เพราะทนกระแสมิสลูซี่ในห้องศาสนาไม่ได้เลยต้องควักกระเป๋าไปดูลูซี่กับเขาด้วย
เทคนิคการเล่าเรื่องก็ใช้ได้แต่เลือดเยอะไปมากหน่อยแต่ชั่งเถอะเพราะนั่นเป็นเพียงกระพี้ของหนัง
สาระแก่นสารอยู่ที่ความสามารถของเซลล์ที่มีวิวัฒนาการกว่าพันล้านปีมาแล้วตั้งแต่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อศาสตราจารย์มอร์แกนฟรีแมนพูดว่าเพื่อความอยู่รอดแล้วเซลล์เหล่านี้จะเลือกทางของมันเอง
ทางหนึง่คือการสืบพันธ์ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือการทำตัวเป็นอมตะ...................................................!?!
ผมไม่ได้เรียนสายวิทย์ไม่รู้เรื่องกลไกลของเซลล์สมองแต่ครั้งหนึ่งเมื่อยี่สิบปีมาแล้วผมเคยเข้าถึงการควบคุมระบบ
ภายในของร่างกายได้เช่นห้ามเลือดได้ควบคุมกล้ามเนื้อได้รวมทั้งอุณหภูมิในร่างกายได้ฯ
สิ่งที่หนังลูซี่บอกกระเราก็คือเซลล์มันจะเลือกทางของมันเองเพื่อความอยู่รอด นี่คือวลีเด็ดที่สุดของหนังเรื่องนี้
หลายคนฝึกสมาธิไม่เคยก้าวหน้าได้แต่ท่องจำความรู้ของผู้อื่นเขาอาศัยเพียงศรัทธาโดยไม่มีความรู้เป็นของตนเอง
เพราะท่านไม่เคยให้จิตของท่านเลือกทางของมันเองเพื่อความอยู่รอด ท่านเอาแต่คอยสดับฟังแต่ความคิดปรุงแต่ง
สมัยพุทธกาลพุทธองค์ทรงแนะสถานปฏิบัติธรรมคือสถานที่เปล่าเปลี่ยวเช่นโคนไม้ ป่า เรือนร้าง ที่เหล่านี้มีความกลัวให้เราสัมผัส
ที่เหล่านี้ความคิดปรุงแต่งช่วยอะไรเราไม่ได้เลยนอกจากจะทำให้เราโกยเผ่นแน้บเท่านั้น
ผมจำไดว่าสมัยก่อนยี่สิบปีมาแล้วผมกับเพื่อนสองคนไปบวชด้วยกันเป็นวัดป่าตั้งอยู่บนภูแถวปากช่อง
เพื่อนของผมคนนี้ตั้งใจมากในการปฏิบัติพอบวชเสร็จก็เลือกกุฏิในที่เปลี่ยวรกร้างบนภูส่วนผมปอดแหกเลือกพำนักข้างล่าง
ใกล้กุฏิสามเณรเริ่มฝึกสมาธิผมกลัวภาพนิมิตไม่กล้าหลับตาได้แต่ทอดสายตาลงต่ำผมหมั่นเจริญสติเอาแต่รู้สึกตัวตลอดเวลา
ทั้งยืนเดินนั่งนอนวันละไปต่ำกว่าสิบชั่วโมงจนวันหนึ่งผมพบความเงียบในจิตมันเงียบขนาดที่ผมคิดว่าความกลัวเข้าไม่ถึงใจเราได้แน่
