บอกก่อนว่าบทความต้นเรื่องที่เป็นทฤษฎีนี้ไม่ใช่ของผมนะครับ แต่สมาชิกห้องหว้ากอท่านหนึ่งเคยตั้งกระทู้ไว้ช่วงปี 2553 ก่อนที่จะถูกลบในเวลาไม่นาน เพราะถูกพวกกลุ่มการเมืองเข้ามาทะเลาะกัน ( ในปีนั้น การเมืองบ้านเราก็วิกฤติจริงๆ )
รายละเอียดเต็มๆ ของทฤษฎี ไปอ่านที่บล็อคเจ้าของบทความเขานะครับ
http://zeawleng.wordpress.com/2013/12/15/5-steps-to-tyranny/
----------------
ผมจะลองใช้ทฤษฎีนี้ อธิบายปรากฏการณ์ที่ทำไมเด็กธรรมดาๆ คนนึง เมื่อเข้าสู่รั้วอาชีวะ ก็พร้อมจะฆ่าเด็กสถาบันอื่นๆ ได้โดยไม่ลังเล
( ออกตัวไว้ก่อน ผมเด็กสามัญ ม.ปลาย ไปต่อมหา'ลัย เป็นเด็กเรียนไม่ใช่นักเลง ไม่สู้คนครับ แต่ได้ฟังเรื่องเล่าจากหลายๆ คน ที่เรียนอาชีวะมา แล้วทุกคนเล่าตรงกัน แม้จะเรียนคนละที่ก็ตาม คือมันมีวัฒนธรรมบางอย่างจริงๆ ที่เข้ากับ 5 ข้อนี้ )
ขั้นที่ 1 : แบ่ง
"พวกเขา - พวกเรา"
เชื่อว่าคนที่เคยเรียนสายนี้ หรือรู้จักคนเรียนสายนี้ จะได้ยินเรื่องเล่าอยู่เสมอ ทั้งกรณีรุ่นพี่เป็นคนจงใจปลูกฝัง หรือเป็นเรื่องที่พูดคุยกันในกลุ่มของพวกเขา
จะต้องมีเรื่องที่
"คนของเรา" ( สถาบันเดียวกัน ) ถูก
"คนของเขา" ( สถาบันอื่น ) ทำร้าย เป็นหัวข้ออยู่ด้วยเสมอ
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่การฟังเรื่องพวกนี้บ่อยๆ ซ้ำๆ ประกอบกับการรับน้อง ที่ทำให้เกิดความรักในสถาบันของตน
ตอนนี้ในใจของรุ่นน้องปี 1 เริ่มคิดแล้วครับถึงเรื่องตีกัน จะด้วยความกลัวจนอยากป้องกันตนเอง หรือแค้นที่มีสถาบันอื่นมาหยามศักดิ์ศรีก็ตาม
ขั้นที่ 2 : เชื่อฟังคำสั่ง โดยไม่ถามถึง
"ความถูกต้อง" ของคำสั่งนั้น
ขั้นนี้คงไม่ต้องอธิบายมาก ก็คือการรับน้อง หรือ SOTUS ที่รุ่นพี่สามารถ
"ปากว่ามือถึง" กับรุ่นน้องได้ ( โหดกว่า รุนแรงกว่าของมหา'ลัย ไหมครับ )
อีกทั้งความสัมพันธ์พี่ - น้อง ระบบเขาเข้มมาก เจอหน้ารุ่นพี่ ต้องไหว้ ต้องทำความเคารพแบบไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือนับถือรุ่นพี่คนนั้นหรือไม่ก็ตาม ( SOTUS มหา'ลัย ต่อให้มีพี่ว๊าก มีจิตวิทยากดดัน แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดแบบนี้แน่ๆ )
เรื่องเล็กๆ แบบเคารพทั้งที่ไม่เต็มใจนี่แหละ ประกอบเข้ากับการรับน้องแบบโหดๆ ถึงเนื้อถึงตัว ทำให้รุ่นน้องพร้อมจะไปตีกับสถาบันอื่น พร้อมจะฆ่ากันเพราะ
