พาหะธาลัสซีเมียกับการตั้งครรภ์ สถานการณ์นี้ต้องรอโชคชะตากำหนดเพียงอย่างเดียวใช่ไหม

เราอายุ 33 ปี ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ 13 สัปดาห์แล้ว ก่อนหน้านี้รู้ตัวและดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็กอย่างดีเนื่องจากมีพาหะธาลัสซีเมีย แบบแอลฟ่า เม็ดเลือดแดงเราตัวเล็กต่ำกว่าเกณฑ์ เรารักษาและดูแลตัวเองมาตลอด 30 ปี ภายใต้การดูแลของแพทย์ใน รพ รัฐ ที่มีชื่อเสียง จนเมื่อตอนอายุ 30 ปี คุณหมอบอกว่าคงไม่ต้องทานโฟเลตหรือธาตุเหล็กอีกต่อไป เพราะภาวะที่เราเป็นและการรักษา ดูแลมาตลอดเป็นสิบๆ ปี มันไม่ได้ช่วยอะไร เพราะขึ้นอยู่กับยีนส์และพันธุกรรมแต่กำเนิด นับจากนี้ให้พยายามออกกำลังกายและดูแลตัวเองให้ดีๆ พยายามอย่าให้ตัวเองอ่อนแอหรือไม่สบาย ตอนนั้นที่หมอพูดรู้สึกดีใจ เออ ดี ไม่ต้องทานยาอะไรทุกวันแล้ว ออกกำลังกายดูแลตัวเองคงได้ผลมากกว่า มาปัจจุบันอายุ 33 แต่งงาน ตั้งครรภ์ สามีเราเคยตรวจร่างกาย บริจาคเลือดและรู้ว่าเป็นพาหะธาลัสซีเมียเหมือนกัน แต่เป็นแบบ Hemoglobin E ซึ่งเป็นแบบหนึ่งของเบต้า เรายังนึกใจชื้นๆ ยังดี แต่งงานกันได้ มีลูกด้วยกันได้แบบไม่มีภาวะเสี่ยงว่าจะเป็นโรคธาลัสซีเมีย เพราะเรากับสามีเป็นคนละ Type กัน ต่อให้มีความเสี่ยงกับลูกก็คงเป็นแค่พาหะแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น ผลปรากฎวันที่ไปฝากครรภ์ตอนสองเดือน เรากับสามีตรวจเลือดเช็คดูอีกทีเพื่อความมั่นใจ ตรวจ Hb typing หนึ่งเดือนให้หลังไปฟังผล โอ้!! พระคุณเจ้าขาช่วยลูกด้วย น้ำตามาเต็มผลเลือดตัวเราออกมาเป็นภาวะพาหะธาลัสซีเมียเหมือนเดิม แต่กระโดดมาเป็นแบบเบต้า เหมือนสามีเราเลย หัวสมองประมวลผลแบบเร็วไวภายในหนึ่งนาทีตามกฎเมนเดล ซวยแระ 1:4 25% ลูกเราเกิดภาวะเสี่ยงสูงกับโรคธาลัสซีเมีย แบบเบต้าอี ได้ 25% ย้ำเลยว่าคือ โรค แน่ๆ ไม่ใช่พาหะ, แล้วเกิดพาหะแบบใดแบบหนึ่งได้ 50%, ไม่มีโรคเลย 25%  มันเป็นไปได้ยังไง เป็นแอลฟ่ามาตลอดชีวิต กระโดดมาเป็นเบต้าแค่ตอนจะตั้งท้องเนี่ยนะ ทั้งๆที่ เราป้องกันเรื่องนี้แล้วอย่างดี ตั้งแต่หาสามีที่มีภาวะเสี่ยงกับลูกน้อยที่สุด แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ยีนส์คนเรามันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่ได้แน่ๆ มันต้องเกิดการผิดพลาดที่อะไรสักอย่าง ตอนนั้นต่อหน้าคุณหมอ แกพูดว่า ผมจำได้ว่าคุณเคยบอกผมว่าคุณเป็นแบบแอลฟ่าไม่ใช่เหรอ เราก็ยืนยันมาใช่ค่ะ หนูยังงงๆกับผลการตรวจอยู่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่า ลูกเอ้ย แม่อยากจบแค่ ป3 ป4 แบบที่ไม่เคยรู้อะไรเลย จะได้ไม่เข้าใจถึงความหมายที่หมอพูดและผลการตรวจ โรคธาลัสซีเมียแบบเบต้าอี มันน่ากลัวน้อยซะเมื่อไหร่ วันนั้นจำได้หมอพูดกับเรากับสามีแค่ประโยคเดียว อีกหนึ่งเดือนตรวจน้ำคร่ำ อีกสองอาทิตย์มาฟังผลว่าเราควรจะไปต่อหรือยุติ จบคำพูดโรคหยุดหมุนชั่วขณะ ตั้งสติไม่ได้ บ่อน้ำตาแตกกลางสาธารณะ ถามตัวเองซ้ำๆ ทำไมๆๆๆๆๆๆ เพราะอะไรๆๆๆๆ เราพลาดตรงไหนๆๆๆๆ ผ่านมาตอนนี้อาทิตย์หนึ่งแล้ว ตั้งสติได้มากขึ้น แค่มากขึ้นนะ ทำได้แค่เพียง
1. ขอประวัติการตรวจรักษาจากสถาบันโลหิตวิทยาที่เรารักษามา 30 ปี ขอดูใหม่ ว่าเราเป็นอะไรกันแน่ พาหะแบบไหนแน่ หรือที่ผ่านมาเราฟังผิด เข้าใจผิดไปเองว่าเราเป็นพาหะแบบแอลฟ่ามาตลอดชีวิต ถึงได้พยายามหาสามีที่ปกติหรือเป็นพาหะคนละไทป์กับเรามาร่วมชีวิต จะได้ไม่เป็นภาระต่อลูกหลาน
2. ทำใจ รอตรวจน้ำคร่ำอีกหนึ่งเดือน รอฟังผลอีกสองอาทิตย์ เวลาช่างยาวนานเหลือเกินลูกเอ้ย พยายามสวดมนต์ ไหว้พระ ขอพร ทำบุญพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ จากชีวิตที่ไม่ค่อยจะอะไรมากกับทางธรรม ใช้ชีวิตอยู่กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาครึ่งชีวิต สุดท้ายตอนนี้วิทยาศาสตร์ไม่ได้ช่วยอะไรเลย เศร้าไหมละ
3. ปลอบใจตัวเอง กลับมาดูแลตัวเอง กินข้าวกินน้ำ สงสารลูกเดี๋ยวลูกหิว คิดในแง่ดี เอาว่ะ (ขอโทษ ที่พูดคำหยาบ) ยังเหลืออีกตั้ง 75% ในแง่ที่ดี ลูกเราต้องหยิบขาข้างที่ดีของพ่อและแม่มาสร้างบอดี้ให้ตัวเอง นะลูก!
4. รอประวัติที่ขอไป พร้อมๆ กับการรอตรวจน้ำคร่ำ แม่ท่านไหนว่ากลัว แต่เราไม่กลัวกลับร้องเรียกหา ตรวจไวๆๆ เหอะ จะบ้าตายอยู่แล้ว
5. สุดท้ายนี้ ขอโทษนะค่ะ ที่เขียนยาวไป แค่อยากระบายที่เรียกว่า ความงี่เง่า ความโชคร้าย ความเสี่ยง บลาๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ของผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่เจอ

ขอบคุณมากๆค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่