แน่นอนความกลัวของผมมันรอผมอยู่บนเขาที่ๆมีแต่ความมืดมิดและอะไรก็ไม่รู้ที่ผมคิดว่ามันรอคอยผมอยู่ที่นั่น
ใกล้ค่ำวันนั้นผมพกพาความว่างในจิตขึ้นไปบนภูก่อนค่ำเพื่อจะได้ค่อยๆสัมผัสกับความมืดที่ละนิดจะได้มีเวลาตั้งหลักทัน
นั่งภาวนาพุทโธก่อนค่ำแต่พอค่ำมืดความว่างในจิตกลับเพิ่มขึ้นตามความมืดที่ค่อยๆย่างกายเข้ามาคือยิ่งมืดจิตก็ยิ่งว่าง
จิตว่างขนาดนี้ไม่ต้องใช้คำภาวนาแล้วอยู่กับจิตว่างนี้แหล่ะยิ่งดึกทั้งเสียงและเงาที่คอยหลอกหลอนก็มากขึ้น
แต่จิตก็สามารถปลดปล่อยความกลัวได้ตลอดเพียงแต่เรากำหนดความรู้สึกลงไปที่ขนแขนขนหัวที่ตั้งชันก็ล้มตัวลงราบเหมือนเดิม
ความกลัวคือกิเลสเมื่อมันสลายตัวไปด้วยอำนาจจิตที่ตื่นตัวเต็มที่ผมสัมผัสได้ถึงเวทนาเย็นคืออาการสิ้นกิเลสตามที่พระสูตรกล่าวไว้
แต่เป็นแบบชั่วคราวนะต่อมาได้พบว่ากายกับจิตแยกจากกันเพราะจิตเป็นใหญ่แล้วไม่ต้องการอะไรจากรูปที่มีแต่ธาตุดินน้ำลมไฟนี้
ต่อมาก็ถอดกายทิพออกไปได้ หลังจากสึกมาแล้วบางครั้งขณะขับรถบางเหตุการณ์ที่รอดจากอันตรายมาได้ก็ด้วยสติที่เกิดจากจิตว่าง
ที่เข้ามาหักพวงมาลัยรถเพื่อหลบอันตรายบนท้องถนนได้หลายครั้ง
โดยเราไม่รู้สึกตัวเลยว่าเราเป็นคนหักพวงมาลัยรถเพราะมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากแบบใช้ความคิดไม่ทันดอก
ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพียงแต่อยากบอกว่า ให้จิตธาตุนี้เขาได้เลือกเส้นทางของเขาเองจะได้ไม่ตายไปกับธาตุทั้งสี่นี้เถอะ
...ขอบคุณ...Lucy...
เทคนิคการเล่าเรื่องก็ใช้ได้แต่เลือดเยอะไปมากหน่อยแต่ชั่งเถอะเพราะนั่นเป็นเพียงกระพี้ของหนัง
สาระแก่นสารอยู่ที่ความสามารถของเซลล์ที่มีวิวัฒนาการกว่าพันล้านปีมาแล้วตั้งแต่เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
ผมถึงกับสะดุ้งเมื่อศาสตราจารย์มอร์แกนฟรีแมนพูดว่าเพื่อความอยู่รอดแล้วเซลล์เหล่านี้จะเลือกทางของมันเอง
ทางหนึง่คือการสืบพันธ์ส่วนอีกทางเลือกหนึ่งคือการทำตัวเป็นอมตะ...................................................!?!