"ต่างสีเสื้อ" ตามคำยุของรุ่นพี่ได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง หรือสงสัยใดๆ
นอกจากนี้ บางคนยังถูกโปรโมตมากขึ้น เป็นหัวโจกหรือแกกนำของรุ่น หากผ่านการ
"รับน้องแบบพิเศษ" โดยผู้ที่ผ่านมาได้ จะได้รับแหวนรุ่น หรือเสื้อช็อปที่หายาก และมีตำนานเล่าขานในของสิ่งนั้น
ถึงตรงนี้คงมีคนถามว่า ทำไมมหา'ลัยก็มี SOTUS มีว้า มีกดดัน ปั่นประสาท สอนให้รักสถาบันของตน แต่ไม่เห็นมหา'ลัยตีกันเพราะต่างสถาบันเลย
ตรงนี้ให้ย้อนกลับไปขั้นที่ 1 ครับ มหา'ลัย แม้ทางหนึ่งจะสอนให้ทะนงในเกียรติสถาบันตัวเอง แต่อีกทางหนึ่งก็ไม่เคยมีเรื่องเล่าเชิงปลุกระดมให้เกลียดสถาบันอื่น
( มีใครเคยเห็นเด็กจุฬาถูกสอนให้เกลียดเด็กธรรมศาสตร์ หรือเด็กธรรมศาสตร์ถูกสอนให้เกลียดเด็กจุฬาบ้างครับ? ไม่มีใช่ไหม? ระดับมัธยมขาสั้นก็ไม่มีครับ การตีกันของเด็กมัธยมจึงเบากว่าของอาชีวะมาก ยิ่งระดับอุดมศึกษา ที่ไหนก็ไม่มีครับ ยกเว้นอุดมศึกษาบางแห่งที่พัฒนามาจากสถาบันอาชีวะ อันนี้ยังไม่ยอมทิ้งการปลูกฝังที่ว่า คงไม่ต้องเอ่ยชื่อ เชื่อว่าหลายคนรู้ดีว่าที่ไหน )
ขั้นที่ 3 : เริ่มให้
"พวกเรา" ทำร้าย
"พวกเขา"
เมื่อผ่านกระบวนการขั้นที่ 2 มาแล้ว ก็ไม่ต้องแปลกใจที่เมื่อรุ่นพี่ยุยง รุ่นน้องก็พร้อมจะไปตี ไปฆ่าเด็กสถาบันอื่นทันที โดยที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม รู้แต่ว่าแค้น โกรธ เกลียด ที่สถาบันอื่นเคยมาฆ่า มาทำร้ายคนของเรา
( หรือบางคนอาจอยากให้เพื่อน ให้รุ่นพี่ยอมรับก็มี เพราะธรรมชาติวัยรุ่นต้องการการยอมรับจากเพื่อน คนวัยนี้บูชาเพื่อนและรุ่นพี่มากกว่าพ่อแม่เป็นธรรมดา ดังนั้นหากอยู่ในสังคมดี เพื่อนดี รุ่นพี่ดี พวกเขาก็จะอยากสร้างสิ่งดีๆ ตามเพื่อน ตามรุ่นพี่ แต่ถ้าไปอยู่สังคมนักเลง - อันธพาล ก็จะตรงกันข้าม อย่างที่ทราบกัน )
ขั้นที่ 4 :
นิ่งเฉย หากไม่ใช่เรื่องของ
"พวกเรา"
อันนี้ไม่ต้องอธิบายอีกแล้ว หากผ่าน 3 ขั้นตอนแรกมาได้ หลังจากนี้ หากได้ข่าวว่าเด็กสถาบันอื่นตายจากการถูกฆ่า ไม่ว่าจะด้วยสถาบันคุณไปทำ หรือเป็นเรื่องของสถาบันอื่นๆ ไม่ใช่ฝีมือของคนสถาบันคุณ คุณอาจรู้สึกเพียงเฉยๆ ชินชา ( หรืออาจสะใจก็ได้ ถ้าคนที่ตายเป็นเด็กสถาบันอื่นที่เคยมาตีกับสถาบันของคุณ ) เท่านั้น ไม่ได้รู้สึกสลดหดหู่แต่อย่างใด
