฉมพิเศษเข้ามาบวก คงมองว่า Honda ตั้งราคามาแพงเกินเหตุสำหรับ
รถพื้นฐาน Brio แต่ในความเป็นจริง ราคานี้ถือว่าสมเหตุสมผลมาก ในขณะที่ใครไม่สนชุดแต่ง ก็ไปที่
รุ่น V แล้วบวกลบคูณหารเอาว่ามันคุ้มค่าเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นหรือไม่
-สิ่งที่น่าสนใจ กับการใช้เครื่องยนต์เก่าของ Jazz แต่เติม E85 ไม่ได้
ที่จริงมันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่ ทำไมไม่ทำให้เติม E85 ได้ เท่าที่เข้าใจอาจเป็นการ
ปกป้อง Jazz ซึ่งเป็น product champion ของตัวเองด้วยในระดับหนึ่ง ซึ่งมีขาคล่อม
กันอยู่กับ Mobilio ต้องแบ่งๆ จุดเด่นกันไป ประการถัดมา คู่แข่งยังไม่มีใครใช้ E85 ได้
และถัดมาอีก คือการประหยัดต้นทุนได้อีกหน่อย ทั้งใช้เครื่องเก่า และไม่ต้องเปลี่ยนแปลง
part ต่างๆ ให้รองรับ E85
ข้อดีของการใช้เครื่องเก่ามันก็ดี ตรงที่เรื่องอะไหล่ เรื่องปัญหาต่างๆ น่าจะโอเคหมด
เหมาะกับรถทำงานทำการแบบในรุ่น S Mobilio น่าจะเป็นอีกรุ่นที่ problem free
การติดแก็สก็เหมือนของเครื่องเดิม สามารถวางถังโดนัทแทนยางอะไหล่ใต้รถได้
สุดท้ายนี้จุดเด่นมันอยู่ที่ตรงไหน เพราะใช้ครึ่ีงหน้าร่วมกับ Brio ท่านั่งขับจึงเป็นแบบรถเก๋ง Honda
ส่วนคู่แข่ง จะมีท่านั่งขับเฉพาะเป็นแบบรถพ่อบ้าน ดูสูงๆ หน่อย ซึ่งบางคนไม่ชอบ และมันเหมาะจะเป็นรถ
คันรองมากกว่า ในขณะที่รถที่นั่งขับแบบเก๋งเหมาะกับการขับไปไหนมาไหนในชิวิตประจำวัน และยังให้ความรู้สึก
ที่คุ้นเคยมากกว่า เว้นแต่จะเป็นแฟนพันธ์แท้รถพ่อบ้าน Ertiga จะวินเหนือรุ่นอื่นๆ ทั้งหมด แต่ถ้าคุณมีรถแค่คันเดียว
Mobilio มันจะตอบโจทย์ได้หมด ไม่นับเรื่องศูนย์ที่ดีอีกด้วย//