ผมไม่ได้เรียนสายวิทย์ไม่รู้เรื่องกลไกลของเซลล์สมองแต่ครั้งหนึ่งเมื่อยี่สิบปีมาแล้วผมเคยเข้าถึงการควบคุมระบบ
ภายในของร่างกายได้เช่นห้ามเลือดได้ควบคุมกล้ามเนื้อได้รวมทั้งอุณหภูมิในร่างกายได้ฯ
สิ่งที่หนังลูซี่บอกกระเราก็คือเซลล์มันจะเลือกทางของมันเองเพื่อความอยู่รอด นี่คือวลีเด็ดที่สุดของหนังเรื่องนี้
หลายคนฝึกสมาธิไม่เคยก้าวหน้าได้แต่ท่องจำความรู้ของผู้อื่นเขาอาศัยเพียงศรัทธาโดยไม่มีความรู้เป็นของตนเอง
เพราะท่านไม่เคยให้จิตของท่านเลือกทางของมันเองเพื่อความอยู่รอด ท่านเอาแต่คอยสดับฟังแต่ความคิดปรุงแต่ง
สมัยพุทธกาลพุทธองค์ทรงแนะสถานปฏิบัติธรรมคือสถานที่เปล่าเปลี่ยวเช่นโคนไม้ ป่า เรือนร้าง ที่เหล่านี้มีความกลัวให้เราสัมผัส
ที่เหล่านี้ความคิดปรุงแต่งช่วยอะไรเราไม่ได้เลยนอกจากจะทำให้เราโกยเผ่นแน้บเท่านั้น
ผมจำไดว่าสมัยก่อนยี่สิบปีมาแล้วผมกับเพื่อนสองคนไปบวชด้วยกันเป็นวัดป่าตั้งอยู่บนภูแถวปากช่อง
เพื่อนของผมคนนี้ตั้งใจมากในการปฏิบัติพอบวชเสร็จก็เลือกกุฏิในที่เปลี่ยวรกร้างบนภูส่วนผมปอดแหกเลือกพำนักข้างล่าง
ใกล้กุฏิสามเณรเริ่มฝึกสมาธิผมกลัวภาพนิมิตไม่กล้าหลับตาได้แต่ทอดสายตาลงต่ำผมหมั่นเจริญสติเอาแต่รู้สึกตัวตลอดเวลา
ทั้งยืนเดินนั่งนอนวันละไปต่ำกว่าสิบชั่วโมงจนวันหนึ่งผมพบความเงียบในจิตมันเงียบขนาดที่ผมคิดว่าความกลัวเข้าไม่ถึงใจเราได้แน่
แน่นอนความกลัวของผมมันรอผมอยู่บนเขาที่ๆมีแต่ความมืดมิดและอะไรก็ไม่รู้ที่ผมคิดว่ามันรอคอยผมอยู่ที่นั่น
ใกล้ค่ำวันนั้นผมพกพาความว่างในจิตขึ้นไปบนภูก่อนค่ำเพื่อจะได้ค่อยๆสัมผัสกับความมืดที่ละนิดจะได้มีเวลาตั้งหลักทัน
นั่งภาวนาพุทโธก่อนค่ำแต่พอค่ำมืดความว่างในจิตกลับเพิ่มขึ้นตามความมืดที่ค่อยๆย่างกายเข้ามาคือยิ่งมืดจิตก็ยิ่งว่าง
จิตว่างขนาดนี้ไม่ต้องใช้คำภาวนาแล้วอยู่กับจิตว่างนี้แหล่ะยิ่งดึกทั้งเสียงและเงาที่คอยหลอกหลอนก็มากขึ้น
แต่จิตก็สามารถปลดปล่อยความกลัวได้ตลอดเพียงแต่เรากำหนดความรู้สึกลงไปที่ขนแขนขนหัวที่ตั้งชันก็ล้มตัวลงราบเหมือนเดิม
ความกลัวคือกิเลสเมื่อมันสลายตัวไปด้วยอำนาจจิตที่ตื่นตัวเต็มที่ผมสัมผัสได้ถึงเวทนาเย็นคืออาการสิ้นกิเลสตามที่พระสูตรกล่าวไว้
แต่เป็นแบบชั่วคราวนะต่อมาได้พบว่ากายกับจิตแยกจากกันเพราะจิตเป็นใหญ่แล้วไม่ต้องการอะไรจากรูปที่มีแต่ธาตุดินน้ำลมไฟนี้
ต่อมาก็ถอดกายทิพออกไปได้ หลังจากสึกมาแล้วบางครั้งขณะขับรถบางเหตุการณ์ที่รอดจากอันตรายมาได้ก็ด้วยสติที่เกิดจากจิตว่าง
ที่เข้ามาหักพวงมาลัยรถเพื่อหลบอันตรายบนท้องถนนได้หลายครั้ง
โดยเราไม่รู้สึกตัวเลยว่าเราเป็นคนหักพวงมาลัยรถเพราะมันเกิดขึ้นรวดเร็วมากแบบใช้ความคิดไม่ทันดอก
ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพียงแต่อยากบอกว่า ให้จิตธาตุนี้เขาได้เลือกเส้นทางของเขาเองจะได้ไม่ตายไปกับธาตุทั้งสี่นี้เถอะ