ตรงกันข้าม...หากเป็นคนสถาบันคุณถูกฆ่าหรือทำร้าย คุณจะรู้สึกเศร้าทันที ( มีการลงขันกันจัดงานศพให้ ) แล้วก็ตามมาด้วยความรู้สึกแค้น ( ต้องรู้ให้ได้สถาบันไหนทำพวกพ้องเรา เราจะเอามันคืนบ้าง )
"เลือดต้องล้างด้วยเลือด" ถ้าเป็นพวกเรา แต่ถ้าเป็นคนอื่น กลุ่มอื่น หรือกลุ่มคู่อริ ก็แค่
"คนตายไปคนหนึ่งเท่านั้น"
ขั้นที่ 5 : ไม่ต้อง
"ปราณี" กับฝ่ายตรงข้าม แต่จง
"ฆ่าให้เรียบ"
ถึงขั้นนี้ การตีกัน ฆ่ากัน ของเด็กช่างต่างสถาบัน ก็กลายเป็นเรื่องปกติกันไป ประมาณว่าอย่าให้เห็นใครใส่ช็อป หรือหัวเข็มขัดสถาบันอื่นผ่านมาเด็ดขาด ถ้าเจอต้องหวดให้เละ ไม่ก็ฆ่าทิ้งเลยทันที
---------------
ชัดไหมครับ?
นี่แหละ..และถ้าไปถามพวกเขาว่าทำยังไงมันจะจบ ไม่มีตีกันอีก
คำตอบคือ
"ไม่มี" เพราะมันปลูกฝังกันแบบนี้นี่แหละ ถ้าลบค่านิยมตรงนี้ไม่ได้ กงล้อแห่งความเกลียดชังก็ไม่มีวันหยุดหมุน
และหากจะลบ ต้องลบให้ได้พร้อมกันทุกสถาบัน ไม่งั้นก็จะเกิดการเปรียบเทียบทำนอง 2 มาตรฐาน แล้วจะไม่มีใครคิดทำตาม
( มันมีการเปรียบเทียบจริงๆ นะ คนจากสถาบันอาชีวะเอกชนบางแห่ง เคยบ่นให้ฟังว่าทีช่างเอกชนตีกันบ่อยๆ สั่งปิดสถาบันได้ แต่พอช่างสังกัดรัฐบาล ที่มีประวัติแรงๆ ไม่ต่างกัน กลับไม่เคยมีการสั่งปิดเลย )
ดังนั้น..สำหรับคนที่มีญาติ เพื่อน แฟน เป็นหนุ่มสายช่าง จึงต้องทำใจกับคำกล่าวนี้ครับ
"ขาข้างหนึ่งอยู่กับยมบาล ขาอีกข้างอยู่กับกรมราชทัณฑ์"
เป็นคำเปรียบเทียบว่า คนของคุณด้านหนึ่งอาจถูกคู่อริต่างสถาบันฆ่าตาย อีกด้านหนึ่งอาจเป็นคนของคุณไปฆ่าคนอื่นตาย ต้องติดคุกตะราง เสียประวัติ เสียอนาคต
ทำใจอย่างเดียวครับ
ปล.แต่ผมให้คุณค่าพวกเขามากกว่าตัวผมเองนะครับ ( ว่ากันตามตรง ผมอยากเป็นแว้น เป็นนักเลง มากกว่าเป็นเด็กติ๋มนะครับ ( แต่เป็นไม่ได้ เพราะผมไม่มีหัวทางบู๊เลย มีเรื่องต้องวิ่งหนีอย่างเดียวครับ T_T )
ปล.2 ลูกผู้ชายถ้าไม่สู้คน ก็คือพวกเสียชาติเกิด นี่เป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของเพศชาย ที่เหนือกว่าเพศอื่นๆ ครับ
[5 Steps to tyranny] : อยากรู้ไหม? สังคม "อาชีวะ" เปลี่ยน "เด็กเซื่องๆ" ให้เป็น "นักฆ่า" ได้อย่างไร?
รายละเอียดเต็มๆ ของทฤษฎี ไปอ่านที่บล็อคเจ้าของบทความเขานะครับ
http://zeawleng.wordpress.com/2013/12/15/5-steps-to-tyranny/
----------------
ผมจะลองใช้ทฤษฎีนี้ อธิบายปรากฏการณ์ที่ทำไมเด็กธรรมดาๆ คนนึง เมื่อเข้าสู่รั้วอาชีวะ ก็พร้อมจะฆ่าเด็กสถาบันอื่นๆ ได้โดยไม่ลังเล
( ออกตัวไว้ก่อน ผมเด็กสามัญ ม.ปลาย ไปต่อมหา'ลัย เป็นเด็กเรียนไม่ใช่นักเลง ไม่สู้คนครับ แต่ได้ฟังเรื่องเล่าจากหลายๆ คน ที่เรียนอาชีวะมา แล้วทุกคนเล่าตรงกัน แม้จะเรียนคนละที่ก็ตาม คือมันมีวัฒนธรรมบางอย่างจริงๆ ที่เข้ากับ 5 ข้อนี้ )
ขั้นที่ 1 : แบ่ง "พวกเขา - พวกเรา"
เชื่อว่าคนที่เคยเรียนสายนี้ หรือรู้จักคนเรียนสายนี้ จะได้ยินเรื่องเล่าอยู่เสมอ ทั้งกรณีรุ่นพี่เป็นคนจงใจปลูกฝัง หรือเป็นเรื่องที่พูดคุยกันในกลุ่มของพวกเขา
จะต้องมีเรื่องที่ "คนของเรา" ( สถาบันเดียวกัน ) ถูก "คนของเขา" ( สถาบันอื่น ) ทำร้าย เป็นหัวข้ออยู่ด้วยเสมอ
ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่การฟังเรื่องพวกนี้บ่อยๆ ซ้ำๆ ประกอบกับการรับน้อง ที่ทำให้เกิดความรักในสถาบันของตน
ตอนนี้ในใจของรุ่นน้องปี 1 เริ่มคิดแล้วครับถึงเรื่องตีกัน จะด้วยความกลัวจนอยากป้องกันตนเอง หรือแค้นที่มีสถาบันอื่นมาหยามศักดิ์ศรีก็ตาม
ขั้นที่ 2 : เชื่อฟังคำสั่ง โดยไม่ถามถึง "ความถูกต้อง" ของคำสั่งนั้น
ขั้นนี้คงไม่ต้องอธิบายมาก ก็คือการรับน้อง หรือ SOTUS ที่รุ่นพี่สามารถ "ปากว่ามือถึง" กับรุ่นน้องได้ ( โหดกว่า รุนแรงกว่าของมหา'ลัย ไหมครับ )
อีกทั้งความสัมพันธ์พี่ - น้อง ระบบเขาเข้มมาก เจอหน้ารุ่นพี่ ต้องไหว้ ต้องทำความเคารพแบบไม่มีข้อแม้ ไม่ว่าคุณจะชอบหรือนับถือรุ่นพี่คนนั้นหรือไม่ก็ตาม ( SOTUS มหา'ลัย ต่อให้มีพี่ว๊าก มีจิตวิทยากดดัน แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดแบบนี้แน่ๆ )
เรื่องเล็กๆ แบบเคารพทั้งที่ไม่เต็มใจนี่แหละ ประกอบเข้ากับการรับน้องแบบโหดๆ ถึงเนื้อถึงตัว ทำให้รุ่นน้องพร้อมจะไปตีกับสถาบันอื่น พร้อมจะฆ่ากันเพราะ "ต่างสีเสื้อ" ตามคำยุของรุ่นพี่ได้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง หรือสงสัยใดๆ
นอกจากนี้ บางคนยังถูกโปรโมตมากขึ้น เป็นหัวโจกหรือแกกนำของรุ่น หากผ่านการ "รับน้องแบบพิเศษ" โดยผู้ที่ผ่านมาได้ จะได้รับแหวนรุ่น หรือเสื้อช็อปที่หายาก และมีตำนานเล่าขานในของสิ่งนั้น
ถึงตรงนี้คงมีคนถามว่า ทำไมมหา'ลัยก็มี SOTUS มีว้า มีกดดัน ปั่นประสาท สอนให้รักสถาบันของตน แต่ไม่เห็นมหา'ลัยตีกันเพราะต่างสถาบันเลย
ตรงนี้ให้ย้อนกลับไปขั้นที่ 1 ครับ มหา'ลัย แม้ทางหนึ่งจะสอนให้ทะนงในเกียรติสถาบันตัวเอง แต่อีกทางหนึ่งก็ไม่เคยมีเรื่องเล่าเชิงปลุกระดมให้เกลียดสถาบันอื่น
( มีใครเคยเห็นเด็กจุฬาถูกสอนให้เกลียดเด็กธรรมศาสตร์ หรือเด็กธรรมศาสตร์ถูกสอนให้เกลียดเด็กจุฬาบ้างครับ? ไม่มีใช่ไหม? ระดับมัธยมขาสั้นก็ไม่มีครับ การตีกันของเด็กมัธยมจึงเบากว่าของอาชีวะมาก ยิ่งระดับอุดมศึกษา ที่ไหนก็ไม่มีครับ ยกเว้นอุดมศึกษาบางแห่งที่พัฒนามาจากสถาบันอาชีวะ อันนี้ยังไม่ยอมทิ้งการปลูกฝังที่ว่า คงไม่ต้องเอ่ยชื่อ เชื่อว่าหลายคนรู้ดีว่าที่ไหน )
ขั้นที่ 3 : เริ่มให้ "พวกเรา" ทำร้าย "พวกเขา"
เมื่อผ่านกระบวนการขั้นที่ 2 มาแล้ว ก็ไม่ต้องแปลกใจที่เมื่อรุ่นพี่ยุยง รุ่นน้องก็พร้อมจะไปตี ไปฆ่าเด็กสถาบันอื่นทันที โดยที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม รู้แต่ว่าแค้น โกรธ เกลียด ที่สถาบันอื่นเคยมาฆ่า มาทำร้ายคนของเรา
( หรือบางคนอาจอยากให้เพื่อน ให้รุ่นพี่ยอมรับก็มี เพราะธรรมชาติวัยรุ่นต้องการการยอมรับจากเพื่อน คนวัยนี้บูชาเพื่อนและรุ่นพี่มากกว่าพ่อแม่เป็นธรรมดา ดังนั้นหากอยู่ในสังคมดี เพื่อนดี รุ่นพี่ดี พวกเขาก็จะอยากสร้างสิ่งดีๆ ตามเพื่อน ตามรุ่นพี่ แต่ถ้าไปอยู่สังคมนักเลง - อันธพาล ก็จะตรงกันข้าม อย่างที่ทราบกัน )
ขั้นที่ 4 : นิ่งเฉย หากไม่ใช่เรื่องของ "พวกเรา"
อันนี้ไม่ต้องอธิบายอีกแล้ว หากผ่าน 3 ขั้นตอนแรกมาได้ หลังจากนี้ หากได้ข่าวว่าเด็กสถาบันอื่นตายจากการถูกฆ่า ไม่ว่าจะด้วยสถาบันคุณไปทำ หรือเป็นเรื่องของสถาบันอื่นๆ ไม่ใช่ฝีมือของคนสถาบันคุณ คุณอาจรู้สึกเพียงเฉยๆ ชินชา ( หรืออาจสะใจก็ได้ ถ้าคนที่ตายเป็นเด็กสถาบันอื่นที่เคยมาตีกับสถาบันของคุณ ) เท่านั้น ไม่ได้รู้สึกสลดหดหู่แต่อย่างใด
ตรงกันข้าม...หากเป็นคนสถาบันคุณถูกฆ่าหรือทำร้าย คุณจะรู้สึกเศร้าทันที ( มีการลงขันกันจัดงานศพให้ ) แล้วก็ตามมาด้วยความรู้สึกแค้น ( ต้องรู้ให้ได้สถาบันไหนทำพวกพ้องเรา เราจะเอามันคืนบ้าง )
"เลือดต้องล้างด้วยเลือด" ถ้าเป็นพวกเรา แต่ถ้าเป็นคนอื่น กลุ่มอื่น หรือกลุ่มคู่อริ ก็แค่ "คนตายไปคนหนึ่งเท่านั้น"
ขั้นที่ 5 : ไม่ต้อง "ปราณี" กับฝ่ายตรงข้าม แต่จง "ฆ่าให้เรียบ"
ถึงขั้นนี้ การตีกัน ฆ่ากัน ของเด็กช่างต่างสถาบัน ก็กลายเป็นเรื่องปกติกันไป ประมาณว่าอย่าให้เห็นใครใส่ช็อป หรือหัวเข็มขัดสถาบันอื่นผ่านมาเด็ดขาด ถ้าเจอต้องหวดให้เละ ไม่ก็ฆ่าทิ้งเลยทันที
---------------
ชัดไหมครับ?
นี่แหละ..และถ้าไปถามพวกเขาว่าทำยังไงมันจะจบ ไม่มีตีกันอีก
คำตอบคือ "ไม่มี" เพราะมันปลูกฝังกันแบบนี้นี่แหละ ถ้าลบค่านิยมตรงนี้ไม่ได้ กงล้อแห่งความเกลียดชังก็ไม่มีวันหยุดหมุน
และหากจะลบ ต้องลบให้ได้พร้อมกันทุกสถาบัน ไม่งั้นก็จะเกิดการเปรียบเทียบทำนอง 2 มาตรฐาน แล้วจะไม่มีใครคิดทำตาม
( มันมีการเปรียบเทียบจริงๆ นะ คนจากสถาบันอาชีวะเอกชนบางแห่ง เคยบ่นให้ฟังว่าทีช่างเอกชนตีกันบ่อยๆ สั่งปิดสถาบันได้ แต่พอช่างสังกัดรัฐบาล ที่มีประวัติแรงๆ ไม่ต่างกัน กลับไม่เคยมีการสั่งปิดเลย )
ดังนั้น..สำหรับคนที่มีญาติ เพื่อน แฟน เป็นหนุ่มสายช่าง จึงต้องทำใจกับคำกล่าวนี้ครับ
"ขาข้างหนึ่งอยู่กับยมบาล ขาอีกข้างอยู่กับกรมราชทัณฑ์"
เป็นคำเปรียบเทียบว่า คนของคุณด้านหนึ่งอาจถูกคู่อริต่างสถาบันฆ่าตาย อีกด้านหนึ่งอาจเป็นคนของคุณไปฆ่าคนอื่นตาย ต้องติดคุกตะราง เสียประวัติ เสียอนาคต
ทำใจอย่างเดียวครับ
ปล.แต่ผมให้คุณค่าพวกเขามากกว่าตัวผมเองนะครับ ( ว่ากันตามตรง ผมอยากเป็นแว้น เป็นนักเลง มากกว่าเป็นเด็กติ๋มนะครับ ( แต่เป็นไม่ได้ เพราะผมไม่มีหัวทางบู๊เลย มีเรื่องต้องวิ่งหนีอย่างเดียวครับ T_T )
ปล.2 ลูกผู้ชายถ้าไม่สู้คน ก็คือพวกเสียชาติเกิด นี่เป็นหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ของเพศชาย ที่เหนือกว่าเพศอื่นๆ ครับ